ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน อาจเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของวงการแฟชั่นเลยก็ว่าได้ เพราะมีแบรนด์แฟชั่นน้องใหม่แจ้งเกิดราวกับดอกเห็ด แต่วันเวลาผ่านไปประกอบกับเทคโนโลยียุค 4.0 ที่เข้ามาแทนที่ ทำให้ลูกค้ามีช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับแฟชั่นมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปในร้านค้าหรือในห้างเพื่อเลือกซื้อเสื้อผ้า เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วมือคลิกก็สามารถเลือกซื้อเสื้อผ้าตัวโปรดได้อย่างสบายๆ
ระยะหลังๆ จึงเห็นแบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์ในบ้านเราพากันปิดตำนานทั้งๆ ที่ใจยังรัก บางแบรนด์ย้ายช่องทางการจำหน่ายจากในห้างหรือหน้าร้าน ไปเป็นการขายผ่านทางออนไลน์ วันนี้ Celeb Online จะพาผู้อ่านไปสำรวจความคิดเห็นของเจ้าแม่แฟชั่นดีไซเนอร์ของเมืองไทยกันว่า ตอนนี้แฟชั่นแบรนด์ไทยกำลังจะพังหรือจะปังกันแน่
เริ่มที่ แพม-อณิชา อรรถสกุลชัย อดีตเจ้าแม่ Lovebird แบรนด์แฟชั่นไทยขวัญใจเซเลบ โดยเมื่อ 3 ปีที่แล้วเจ้าตัวตัดสินใจปิดแบรนด์เสื้อผ้าที่ลงทุนปลุกปั้นมากับมือ ซึ่งแพมมองว่าตลาดแฟชั่นเมืองไทยในขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงขาลง เพราะไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมเปลี่ยนไป ตอนนี้ทุกคนเริ่มหันมาให้ความสำคัญต่อเรื่องอาหารการกิน และสุขภาพมากกว่าเรื่องการแต่งกาย ที่สำคัญแบรนด์ไทยหลายแบรนด์มักมีรูปแบบการดีไซน์ที่คล้ายกับแบรนด์ต่างประเทศ จึงทำให้กลุ่มลูกค้าเริ่มลดน้อยลง
“แพมมองว่าผู้หญิงกับแฟชั่นเป็นของคู่กัน และการเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝันรวมทั้งแพมเองด้วย แต่พอเข้ามาทำตรงนี้จริงๆ แล้วเราจะรู้สึกว่าในตลาดแฟชั่นบ้านเรามีปัจจัยจำกัดหลายอย่าง ทั้งเรื่องผ้าที่ไม่ได้มีให้เลือกหลากหลายทั้งแบบและสี รวมไปถึงแพตเทิร์นที่ออกแบบมาก็มีความคล้ายคลึงกัน เมื่อออกแบบมาแล้วก็ยังมาทุ่มเทในเรื่องของการตลาดการหาสถานที่เพื่อจำหน่าย ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย บอกเลยว่าการทำแบรนด์แฟชั่นมีแต่ชื่อ แต่ไม่ได้เงิน ดังนั้น แพมจึงตัดสินใจปิดแบรนด์ของตัวเองเพราะอยากจากไปแบบให้คนจดจำและคิดถึง มากกว่ารอจนถึงวันที่มันขาลงจนถึงขั้นสุดๆ แล้วปิดตัวจะไม่เหลืออะไรให้ใครจดจำเลย แถมเมื่อหยุดทำแฟชั่นแล้ว ยังมีเวลาทุ่มเทให้กับครอบครัวและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากขึ้นด้วย”
อดีตเจ้าแม่ดีไซเนอร์ยังมองต่ออีกว่า ในอนาคตแบรนด์ไทยจะอยู่รอดได้นั้นเจ้าของแบรนด์จะต้องออกแบบเสื้อผ้าของตัวเองให้มีเอกลักษณ์ พอลูกค้าเห็นปั๊บแล้วรู้ทันทีว่าเป็นของแบรนด์นี้ เพราะทุกวันนี้สาเหตุหนึ่งที่แบรนด์ไทยกำลังเหนื่อยในการต่อสู้กับแบรนด์ต่างประเทศ เพราะการออกแบบเสื้อผ้าที่มีความคล้ายคลึงกัน และลูกค้าสามารถคาดเดาได้เลยว่าฤดูกาลต่อไปจะออกแบบเสื้อผ้ามาแบบไหน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แบรนด์ไทยอาจต้องดิ้นรน และเหนื่อยกว่าเมื่อก่อน เพื่อรักษาชื่อแบรนด์ของตัวเองไว้
ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้วในวงการแฟชั่นเมืองไทยคงไม่มีใครไม่รู้จัก “ข้าวโพด-มัญชุมาศ นำเบญจพล” ในฐานะยังก์ดีไซเนอร์ที่น่าจับตามองบนเวทีแฟชั่นวีกของไทย และก้าวสู่การเป็นดีไซเนอร์มืออาชีพอย่างเต็มตัว ด้วยการเปิดแบรนด์ มัญชู (Munchu’s) ที่นำเสนอการมาบรรจบกันของความต่างอย่างสุดขั้วระหว่าง Feminine กับ Masculine จนกลายเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงที่เปรี้ยวเก๋ มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร จำหน่ายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำของเมืองไทย
แต่มาวันนี้ถึงแม้ว่าข้าวโพดจะยังไม่ได้ปิดตัวแบรนด์ Munchu’s อันเป็นสิ่งที่รักที่สุด หากแต่ได้เปลี่ยนช่องทางการจำหน่ายใหม่ จากระบบออฟไลน์มาเป็นการขายแบบออนไลน์ และรับออกแบบเสื้อผ้าและตัดชุดให้กับลูกค้าแบบชุดต่อชุดแทน ซึ่งลูกค้านอกจากจะเป็นคนไทยเสียส่วนใหญ่แล้ว ก็ยังมีชาวสิงคโปร์ มาเลเซีย สเปน ที่ติดใจการออกแบบเสื้อผ้าอันเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ให้เธอออกแบบพร้อมตัดเย็บให้ ซึ่งราคาต่อชุดนั้นไม่ต่ำกว่าหลักหมื่นเลยทีเดียว
ข้าวโพดมองว่า สถานการณ์แฟชั่นเมืองไทยขณะนี้กำลังอยู่ในสถานะที่ยากลำบาก เพราะเมื่อสิบปีที่แล้ววงการแฟชั่นโตไวมาก คนที่ไม่จบดีไซเนอร์ก็สามารถมาเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองได้ แต่มาวันนี้ตลาดโลกได้เปลี่ยนไป เศรษฐกิจโลกรวมถึงเศรษฐกิจเมืองไทยที่มีความซบเซา ทำให้แฟชั่นกลายเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย วงการแฟชั่นเมืองไทยจึงอยู่ในภาวะซบเซา หลายแบรนด์ทยอยปิดตัวไปเหลือไว้แต่เพียงชื่อ และอีกเหตุผลที่ทำให้แฟชั่นเมืองไทยถึงจุดอิ่มตัวคือ คนที่ทำแบรนด์แฟชั่นไม่ได้มีความรู้เรื่องแฟชั่นอย่างแท้จริง ทั้งเรื่องการทำการตลาด การหาสถานที่ขาย การออกแบบ และอะไรอีกมากมาย ที่อาศัยเพียงใจรักอย่างเดียวไม่ได้ในการทำเสื้อผ้า
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เธอต้องยุติการขายแบบออฟไลน์ แล้วหันมาขายแบบออนไลน์แทนนั้น เพราะว่าการขายในสโตร์มีการเสียค่าใช้จ่ายมากมาย ทั้งค่าเช่าสถานที่ ค่าจ้างพนักงาน ฯลฯ จึงทำให้เธอตัดสินใจปิดการขายแบบมีหน้าร้าน แล้วหันมาทุ่มเทกับการขายแบบออนไลน์ภายใต้ชื่อแบรนด์ มัญชู เหมือนเดิม แต่จะเป็นการตัดชุดแบบ By Order ตัดชุดต่อชุดตามที่ลูกค้าต้องการ หรือบางครั้งลูกค้าเพียงแค่บอกคอนเซ็ปต์หรือธีมงานมาให้ เธอก็จะออกแบบชุดและตัดเย็บให้สวยเนี้ยบโดดเด้งเหนือใครในงาน นอกจากนี้ แฟนคลับของแบรนด์ มัญชู ยังเข้าไปเลือกชม ชอปเสื้อผ้าคอลเลกชันใหม่เธอได้ใน IG@Munchu’s Offical
ปิดท้ายที่น้องนุชคนสุดท้องแห่งบ้านอิสสระ “ปลาเข็ม-กรัชเพชร อิสสระ” ที่นอกจากจะช่วยดูแลกิจการของครอบครัวแล้ว ยังเลือกเดินตามความฝันของตัวเองบนเส้นทางสายแฟชั่น ด้วยการเปิดแบรนด์เสื้อสุดชิกในชื่อ “KEMISSARA” ที่ขายในตลาดออนไลน์ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า แฟชั่นแบรนด์ไทยทุกวันนี้อยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะตลาดแฟชั่นค่อนข้างเปิดกว้าง คนที่ไม่ได้เรียนด้านแฟชั่นดีไซน์ก็สามารถเปิดแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองได้ ขอเพียงแค่มีใจรักงานด้านการออกแบบ และตลาดแฟชั่นในทุกวันนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงในร้าน แต่สามารถขายผ่านออนไลน์ได้ตลอดเวลา ทำให้คนขายและผู้ซื้อมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น ทำให้ทุกวันนี้มีการขายสินค้าแบรนด์แฟชั่นผ่านออนไลน์จำนวนมาก
“อย่างเข็มเองตอนนี้ก็เลือกที่จะขายเสื้อผ้าของตัวเองผ่านทางออนไลน์ทั้ง LINE IG และเว็บไซต์ แต่ก็จะมีป็อปอัพเล็กๆ อยู่ในห้าง ซึ่งเข็มมองว่าการขายสินค้าออนไลน์มันมีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งลดค่าใช้จ่ายเรื่องการจ้างพนักงานขาย และค่าเช่าหน้าร้าน ที่สำคัญเมื่อลูกค้าเข้ามาสอบถามราคาสินค้า หรือสอบถามรายละเอียด เรายังสามารถตอบกลับได้อย่างรวดเร็วกว่าการขายในร้านอีกด้วย”
ปลาเข็มเล่าต่อว่า ด้วยความที่โลกมันแคบลงเพราะเราสื่อสารกันได้ง่ายขึ้นผ่านโลกออนไลน์ ดังนั้น สิ่งที่นักออกแบบมักเจอเป็นประจำคือ การลอกเลียนแบบหรือแพตเทิร์นชุดที่ออกแบบมา หรือบางกรณีอาจไม่ได้ลอกแบบมาชนิดที่เหมือนเป๊ะ แต่มีการหยิบนั่นนี่มาผสมกันจนเป็นชุดขึ้นมา สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาหลักที่ดีไซเนอร์ทุกคนต้องช่วยกันลุกขึ้นมาปกป้องลิขสิทธิ์การออกแบบของตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดการก๊อบปี้แบบไปทำแล้วทำให้วงการแฟชั่นเดินทางมาสู่จุดอิ่มตัวที่มีการออกแบบเสื้อผ้ามาคล้ายๆ กัน
นอกจากนี้ ยังมี “แพง-ขวัญข้าว เศวตวิมล” ดีไซเนอร์และเจ้าของห้องเสื้อชื่อดังอย่าง KWANKAO ที่มีหลายสาขาอยู่ในเมืองไทย ซึ่งยังคงยืนหยัดออกแบบเสื้อผ้าและทำแบรนด์ของตัวเอง เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของสาวสังคมที่นิยมความโก้หรู สวยเฉี่ยวดูแพง โดยมีครอบครัวและเพื่อนๆ เป็นกำลังใจให้ไม่ห่าง
ขณะที่คุณแม่ลูกหนึ่ง “แจน-พัทธมน เตชะณรงค์” ที่หันหลังให้กับแบรนด์ Commit a sin อันเป็นแบรนด์ที่เจ้าตัวสร้างขึ้นมากับมือ เพราะส่วนหนึ่งอยากทุ่มเทเวลาให้กับการดูแลลูกสาว น้องโคโม่ ในวัยกำลังน่ารัก และกลับไปช่วยดูแลกิจการของครอบครัวที่โบนันซ่า เขาใหญ่ อีกด้วย