แค่เห็นนามสกุล “สุโกศล แคลปป์” หลายคนเดาทางไว้ก่อนเลยว่า “ดีโน่-เดชจุฑา สุโกศล แคลปป์” หนุ่มหล่อตาน้ำข้าว ลูกชายคนโตของ “สุกี้-กมล สุโกศล แคลปป์” ต้องได้สายเลือดศิลปินจากครอบครัวนักดนตรีมาเต็มๆ ซึ่งก็ถูกต้อง เพราะดีโน่ชอบการเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็ยังเลือกไปฝึกงานที่สตูดิโอและไปเทคคอร์สด้านดนตรีกลับมา เพื่อไล่ตามความฝันที่จะเป็นดีเจ
ทว่า ดนตรีไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตหนุ่มหล่อทายาทตระกูลดัง เพราะเขายังหลงใหลในศาสตร์ของกาแฟ จนจุดประกายให้เขาตัดสินใจเปิดร้านกาแฟของตัวเองชื่อว่า Chao Coffee Company ภายในโรงแรมเดอะสุโกศล ควบคู่ไปกับการทำงานเป็น Brand Strategist ของเครือโรงแรมสุโกศล
“ผมเรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง จาก University of Toronto ประเทศแคนาดา เหตุผลที่เลือกแคนาดาเพราะผมอยากที่จะแตกต่าง (หัวเราะ) ส่วนใหญ่สมาชิกในครอบครัวผมไปเรียนที่อังกฤษสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเพื่อนๆ ด้วย อีกเหตุผลคือ ผมมองว่าแคนาดาคล้ายเมืองไทย ผู้คนเฟรนด์ลี่ อยู่แล้วชิลๆ ไม่เครียดจนเกินไป ผมเลือกเรียนด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองแทนที่จะเป็นธุรกิจ เพราะพอได้มาลองเรียนวิชาการเมืองตอนปี 1 ซึ่งทางมหาวิทยาลัยเปิดกว้างให้เลือกเรียนอะไรก็ได้ที่สนใจแล้วชอบ บวกกับที่บ้านก็ไม่ได้บังคับว่าต้องเรียนธุรกิจเพื่อกลับมาบริหารโรงแรม เพราะครอบครัวผมมองว่า ธุรกิจต้องเรียนรู้จากการทำงานจริงๆ ไม่ใช่ทฤษฎี”
ระหว่าง 4 ปีที่เรียนอยู่ที่แคนาดา ยังเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ดีโน่ค้นพบว่า ตัวเองก็มีสายเลือดนักดนตรีอยู่ไม่เบา “ตอนอยู่เมืองไทยแทบไม่ได้จับเครื่องดนตรี เคยพยายามเรียนกีตาร์กับคุณพ่อ แต่สุดท้ายก็เลิกไป เพราะคุณพ่อเคยชินกับการทำงานกับคนที่เป็นมืออาชีพ พอมาเจอมือสมัครเล่นอย่างผมเลยหน่ายที่จะสอน (หัวเราะ) แต่พอไปอยู่แคนาดา ตอนเรียนปี 2 เริ่มหัดเล่นดนตรี ไปฝึกงานที่สตูดิโอ แรกๆ ก็ไปถูพื้น ชงกาแฟ ผ่านไปหลายเดือนถึงได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆ กลับมาเป็นความรู้และประสบการณ์ ค้นพบสไตล์เพลงที่ชื่นชอบว่า เป็นแนวแดนซ์ อินจนถึงขั้นอัดเพลงส่งกลับมาให้คุณพ่อฟัง และกลายเป็นแรงบันดาลใจในการออกอัลบัมใหม่ของคุณพ่อด้วย” ดีโน่หนุ่มน้อยวัย 24 ปีเล่าอย่างอารมณ์ดี
ด้วยแพชชันที่มีต่อดนตรี ทำให้หลังจากคว้าปริญญาตรีมาครองได้สมใจ ดีโน่ตัดสินใจไปเวิร์กชอปเพื่อเรียนดนตรีอย่างจริงจังที่อังกฤษอีก 6 เดือน ก่อนจะถูกเรียกตัวกลับเมืองไทย “ผมกลับมาตอนอายุ 22 ปี กลับมาแรกๆ ก็มาทำงานเป็นดีเจ แต่ภาพลักษณ์ของดีเจในเมืองไทย ยังไม่ได้รับการยอมรับเท่าในต่างประเทศ แค่รายได้ก็ต่างกันมาก เพราะตลาดบ้านเรายังมองว่า ดีเจมีหน้าที่แค่เปิดแผ่น”
จากนั้น ดีโน่เลยเบนเข็มชีวิตอีกครั้ง ซึ่งเป็นจังหวะที่เข้ามาเรียนรู้งานโรงแรมในเครือสุโกศลพอดี ค่อยๆ วนลูปไปเรื่อยๆ จนมาถึงแผนกอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) รู้สึกว่าเข้าทาง เลยขอฝึกนานถึง 6 เดือน จนเกิดไอเดียว่าน่าจะนำความชอบในการดื่มกาแฟ ตั้งแต่เรียนอยู่ที่แคนาดา มาต่อยอดทำเป็นร้านกาแฟของตัวเอง
“ผมจึงทำร้านกาแฟแบบที่คนมานั่งแล้วชวนให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนนั่งดื่มที่บ้าน ซึ่งมีเยอะมากในต่างประเทศ โดยตั้งชื่อไทยๆ ว่า “เช้า” (Chao) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีของวัน แต่ถ้าเขียนอีกแบบยังออกสียงเหมือนเดิมเป็น Ciao ในทางยุโรปถือเป็นคำทักทายเหมือนสวัสดี หรือถ้าสะกดเป็น Chow ในภาษาอังกฤษหมายถึงอาหาร”
จุดเด่นของร้าน Chao Coffee Company ดีโน่บอกว่า นอกจากบรรยากาศที่ออกแบบในสไตล์ Cozy ชวนนั่งแล้ว ยังมีของแอนทีคซึ่งเจ้าตัวเริ่มหันมาสนใจและสะสม เพราะเริ่มจากการทำร้านกาแฟให้สวยเป็นอาหารตาสำหรับลูกค้า ก่อนจะดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟที่คั่วจากเมล็ดกาแฟไทยทั้งหมดจนได้รสชาติที่กลมกล่อม ซึ่งเร็วๆ นี้ ดีโน่เตรียมขยายประสบการณ์การดื่มกาแฟไปเอาใจชาวสาทร ด้วยการเปิดป็อบอัพสโตร์ ที่เพิ่มกิมมิคด้วยการเนรมิตให้เป็นแกลอรีอาร์ต นำผลงานศิลปะที่เขาชื่นชอบและสะสมไว้ไปโชว์ ระหว่างนั่งจิบกาแฟเพลินๆ ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม-31มีนาคม 2562
“ร้านนี้เปิดมา 6 เดือนแล้วครับ สำหรับผมร้านนี้ก็เหมือนลูกทิ้งไม่ได้ ผมไม่ได้หวังว่าวันหนึ่งจะเห็นเขาขยายไปใหญ่โตมีเป็น 10-20 สาขา เพราะผมตั้งใจว่าทุกสาขาที่ผมขยายไปต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งถ้าผมเน้นขยายสาขาความตั้งใจนี้คงเป็นไปได้ยาก ที่สำคัญผมเป็นห่วงเรื่องการรักษาคุณภาพ ฉะนั้น เป้าหมายของผมคือ อยากขยายในเมืองไทย 2-3 สาขา แล้วไปขยายต่อในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง กัมพูชา ลาว และเวียดนาม โดยนำเอาวัฒนธรรมของแต่ละประเทศมาเบลนด์กับตัวร้าน”
สำหรับในส่วนของธุรกิจครอบครัวดีโน่บอกว่า เข้ามาช่วยดูแลด้านแบรนด์ดิ้ง ครีเอทีฟมาร์เกตติ้ง ดูเรื่องเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และล่าสุดเพิ่งมีโปรเจกต์ทำแมกกาซีนของโรงแรมขึ้นมาใหม่
“ตอนนี้ผมดูแลโรงแรมในเครือทั้ง 5 โรงแรม อยู่ในพัทยา 3 แห่ง กรุงเทพฯ 2แห่ง โชคดีที่เฮดออฟฟิศของทุกแห่งอยู่ที่เดียวกัน เลยไม่ยุ่งยากในการทำงาน ตอนนี้ผมยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายชีวิตไกล ผมเอนจอยกับโมเมนต์ที่ทำอยู่ ไม่อยากเอาแต่มองไปที่เป้าหมาย จนพอมองย้อนกลับมาอีกทีแล้วเสียใจที่ไม่ชื่นชมกับความสุขที่เรามีอยู่ ณ ตอนนี้”
สำหรับการทำสิ่งที่รักนั่นคือ ยังเป็นดีเจ ซึ่งไม่ได้ทำประจำที่ไหน แต่เลือกทำเป็นโปรเจกต์ตามอีเวนต์มากกว่า
“สิ่งที่ผมกับพ่อเหมือนกันคือ ไม่ชอบอยู่นิ่ง ต้องมีโปรเจกต์ตลอดเวลา อย่างช่วงซัมเมอร์ที่ผมกลับมาเมืองไทยแล้วมาฝึกงาน ต้องทำงานรูทีนอยู่กับที่ตลอด รู้เลยว่าไม่ใช่เรา โชคดีที่คุณพ่อเลี้ยงผมสไตล์ฝรั่ง ปล่อยให้เรียนรู้เอง คนอื่นอาจจะคิดว่าคุณพ่อผมดุ แต่จริงๆ แล้วใจดีมาก เราพ่อลูกจะมีกฎเหล็กระหว่างกันแค่ข้อเดียวคือ ห้ามโกหกเด็ดขาด”
ดีโน่เผยถึงข้อดีของการที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างอิสระในต่างแดนว่า “พอไปอยู่ที่โน่นถึงรู้ว่าตอนอยู่กรุงเทพฯ ชีวิตง่ายและสบายแค่ไหน (ยิ้ม) อยู่ที่โน่นต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง แต่การไปเรียนต่างประเทศ โดยเฉพาะ ในประเทศที่ไม่ได้มีเพื่อนอยู่เยอะ ทำให้ยิ่งได้เรียนรู้การใช้ชีวิต ผมมีรูมเมทเป็นชาวแคนาดา ทำให้ได้รู้จักเพื่อนชาวแคนาดาที่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันเยอะมาก ได้เรียนรู้วิถีการใช้ชีวิตของเขาจริงๆ ได้เรียนรู้การเข้าสังคม เจอคนหลายรูปแบบ ทำให้เราเปิดกว้างมากขึ้น คนแคนาดาเฟรนด์ลี่มาก ขนาดที่ว่าเดินสวนกัน หรืออยู่บนรถใต้ดิน เขาก็ทักทาย ชวนคุย ไปสัปดาห์แรกผมงงเลย ทำไมคนที่นี่น่ารักจัง เขาคุยกับเราตลอด”
นอกจากจะเป็นหนุ่มติสต์ที่รักในเสียงเพลง ชอบศิลปะ ของแอนทีค แถมยังหลงใหลในศาสตร์กาแฟ ดีโน่ยังเป็นสปอร์ตแมนมาตั้งแต่สมัยเรียน “ผมเป็นนักกีฬารักบี้มหาวิทยาลัย แต่ช่วงที่กลับมาเมืองไทย ตามใจปากไปหน่อย น้ำหนักเลยพรวดไปสูงถึง100 กก. จนตอนนี้ผมเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่ลดลงมาเหลือ 85 กก.แล้ว ส่วนตัวผมค่อนข้างมีวินัยในการออกกำลังกาย เข้ายิมทุกวัน แต่ 3 เดือนที่ผ่านมาค่อนข้างยุ่งเลยไม่ได้เข้ายิม แต่หลังจากร้านเริ่มลงตัวคิดว่าจะกลับไปออกกำลังกายทุกวันอีกครั้ง แต่คงไม่ได้เข้ายิมที 2 ชม.เหมือนเก่า เพราะไม่มีเวลา น่าจะเปลี่ยนมาเล่นครอสฟิต ใช้เวลาแค่ 45 นาทีน่าจะตอบโจทย์มากกว่า” ดีโน่ทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้ม