ในโอกาสครบรอบ 14 ปีของนิตยสาร Celeb Online ทาง Celeb Online จึงภูมิใจนำเสนอบทสัมภาษณ์พิเศษ 10 เซเลบริตีตัวแม่ของแวดวงสังคม ซึ่งจะมาถ่ายทอดเรื่องราวทั้งในปัจจุบัน และย้อนวันวานวัยใสเมื่อครั้งอายุ 14 ปี ให้ได้ติดตามกันทุกวันจันทร์
“ไม่ยอมแพ้สังขารและจิตใจ” คัมภีร์ชีวิต “หทัยเทพ ธีระธาดา”
“ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ” คือประโยคที่ดังก้องในใจหลังจากได้มีโอกาสสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “ซูซี่-หทัยเทพ ธีระธาดา” ไฮโซคนดัง หรือที่หลายคนรู้จักในฐานะคุณแม่ยังสวยของ “ดอน ธีระธาดา” อดีตนักแสดงหนุ่มชื่อดัง ที่ล่าสุดลุกขึ้นมาลุยธุรกิจอีกครั้งด้วยการเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์แอนทีค One More Time By Susie และร้านเครื่องประดับ One and Only By Susie ณ ศูนย์การค้าเพนนินซูลา พลาซา ซึ่งงานนี้เจ้าตัวเผยอย่างอารมณ์ดีว่า “เป็นการคืนสู่วงการธุรกิจอีกครั้ง”
“สำหรับธุรกิจร้านเฟอร์นิเจอร์แอนทีคเป็นความชอบส่วนตัวของเราอยู่แล้ว เราชอบเฟอร์นิเจอร์สไตล์ยุโรป โดยเฉพาะของฝรั่งเศส จะเห็นว่าบ้านทุกหลังที่มีอยู่ก็จะสร้างให้มีเฟอร์นิเจอร์ของฝรั่งเศสทั้งนั้น ชอบมาตั้งแต่เด็ก ทั้งที่ยังไม่เคยไปเห็นพระราชวังแวร์ซายส์ด้วยซ้ำ แต่อาศัยอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับปราสาทราชวัง เฟอร์นิเจอร์ที่อยู่ในร้านไม่ใช่ของเราหมดทุกชิ้น มีส่วนหนึ่งเป็นของที่เราสะสมมานานแล้ว บางชิ้นเป็นของเพื่อน ของญาติบ้าง และมีที่เราไปหามาซื้อหรือประมูลจากในเมืองไทยและต่างประเทศ” ซูซี่บอกเล่าถึงธุรกิจที่เกิดจากแพชชันอย่างออกรส ก่อนจะเผยต่อว่า
“ของแอนทีคไม่มีราคาตายตัว อยู่ที่ความชื่นชอบระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ขึ้นอยู่กับว่าของชิ้นนั้นให้ความรู้สึก Sentimental กับเราแค่ไหน เพราะสุดท้ายในฐานะคนซื้อ มีแค่เราคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าของชิ้นนั้นหามายากง่าย มีคุณค่าทางใจอย่างไร ของแต่ละชิ้นในร้านเรามีสตอรีทั้งหมด ซึ่งความเป็นมาของเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นมีสิ่งที่น่ารักๆ ทั้งนั้น ถ้าคนที่ชอบด้านนี้ ก่อนจะซื้อเขาก็ต้องศึกษาดูว่าชิ้นนี้คืออะไร เพราะเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นราคาไม่ได้เบา ก่อนจะซื้อก็ต้องชื่นชอบกับมันก่อน เหมือนกับก่อนที่เราจะเอามาขาย เราจะขายอะไรก็ต้องรักสิ่งนั้น ถ้าไม่รัก ไม่รู้ ไม่ได้ศึกษาไม่รู้คุณค่าของเขาก็ขายไม่ได้ เพราะไม่รู้จะอธิบายคุณค่าของเขาต่อคนซื้ออย่างไร”
ถามว่าทำไมถึงตัดสินใจลุกขึ้นมาลุยธุรกิจเฟอร์นิเจอร์แอนทีค ซูซี่ตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่า “คุณแม่ท่านชอบเก็บของพวกนี้มาก่อน อย่างบ้านเราที่เมืองนอกมีตั้ง 11 ห้องนอน มีเฟอร์นิเจอร์อยู่เยอะมาก ช่วงที่เรากลับมาไทย เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ก็ต้องไปเก็บอยู่ที่โกดัง ซึ่งเราต้องดูแลรักษาอย่างดีไม่ให้เสียหาย จนวันหนึ่งเราคุยกับเพื่อนๆ และเห็นว่าเขาก็มีเฟอร์นิเจอร์แอนทีคแบบนี้เหมือนกัน เลยคิดว่าน่าจะมีสถานที่ที่เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายเลยตัดสินใจเปิดร้าน ถามว่าเราจำเป็นต้องนำมาขายไหมก็ไม่จำเป็น แต่เพราะลูกเราเองก็ไม่ชอบทางนี้ เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนเรามีเพชรเม็ดใหญ่จะให้ลูกเรา ลูกเราไม่ชอบ เพชรเม็ดนั้นก็ไร้คุณค่า สู้เอามาส่งต่อให้คนที่ชอบดีกว่า”
หลังจากเปิดตัวธุรกิจนี้เมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซูซี่บอกเล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า “ไม่คิดว่าจะมีลูกค้าให้ความสนใจมากขนาดนี้ ทุกครั้งที่ได้ฟังลูกค้าบอกว่า ไม่คิดว่าคุณซูซี่หาของสวยๆ มาได้เยอะแยะแบบนี้ เราก็ปลื้มว่าเรามีเทสต์ดี ส่วนใครจะเมาท์ว่าเราถึงขั้นเอาของเก่ามาขาย ไม่ได้รู้สึกอะไร คิดว่าการที่เรามีของมาขายดีกว่าคนไม่มีนะ ใช่หรือเปล่า แต่ไม่ใช่ว่าขายเพราะไม่มีกิน ถ้าแบบนั้นเราคงไม่เดินทางไปหาของใหม่มาเติมอยู่ตลอด จริงๆ การที่มีคนไปเขียนแบบนั้น เราชอบนะ อย่าลืมนะเราเรียนนิเทศศาสตร์รุ่น 1 เรารู้ว่าถ้าจะทำให้คนสนใจข่าว ประเด็นต้องแรง เพราะฉะนั้นข่าวนี้เราเฉยๆ ไม่เครียด” ซูซี่เคลียร์ชัดก่อนเผยต่อว่า นอกจากจะลุยธุรกิจเฟอร์นิเจอร์แอนทีคเต็มตัว เธอยังสนุกกับอีกหนึ่งธุรกิจ นั่นคือ ธุรกิจเครื่องประดับ
“ด้วยความที่เดินทางบ่อย ทุกครั้งที่กลับมาเราจะไปซื้อพวกหินแปลกๆ กลับมาด้วย พอบวกกับแพชชันที่ชอบวาดรูป เลยเป็นที่มาของการลุกขึ้นมาออกแบบเครื่องประดับแล้วส่งไปทำที่สิงคโปร์ แรงบันดาลใจในการออกแบบของเรามีทั้งมาจากตัวเราเอง บางครั้งก็เกิดจากการเดินทางไปเห็นชิ้นนี้สวย ก็เอามาดัดแปลงแก้ไขให้เป็นสไตล์ของเรา เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าผลงานที่ออกมาจะเป็นแนวเครื่องประดับชิ้นใหญ่ ซึ่งเป็นสไตล์ที่เราชอบ ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัด สร้อย แหวน เราก็เลยทำแนวนี้ อย่างน้อยคนไม่ซื้อ เราชอบเราก็ใส่เองได้” ซูซี่บอกเล่าอย่างอารมณ์ดี
ฟังเพลินถึงสองธุรกิจที่ซูซี่ลุกขึ้นมาปลุกปั้นอย่างจริงจังอีกครั้ง พานให้สงสัยว่าเธอไปนำพลังจากไหนในการลุกขึ้นมาเริ่มต้นแบบไม่แคร์วัย
“เราเป็นคนทำธุรกิจมาเรื่อยๆ อยู่แล้ว ตั้งแต่ตอนนำเข้าผลิตภัณฑ์บำรุงผิว “Natura Bisse” จากบาร์เซโลนามาทำตลาดในไทยเมื่อ 10 ปี จนวันหนึ่งรู้สึกว่าทางบริษัทแม่อยากจะเข้ามาทำตลาดเอง เลยตัดสินใจหยุดขาย ถอนตัวจากเอ็มโพเรียม และเซ็นทรัลชิดลมทันทีตามสไตล์คนคิดและตัดสินใจเร็ว เราไม่ยอมให้เขามาเหยียบหัวเรา ทั้งๆ ที่ตอนนั้นแบรนด์กำลังไปได้ดี มาถึงธุรกิจเครื่องประดับเราก็คิดปุ๊บทำปั๊บ ใช้เวลาคิดไม่ถึงเดือน เหตุผลที่เราเลือกศูนย์การค้าเพนนินซูล่า พลาซ่า เพราะเป็นสถานที่ที่ผูกพัน สมัยก่อนตอนอยู่เมืองนอกก็จะมาพักโรงแรมข้างๆ นี้ พอกลางวันก็ต้องมากินก๋วยเตี๋ยวเรือที่นี่ ส่วนลูกชอบมากินแฮมเบอร์เกอร์ เสน่ห์ของที่นี่คือไม่แออัด มาแล้วเหมือนได้มาพักผ่อน เราไม่กลัวนะว่าห้างจะเงียบ เพราะเราเป็นแนวชอบลุย ชอบทำให้สำเร็จ ยิ่งถ้าเขาทำได้ไม่ดี แล้วเราทำให้ดีขึ้นมาใหม่ เรารู้สึกเหมือนเป็นฮีโร่”
ซูซี่ยังบอกด้วยว่าหลักการใช้ชีวิตที่ทำให้เธอยืนหยัดมาถึงวันนี้มี 2 ข้อ คือ Be Success และ Dare to Fail ถ้าเผื่อเรามาแล้วศูนย์การค้านี้เกิดไม่ได้ เราก็ Dare to Fail เพราะเราบอกตัวเองเสมอว่า ถ้าอะไรที่เราทำถึงที่สุดแล้วยังล้มเหลว ก็ไม่เป็นไร ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว นอกจากนี้ เร็วๆ นี้เธอยังมีแผนจะเปิดอีกหนึ่งธุรกิจ นั่นคือ ธุรกิจเครื่องหอมชื่อ Aroma ซึ่งมีทั้งส่วนที่ผลิตเองและนำเข้า
“ตอนนี้กำลังวางแผนว่าจะไปศึกษาเรื่องเครื่องหอมที่ฝรั่งเศส เพราะคนเราเวลาจะทำอะไรต้องรู้จริง เราคิดเสมอว่าตราบที่สองมือสองขายังมีแรงต้องทำ อยู่นิ่งไม่เป็น อาจเพราะเกิดปีลิงด้วยมั้งเลยทำไปเรื่อย ทำเพราะสนุก ถามว่าจำเป็นมั้ยที่เราต้องมาอยู่ที่ร้าน ไม่จำเป็น จ้างคนก็ได้ ก็เหมือนตอนทำแบรนด์ แต่เรามาเพราะอยากให้ลูกค้าที่มาซื้อของได้รู้จริง ได้รับการบริการที่ถูกต้อง”
ตลอดเส้นทางชีวิตที่วันนี้ผ่านพ้นเลข 7 มาแล้ว ซูซี่กล้าพูดว่าไม่เคยรู้สึกล้มเหลวกับชีวิต จะมีเรื่องที่ไม่สำเร็จตามที่คาดหวังบ้างก็ไม่ได้ถึงกับเป็นปัญหา “อย่างที่บอก ถ้าเราทำดีที่สุดแล้วได้แค่นั้น เราก็ต้องกลับมาดูว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องแก้ไข พลิกแพลง คนเราต้องอย่ายอมแพ้ในหน้าที่การงาน สังขารและจิตใจตัวเอง”
สำหรับไลฟ์สไตล์วันว่าง ซูซี่บอกว่า นอกจากความสุขจากการชอปปิ้ง เดินทางท่องเที่ยว เธอยังแบ่งเวลาสำหรับการออกกำลังกาย การเลือกรับประทานอาหารที่ดี และไม่ลืมดูแลจิตใจด้วยการสวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำบุญ
“บางทีเราก็ถือศีลนาน 3 เดือน หรืออย่างช่วงที่กินเจ เราก็กินมังสวิรัติ เราไม่ได้ยึดติด อยากทำเมื่อไหร่ก็ทำ ส่วนการดูแลตัวเองเราเป็นนางแบบมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นเป็นคนรักสวยรักงามมาก เราเชื่อว่าคนเราก็เหมือนกับดอกไม้ ไม่รดน้ำพรวนดินก็เหี่ยวไม่งอกงาม คนเราเหมือนกันต้องบำรุงผิว ทาครีมกันแดด ดื่มน้ำเยอะๆ ไม่ดื่มน้ำอัดลม ไม่ดื่มเหล้า บุหรี่ไม่สูบ พักผ่อนให้เพียงพอ”
พูดถึงการเป็นนางแบบ พานให้นึกถึงซูซี่สมัยวัยทีน เพราะเริ่มเป็นนางแบบตั้งแต่อายุ 14 “สมัยนั้นสังคมน่ารัก ไปไหนก็ปลอดภัย รถราก็น้อย ผู้คนใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยน อาจด้วยภาวะเศรษฐกิจต่างๆ ทำให้ทุกคนหน้าตาเคร่งเครียด สนใจแต่มือถือ สังคมไม่อบอุ่นเหมือนเดิม สมัยนั้นเราเป็นคนชอบเที่ยว ชอบของสวยๆ งามๆ ชอบแต่งตัว ชอบชีวิตที่หรูหรา จำได้ว่าทุกวันศุกร์ต้องขอเงินคุณพ่อไปทานไอศกรีมที่ลิตเติ้ลโฮมแถวแยกราชประสงค์ บางครั้งก็ไปโยนโบว์ลิ่งตรงเกษร ไปไนต์คลับ สมัยนั้นต้องเป็นเมมเบอร์ถึงจะเข้าได้ ทุกคนจะแต่งตัวสวยไปนั่งฟังเพลงเพราะๆ ส่วนเสาร์-อาทิตย์ก็ต้องไปดูหนัง”
อย่างไรก็ตาม ในวัย 75 ปี ซูซี่ทิ้งท้ายอย่างน่าคิดว่า “ชีวิตเราวันนี้เป็นช่วงนับถอยหลังแล้ว เราก็พยายามกอบโกยความสุข และทำอะไรเพื่อมอบให้คนรุ่นหลัง ลูกหลาน เพื่อนที่รู้ใจ เพราะเราไม่รู้ว่าจะไปเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น ต้องหาความสุขให้ตัวเอง ทำบุญไว้ชาติหน้า ไม่ลืมเผื่อแผ่ให้คนรอบข้างและสังคม อย่างน้อยวันหนึ่งถ้าเราจากไปจะได้ยังมีคนนึกถึงเรา”