ท่ามกลางความร่มรื่นของต้นไม้นานาพรรณอันเขียวชอุ่ม อยู่รายล้อมบ้านเรือนไทยที่ตั้งเด่นตระหง่านบนเนื้อที่กว่า 6 ไร่ บนถนนสุขุมวิท หญิงสูงวัยผิวเหลืองนัยน์ตาคมเข้มชวนสะดุดตา ที่สวยจัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผมพร้อมประดับเครื่องเพชรครบชุด ยืนเด่นเป็นสง่าต้อนรับผู้มาเยือนอย่างเป็นกันเอง แม้วันนี้ “ป้าต้อย-วันเพ็ญ เจิมประไพ” ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์เรือนไทยสุดหรูหลังนี้ และอดีตเจ้าแม่สมุนไพรต้นตำรับความงามของเมืองไทย จะมีอายุปาไปถึง 79 ปีแล้วก็ตาม หากแต่ความสวยเด่นสะดุดตานั้นไม่แพ้เมื่อครั้งยังเป็นสาวสะพรั่งเลยทีเดียว พร้อมยังพูดคุยบอกเล่าเรื่องราวเมื่อครั้งยังเป็นสาววัยใสได้อย่างคล่องแคล่วประหนึ่งว่าเหตุการณ์เพิ่งผ่านมาแค่วันเดียว
ในอดีตเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ในวงการสังคมไฮโซเมืองไทย คงไม่มีใครไม่รู้จักวันเพ็ญ สาวสวยนัยน์ตาคมลูกครึ่งไทย-พม่า ผู้พิชิตหัวใจ “อำนาจ เจิมประไพ” ไฮโซหนุ่มเจ้าเสน่ห์มากความสามารถ ผู้มีหญิงสาวมากหน้าหลายตามาล้อมหน้าล้อมหลังได้ และในอีกยุคหนึ่งของสังคมไฮโซ ความพริ้งพราวระยิบระยับของเครื่องเพชรที่ประโคมอยู่บนเรือนกายในแต่ละครั้งที่ออกงานสังคมนั้น ก็ทำให้ป้าต้อยโดดเด่นเป็นที่รู้จักของคนไทยทั้งประเทศ จนได้รับฉายาว่าเจ้าแม่ห่มเพชรเมืองไทยไปโดยปริยาย
ป้าต้อยเล่าย้อนถึงช่วงชีวิตเมื่อครั้งยังสมัยเป็นสาว ด้วยสมองที่ยังจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้เป็นอย่างดีว่า ในวัยสาว 14 ของเธอนั้นอาจไม่มีอะไรโลดโผนเหมือนสาวๆ คนอื่น เพราะช่วงนั้นกำลังไปศึกษาอยู่ที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย แต่เรียนอยู่ได้เพียง 2 ปียังไม่จบการศึกษาด้วยซ้ำ สามี ซึ่งขณะนั้นเป็นแค่แฟนกัน ก็เดินทางไปรับถึงปีนัง แล้วก็ตัดสินใจเดินทางกลับมาที่เมืองไทย และแต่งงานกันตอนอายุ 16 ปี ดังนั้น จึงทำให้วัยสาวช่วงแรกๆ ของป้าต้อยเป็นช่วงของการเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ การเรียนรู้การออกงานสังคมเสียมากกว่า
“ตอนเป็นสาว ป้าเป็นคนเรียบร้อยมาก ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ออกจะเป็นคนเฉยๆ ด้วยซ้ำ เพราะคุณย่าสอนให้เราเป็นคนมัธยัสถ์ จึงทำให้มีบุคลิกเป็นคนขยันทำมาหากินและใฝ่รู้อยู่เสมอ ตอนที่ไปเรียนหนังสือที่ปีนัง ป้าก็ต้องทำงานเก็บเงินไปเรียนเอง ที่ไปเรียนในช่วงนั้นเราอยากมีความรู้ภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่มีเงินมากพอที่จะไปเรียนไกลถึงยุโรปเหมือนลูกคนมีเงินคนอื่น จึงไปเรียนที่ปีนัง ใกล้ๆ กับประเทศไทย เพราะคนในยุคนั้นต้องเป็นเด็กนอกเท่านั้นถึงจะเข้าสังคมได้แบบไม่อายใคร ไปเรียนที่ปีนัง 2 ปีก็ได้ภาษาอยู่บ้าง
แต่พอสามีขึ้นไปรับก็ตัดสินใจกลับมากับเขาแล้วก็มาแต่งงานกัน สมัยที่แต่งงานตอนนั้นเรายังไม่ค่อยรู้จักใคร ก็มีแขกมาร่วมงานเพียงแค่ 20 คน แต่เราก็จัดโรงแรมเอราวัณ ซึ่งเป็นโรงแรมที่ขึ้นชื่อที่สุดในยุคนั้นเลย ถ้าใครจัดงานที่โรงแรมนี้ถือว่าร่ำรวยในระดับหนึ่ง และด้วยความที่สามีเป็นคนที่มีสังคมเยอะมาก และต้องทำการค้ากับชาวต่างชาติในแต่ละวัน ป้าจึงต้องเริ่มออกงานสังคมกับสามี เรื่องพูดภาษาอังกฤษเราไม่กลัวอยู่แล้ว พูดได้น้ำไหลไฟดับ แต่ต้องพยายามเรียนรู้การแต่งตัวของสาวๆ สังคมชั้นสูงในขณะนั้น ว่าเขาแต่งตัวกันอย่างไร”
พอเริ่มออกงานสังคมบ่อยขึ้นเริ่มรู้จักธรรมเนียมการออกงานสังคม จากสาวเรียบร้อย ป้าต้อยก็แปลงโฉมตัวเองกลายเป็นสาวเปรี้ยว แต่งตัวเปิ๊ดสะก๊าด สวยเฉี่ยวไม่แพ้สาวๆ ยุคนี้เลยก็ว่าได้ แถมการพบปะสังสรรค์ของหนุ่มสาวยุคนั้นส่วนใหญ่จะนัดรับประทานข้าวกันที่โรงแรม หรือไม่ก็สลับผลัดเปลี่ยนไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของเพื่อนแต่ละคน ที่สำคัญอีกหนึ่งค่านิยมของสาวๆ ยุคนั้นที่มาเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกคู่ครอง นอกจากมีพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติและรูปสมบัติแล้ว ต้องเป็นหนุ่มนักเรียนนอกเท่านั้นถึงจะดึงดูดสายตาของสาวๆ ได้
“พอป้าเริ่มเข้างานสังคมบ่อยขึ้นก็เริ่มแต่งตัวเป็น สมัยนั้นเวลาออกงานสังคมต้องแต่งตัวเกล้าผมสูง ถ้าไม่เกล้าผมสูงก็ต้องไว้ผมทรงฟาราห์ คือเป็นผมทรงม้วนๆ ที่ดูมีวอลุ่มหนาสวย ที่สำคัญต้องใส่กระโปรงยาวบานด้านในใส่สุ่มไว้ และใส่เสื้อแขนกุด รองเท้าส้นสูงปรี๊ดโชว์ทรวดทรงองค์เอว ผู้หญิงสมัยนั้นต้องใส่เสื้อโชว์เนินอก และเอวคอดๆ เรียกว่าผู้หญิงยุคนั้นเปรี้ยวทุกคน เปรี้ยวด้วยการแต่งตัว อีกอย่างที่จะทำให้ผู้หญิงในยุคนั้นเข้าสังคมชั้นสูงได้อย่างไม่มีเขินอายคือ ต้องเป็นนักเรียนนอก พูดภาษาอังกฤษได้คล่องปร๋อ ใครจบมาจากนอกก็จะมีดีกรีหน่อย ส่วนหนุ่มๆ ก็ต้องเป็นเด็กนักเรียนนอกอีกเช่นกันถึงจะมีสาวๆ มาสนใจ ถ้ามีเพียงแค่ทรัพย์สมบัติอย่างเดียว ผู้หญิงยุคนั้นก็ไม่ค่อยสนใจ และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เลือกสามีคนนี้มาอยู่ข้างกาย เพราะเขานอกจากจะเป็นคนหล่อหน้าตาดีแล้ว ยังเป็นนักเรียนนอกอีกด้วย (หัวเราะ)”
นอกจากการพบปะสังสรรค์กันในงานสังคมตามจุดนัดพบต่างๆ แล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมผ่อนคลายที่หนุ่มสาวสังคมนิยมกันมากในสมัยก่อนนั้นก็คือ การเต้นรำตามในคลับในบาร์ หรือตามสโมสรต่างๆ ที่จัดไว้ให้ และอีกกิจกรรมสุดโปรดที่ป้าต้อยชื่นชอบมากที่สุด นอกจากจะเป็นการผ่อนคลายมากที่สุดในยุคนั้นแล้ว ยังฝึกความแข็งแกร่งไปในตัวให้ได้อีกด้วย นั่นก็คือ การเล่นสกี
“สมัยก่อนกีฬาที่หนุ่มสาวสังคมเขาจะฮิตกันมากที่สุดคือ การเต้นรำ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นตามในคลับ ในบาร์ ตามสถานที่ต่างๆ ที่เขาจัดเต้นรำกันไม่ว่าจะเป็นสวนลุมพินี บางแสน บางปู เป็นต้น หรือถ้าเป็นสังคมชั้นสูงขึ้นมาหน่อยเขาก็จะไปเต้นรำกันที่สโมสรต่างๆ แต่ที่แน่ๆ ผู้หญิงในยุคนั้นถ้าอยากเข้าสังคมหรูๆ นอกจากจะแต่งตัวเก่งแล้วยังต้องเต้นรำเป็นกันทุกคน ป้าก็เป็นอีกคนที่ชอบเต้นรำมาก แต่ส่วนใหญ่จะไปเต้นรำที่บางปู บางแสน ซึ่งสมัยก่อนเขาจะมีจัดสถานที่ให้ไปเต้นรำกัน แต่อีกหนึ่งกิจกรรมในยุคนั้นที่ป้าชอบมากที่สุดคือ การเล่นสกี ตอนนั้นป้าเล่นสกีขาเดียวด้วยนะ ไปเล่นที่เมืองนนท์ ตั้งแต่วัดเขมาฯ ไปจนถึงปากเกร็ด เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เหตุผลที่ชอบเล่นสกีเพราะรู้สึกว่ามันท้าทายดี ทำให้เรามีสมาธิและฝึกความแข็งแรงให้กับร่างกายด้วย”
ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่ป้าต้อยต้องผ่านร้อนผ่านหนาวในวงการไฮโซมาอย่างโชกโชน จนเป็นที่รู้จักของคนไทยทั้งประเทศกับฉายาเจ้าแม่ห่มเพชรเมืองไทย ที่การปรากฏตัวของป้าต้อยในงานสังคมทุกวันนี้ สิ่งแรกที่เห็นเป็นประกายเด่นชัดมาแต่ไกล เรียกแสงแฟลชจากช่างภาพได้ทุกงาน นั่นก็คือ เครื่องเพชรมูลค่ากว่าหลายสิบล้านบาทที่ห่มตัวมาแต่ไกล ป้าต้อยได้เปรียบเทียบงานสังคมในอดีตกับปัจจุบันให้ฟังว่า มีความต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่อาจเป็นเพราะโลกได้หมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกเวลา ทุกสิ่งอย่างก็ต้องพัฒนาให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง ไม่เว้นแม้แต่งานสังคมในเมืองไทย
“สังคมยุคในอดีตกับปัจจุบันต่างกันมาก งานสังคมสมัยนี้จัดงานทีมีความเวอร์วัง การออกงานแต่ละครั้งต้องประโคมเครื่องเพชรจัดเต็มทั้งชุดเล็กชุดใหญ่ จัดเต็มเสื้อผ้าหน้าผม แต่งานสังคมสมัยก่อนมีความเรียบง่าย ทุกคนในแวดวงสังคมล้วนรู้จักกันหมด เราจะดูว่านิสัยคบได้ไหมถ้านิสัยดีเราก็คบ แต่เดี๋ยวนี้อาจเป็นเพราะคนรุ่นเดียวกับป้าล้มหายตายจากไปหมดแล้ว (หัวเราะ)”
ทุกวันนี้ป้าต้อยในวัย 79 ปี สาวสังคมยุคบุกเบิกของเมืองไทย ได้แขวนสร้อยเพชรไว้ในตู้เซฟเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับสามีสุดที่รัก ที่มีอายุแก่กว่าป้าต้อยถึง 10 ปี ในบ้านพักคฤหาสน์สุดหรูบนถนนสุขุมวิท และส่งไม้ต่อให้ลูกสาวดูแลกิจการสมุนไพรที่ตัวเองและสามีได้ร่วมกันสร้างขึ้นมา โดยป้าต้อยผันตัวเองมาเป็นคนสวน ช่วยจัดสวน ดูนก ชมไม้ภายในบ้านอย่างมีความสุข แถมยังบอกทิ้งท้ายด้วยว่า
“ป้าทำงานมาเยอะตลอดชีวิตแล้ว หลังจากนี้ก็ขอพักผ่อนอยู่อย่างสบาย อยากอยู่บ้านเฉยๆ อยากนอนตื่นสายๆ ส่วนงานสังคมก็อาจมีออกบ้างเป็นบางงานที่เป็นคนสนิทสนมกัน เพราะแก่แล้วขี้เกียจแต่งตัว”
เป็นความทรงจำวัยสาว ที่ไม่ว่าจะปลุกให้หัวใจป้าต้อยนำออกมาฉายอีกกี่ครั้งก็ยังเป็นความทรงจำที่งดงามประหนึ่งเป็นเหตุการณ์เพิ่งเกิดมาเมื่อวานได้ทุกครั้ง