ในอดีตเมือง “ฉางซา” ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกและดึงดูดให้คนทั่วทุกสารทิศมาเยี่ยมเยือน เพราะทัศนียภาพที่สวยงามของ เมืองจางเจียเจี้ย ที่ได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลก อีกทั้ง อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย ที่มีความสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์จนภาพยนตร์เรื่อง อวตาร ภาค 1 (Avatar) นำไปถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม เมื่อ 9 ปีที่แล้ว ที่สำคัญ ฉางซายังเป็นบ้านเกิดของประธานาธิบดีเหมาเจ๋อตุง อีกด้วย
จนถึงขณะนี้ ผู้คนก็ยังคงเดินทางไปเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสาย สายการบินไทยสมายล์ จึงถือโอกาสเปิดเส้นทางใหม่ กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ)-ฉางซา พร้อมพาคณะสื่อมวลชนไปสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งก่อนไปเช็คสภาพดินฟ้าอากาศแล้วว่าผ่านฉลุย แต่ฟ้าฝนก็ไม่เป็นใจ ทริปนี้เลยต้องฝ่าสายฝน ปะทะไอหมอกกันอย่างชุ่มฉ่ำ พร้อมชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามกันไปอีกรูปแบบหนึ่ง
เอาเป็นว่า หากใครอยากสัมผัสไอหมอกเย็นๆ มาที่นี่ช่วงปลายเดือนตุลาคมสมใจแน่ๆ แถมวางแผนการเดินทางดีๆ จะทำให้ไม่เหนื่อยจนเกินไป อย่างทริปนี้ ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ 16.05 น. ถึงสนามบินฮวงหัวแห่งเมืองฉางซา 20.20 น. จากนั้นเดินทางต่อด้วยรถบัสไปยังเมืองฉางเต๋อ ใช้เวลา 3 ชั่วโมง (ทางด่วนที่จีนจำกัดความเร็ว และต้องหยุดพักรถตามเวลาที่กำหนด) เพื่อเข้าพักที่ โรงแรม Zeyun ระดับห้าดาว ห้องพักตกแต่งสไตล์จีน พร้อมแสงไฟสลัวสีเหลืองทอง ทำให้บรรยากาศของค่ำคืนนั้นอบอุ่น หลับสบาย
ตื่นมาตอนเช้าหลังรับประทานอาหาร ออกเดินทางจากเมืองฉางเต๋อสู่เมืองจางเจียเจี้ย ระยะทาง 160 กม. ใช้เวลาเดินทางกว่า 2 ชม. เพื่อเข้าคิวขึ้นกระเช้าสู่ยอดเขาเทียนเหมินซาน ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 1,500 เมตร กับอุณหภูมิที่ 13-16 องศาเซลเซียส ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย ทุกคนจึงมาในชุดกันฝนหลากสีสัน ส่วนกระเช้าที่ขึ้นนั้นบรรจุคนได้ 8 คน ระยะทาง 7,455 เมตร ใช้เวลา 40 นาที นับเป็นกระเช้าขึ้นเขาที่ยาวที่สุดในโลก ระหว่างทางสู่ยอดเขาจะมองเห็นถนนลำไส้ที่มีความโค้งถึง 99 โค้ง ใครที่กลัวความสูงหายห่วงเพราะหมอกช่วยคุณได้ บางช่วงหมอกปกคลุมจนหายเสียวกันไปเลย
ถึงที่หมายลงจากกระเช้า อุณหภูมิบนยอดเขาอยู่ที่ 7 องศาเซลเซียส งานนี้เย็นจับใจ ประกอบกับแรงลมที่มีละอองฝนพัดมาประปราย แต่เราเตรียมตัวกันมาดี ทั้งเสื้อกันฝน ร่ม หมวก รองเท้าพลาสติกหุ้มรองเท้าอีกที เพื่อเดินป่าชมธรรมชาติ ซึ่งบางช่วงจะเป็นสะพานกระจกเลียบหน้าผาในระยะที่ไม่ยาวมากนัก และต้องเดินฝ่าสายหมอกที่ปกคลุมไปทั่ว จึงหายหวาดเสียวไปโดยปริยาย เดินเรื่อยๆ จนมาถึงบันไดเลื่อนเพื่อนำทางไปสู่ “ประตูสวรรค์” ซึ่งเป็นจุดสูงสุดบนยอดเขาเทียนเหมินซาน 1 ใน 4 ของภูเขาที่มีความงดงามที่สุดในประเทศจีน
ประตูนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีความสูง 131.5 เมตร กว้าง 57 เมตร ลึก 60 เมตร จุดนี้เป็นไฮไลต์ที่ใครขึ้นไปแล้วต้องไปอธิษฐานขอพรเพื่อรับสิ่งดีๆ สู่ชีวิต วันที่เราไปนั้นทั้งลมและฝนพัดกระหน่ำเย็นยะเยือกมาก และเพราะหมอกอีกเหมือนกันเราจึงมองเห็นช่องของประตูได้อย่างเลือนราง และเมื่อเดินมายังด้านหน้าของประตูสวรรค์ ก็จะเจอทางลงบันได 999 ขั้น หากอากาศดีๆ ใครที่รักการออกกำลังกายก็จะเดินลงก็ได้ ไม่หวงห้าม แต่ถ้าหากมีฝนและหมอกหนา ไม่แนะนำ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ กลุ่มเราจึงเลี่ยงมาลงบันไดเลื่อนในร่มที่ยาวที่สุดในโลกแทน ส่วนค่าขึ้นกระเช้าเพื่อไปดูประตูสวรรค์อยู่ที่ 228 หยวน
จากนั้น เราพากันนั่งรถมินิบัสของอุทยานผ่านถนนลำไส้ ที่คนขับต้องมีความชำนาญเป็นพิเศษ เพราะทั้งคดไปโค้งไปมาแถมทางแคบ เพื่อกลับลงด้านล่าง และในช่วงพลบค่ำพวกเราก็ได้เดินทางไปดูการแสดงแสง สี เสียง กลางแจ้ง เรื่อง นางพญาจิ้งจอกขาว เป็นเรื่องราวความรักของนางพญาจิ้งจอกขาวกับชายผู้เป็นที่รัก แต่ต้องพลัดพรากจากกัน ใช้นักแสดงกว่า 600 คน แสดงภายใต้สะพานเชื่อมเขาสองลูก ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย แต่ทุกคนที่ตั้งใจมาชมเรื่องราวความรักที่เป็นอมตะก็ไม่มีใครท้อถอย นั่งดื่มด่ำชมการแสดงจนจบ สำหรับราคาบัตรเข้าชมอยู่ที่ 300 หยวน โดยทุกคนจะได้รับแจกเสื้อกันฝนคนละหนึ่งตัว
เริ่มวันใหม่ช่วงเช้าเดินทางไปเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่บนยอดเขาเทียนเหมินซาน ซึ่งก็คือ สะพานแก้ว ที่เชื่อมต่อระหว่างหน้าผาบนยอดเขา 2 ฝั่ง ความยาวกว่า 400 เมตร กว้าง 6 เมตร สูงจากพื้นดินประมาณ 300 เมตร และเพิ่งเปิดมาได้เพียง 2 ปี ที่นี่ไม่อนุญาตให้นำกล้องถ่ายรูป ไอแพด รองเท้าส้นสูง หรือแม้กระทั่งกระเป๋าใบใหญ่ๆ เข้ามา เพื่อป้องกันการตกกระแทกใส่กระจกเสียหาย แถมทุกคนต้องสวมรองเท้าผ้าหุ้มรองเท้าอีกทีหนึ่ง เพื่อป้องกันความสกปรก สะพานนี้นับเป็นสะพานแก้วที่สูงที่สุดและยาวที่สุดในโลก ค่าเข้าชมคนละ 150 หยวน
ระหว่างพักผ่อนในเมือง ยังได้เที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ประจำมณฑลหูหนาน ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับฉางซาและมณฑลหูหนาน โดยเฉพาะ ประวัติศาสตร์ตั้งแต่การก่อตั้งเมืองจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจัดแสดงผ่านเทคโนโลยีสุดทันสมัย อีกทั้งภาพวาดทรายขนาดใหญ่ ที่ดึงดูดทุกสายตาผู้ไปเยี่ยมชมยิ่งนัก
มาถึงไฮไลต์ของทริปนี้คือ การเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย หรืออุทยานอู่หลิงหยวน เพื่อขึ้นเขาอวตาร หรือ “เทียนจื่อซาน” โดยต้องซื้อบัตรเข้าเที่ยวชมในราคา 248 หยวน และต้องนั่งรถมินิบัสของทางอุทยานเพื่อเที่ยวชมตามจุดต่างๆ แต่จุดเป้าหมายของกลุ่มเราคือไปขึ้น ลิฟต์แก้วไป่หลง (ต้องเสียเงินเพิ่ม) ซึ่งเป็นลิฟต์แก้วที่สูงที่สุดในโลก ใช้เวลาขึ้นลงไม่ถึง 2 นาที ระหว่างอยู่ในลิฟต์ทุกคนตื่นเต้นที่จะได้ชื่นชมกับความสวยงามของเขาอวตาร ยามเมื่อลิฟต์ค่อยๆ พุ่งขึ้นสู่ยอดเขาเป็นอย่างมาก
และแล้วพวกเราก็ต้องตะลึงงันกับความสวยงามของเสาหินควอตซ์สูงตระหง่านเสียดฟ้า ซึ่งมีมากกว่า 3,000 ต้น ที่รวมๆ เรียกว่า ขุนเขาอวตาร ท่ามกลางม่านหมอกที่ลอยล้อบนยอดเขา เป็นความสวยงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ให้ผู้ที่ได้ยล จนไม่อยากที่จะละสายตา
อีกจุดที่พลาดไม่ได้ซึ่งนักท่องเที่ยวพากันไปเข้าคิวถ่ายภาพคือ กิ้งก่าบิน (ในเรื่องอวตาร) ที่ทางอุทยานสร้างขึ้นมาเป็นพร็อพให้ได้ถ่ายรูปกัน กับอีกไฮไลต์สำคัญคือ “สะพานหนึ่งในใต้หล้า” สะพานหินขนาดใหญ่เชื่อมภูเขา 2 ลูกไว้ด้วยกัน แต่ด้วยความที่มีหมอกปกคลุมหนามาก อาจจะมองเห็นสะพานหินได้อย่างไม่ชัดเจนนัก
ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย อุทยานแห่งชาติของจีน กำหนดให้ทุกจุดเข้าออกต้องสแกนบัตรและนับจำนวนคน เพื่อป้องกันคนหลงป่าหรือตกค้างอยู่ภายในอุทยาน
หลังจากเที่ยวชมธรรมชาติกันอย่างหนำใจ ก็ถึงคิวชอปกันบ้าง งานนี้ ถนนคนเดินหวงซิงลู่ ที่เมืองฉางซา รอพวกเราอยู่ ทุกตรอกซอกซอยของย่านนี้ เต็มไปด้วยหนุ่มสาวชาวจีน อาหารการกิน เสื้อผ้า ของฝาก ของที่ระลึก ให้ได้ชอปปิ้งกันอย่างสนุกสนาน ส่วนอาหารที่ขาดไม่ได้เดินไปตรงไหนก็จะเจอก็คือ เต้าหู้เหม็น ใครที่ไม่เคยกินควรชิมให้รู้รสชาติ ว่าไปแล้วเมืองฉางซานี้นับว่าเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่า อาหารจีนอร่อย บางอย่างมีรสเผ็ด ถูกปากคนไทยอีกต่างหาก
เนื่องด้วยแต่ละสถานที่ท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย และเขาเทียนเหมินซาน ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ละที่ต้องมีการเข้าคิวซื้อบัตร ขึ้นรถมินิบัส ขึ้นกระเช้า ขึ้นลิฟต์ ขึ้นบันไดเลื่อน ซึ่งแถวยาวมากๆ ดังนั้น ควรไปกับทัวร์หรือมีคนนำทางจะสะดวกกว่า ซึ่งทริปของเราได้ไกด์อย่าง เอก-ชาญวิทย์ จารุสุธรรม นำพาความสะดวกมาให้ พร้อมข้อมูลและภาพแบบจัดเต็ม
ชอบเที่ยวช่วงไหน เลือกได้เลย สายการบินไทยสมายล์ เปิดทำการบินเส้นทางสุวรรณภูมิ-ฉางซา วันละ 1 เที่ยวบิน (4 วัน/สัปดาห์) ดูรายละเอียดที่ www.thaismileair.com, Call Center 1181 หรือ 0-2118-8888, ห้องจำหน่ายบัตรโดยสารไทยสมายล์ (Smile Service Centers) และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ (Smile Agents) พร้อมบริการแบบฟูลเซอร์วิส โหลดสัมภาระน้ำหนักถึง 20 กก. แถมสะสมไมล์ Royal Orchid Plus ได้อีกด้วย