xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนวัยใสอดีตสาวเนิร์ดสุดเปรี้ยว “ดร.มาลีรัตน์ คุนผลิน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ในโอกาสครบรอบ 14 ปีของนิตยสาร Celeb Online ทาง Celeb Online จึงภูมิใจนำเสนอบทสัมภาษณ์พิเศษ 10 เซเลบริตีตัวแม่ของแวดวงสังคม ซึ่งจะมาถ่ายทอดเรื่องราวทั้งในปัจจุบัน และย้อนวันวานวัยใสเมื่อครั้งอายุ 14 ปี ให้ได้ติดตามกันทุกวันจันทร์

ย้อนวัยใสอดีตสาวเนิร์ดสุดเปรี้ยว “ดร.มาลีรัตน์ คุนผลิน”

แม้ระยะหลังจะไม่ค่อยได้เห็น “ดร.มาลีรัตน์ คุนผลิน” เฉิดฉายในงานสังคม แต่ถ้าสังเกตจากสไตล์การแต่งตัวของ ดร.มาลีรัตน์ผ่านอินสตาแกรมของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “อั๋น-ภูวนาท คุนผลิน” ก็เดาได้ไม่ยากว่าสมัยสาวๆ ดร.มาลีรัตน์เปรี้ยวขนาดไหน

“เป็นคนรักสวยรักงามมาตั้งแต่สาวๆ เสียอย่างเดียวคือไม่ชอบออกกำลังกาย แถมยังมีความสุขกับการกิน กินจุกกินจิกได้ตลอดเวลา แต่ยังโชคดีที่คุมรูปร่างได้ เพราะหลังๆ เริ่มเลือกรับประทานมากขึ้น ของมันหรือของหวานพยายามเลี่ยง แต่ไม่ถึงกับเลิกนะคะ ทานได้แต่ไม่เยอะ” ดร.มาลีรัตน์เล่าอย่างอารมณ์ดีก่อนอัปเดตถึงภาระความรับผิดชอบและไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน ซึ่งเธอใช้คำว่า “สโลว์ไลฟ์กว่าแต่ก่อนมาก”

“ตั้งแต่เรียนจบก็ทำงานมาตลอด ตอนนี้ถึงเวลาวางมือจากงานจากธุรกิจ ให้ลูกๆ ทำ เรามีหน้าที่คอยให้คำปรึกษา ใช้ชีวิตชิลๆ เลี้ยงหลาน” ดร.มาลีรัตน์เล่าพร้อมกลั้วหัวเราะ แถมยอมรับว่าตอนนี้ติดหลานหนักมาก (น้องพอล-ลูกชายของคุณพ่ออั๋นและคุณแม่จ๋า-อลิสา พันธุศักดิ์)

“ตอนนี้น้องพอลกำลังน่ารักเลย วันไหนไม่เจอก็คิดถึง ต้องลงมาเล่นด้วย ถ้าช่วงไหนน้องพอลไปพัทยาก็จะให้พี่เลี้ยงคอยถ่ายรูป หรือไลฟ์แล้วส่งมาให้ดูตลอด”


เวลานี้โลกทั้งใบของ ดร.มาลีรัตน์จะเป็นของหลาน แต่ยามว่างเธอก็ยังมีความสุขกับการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ออกงานสังคมบ้างประปราย และใช้เวลาพักผ่อนอยู่บ้าน ดูรายการโทรทัศน์และฟังเพลงที่ชอบ

“ชอบดูละครค่ะทั้งไทยและฝรั่ง เรื่องไหนที่กระแสแรงๆ ดูหมด ตั้งแต่บุพเพสันนิวาส เมีย 2018 เลือดข้นคนจาง มีเวลาก็ออกไปเจอเพื่อนฝูง ส่วนการดูแลตัวเอง ก่อนหน้านี้ลูกชายก็จ้างครูมาสอนโยคะที่บ้าน แต่สอนได้สักพักก็ต้องหยุดเพราะเข่าสู้ไม่ไหว ตอนนี้เขาเลยจะหาครูมาสอนออกกำลังกายในน้ำแทน ซึ่งคิดว่าคงจะเริ่มเร็วๆ นี้ เพราะเห็นว่าเราขาไม่ค่อยมีแรง ทำให้ทั้งที่ชอบเที่ยวแต่บางครั้งก็ไม่ค่อยได้ไปเพราะขาเริ่มไม่ไหว เดินได้ไม่นาน”

ส่วนการออกงานสังคม ดร.มาลีรัตน์บอกว่า สมัยก่อนออกงานสังคมและทำงานช่วยเหลือการกุศลเยอะมาก แต่ระยะหลังเริ่มลดบทบาทลงไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยน

“หลังๆ เพลาลงเยอะค่ะ เพราะด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น สุขภาพตาก็ไม่ดีเหมือนเก่า คนรุ่นราวคราวเดียวกันที่เริ่มออกงานก็หายๆ ไป ที่สำคัญงานสังคมยุคนี้ก็ไม่เหมือนสมัยก่อน แต่ก่อนจะเป็นงานการกุศลระดมทุนเพื่อช่วยเหลือสังคมเยอะ แต่ด้วยสภาพการเมืองและเศรษฐกิจบ้านเรา ทำให้ระยะหลังงานลักษณะนี้เริ่มซาไป มาเป็นงานเปิดตัวสินค้ามากขึ้น ซึ่งสมัยก่อนไม่มี”

คุยมาถึงตรงนี้ เลยถือโอกาสตาม ดร.มาลีรัตน์ไปย้อนวันวานสมัยเป็นวัยรุ่นอายุ 14 ปีกันหน่อยว่าเป็นอย่างไร

“ตอนนั้นน่าจะเรียนอยู่ ม.2 หรือ ม.3 ที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซิสเซเวียร์ซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงล้วน วัยรุ่นยุคนั้นไม่เหมือนยุคนี้ เราไม่มีสยามสแควร์ หรือศูนย์การค้าให้ไปแฮงก์เอาต์ ถ้าจะไปก็คือไปเที่ยวต่างจังหวัด อย่างหัวหิน บางแสน หรือไม่ก็เชียงใหม่ ตัวเองสมัยนั้นเป็นพวกคงแก่เรียนมาก ซีเรียสกับการเรียน ต้องสอบได้คะแนนดี ตั้งแต่เด็กจนเรียนจบเซนต์ฟรังฯ สอบได้ที่ 1 ตลอด จนไปเรียนต่อต่างประเทศก็ยังเรียนได้ดี

ในความแก่เรียนนั้นก็แฝงไปด้วยความเปรี้ยว “สมัยก่อนเราไม่ชอบคบเพื่อนรุ่นเดียวกัน ชอบคบเพื่อนรุ่นพี่ที่โตกว่า 2-3 ปีเพราะเขาพาเราเที่ยวได้ (หัวเราะ) แต่การพาเที่ยวของเขาไม่ได้พาเราไปเสียนะ เพราะเขาไม่ได้เหลวไหล ก็ยังเรียนดี ทุกวันนี้หลายคนเป็นอาจารย์ เป็นดอกเตอร์ และยังคบกันมาจนถึงทุกวันนี้ จำได้ว่าสมัยนั้นวันหยุดเราก็จะตามพวกพี่ๆ ไปเต้นลีลาศที่บางปู หรือสวนลุมฯ พวกพี่ๆ เขาเต้นรำกันเก่งมาก เราเองเต้นไม่เป็นก็ได้แต่แต่งตัวสวยๆ ตามเขาไปเป็นผู้ชม เชื่อมั้ยว่าขนาดเราคิดว่าเราชอบแต่งตัวและเปรี้ยวแล้วนะ แต่สู้พวกพี่ๆ เขาไม่ได้เลย (หัวเราะ) เพราะพี่เขาแต่งตัวเก่งและเปรี้ยวมากจริงๆ” ดร.มาลีรัตน์ย้อนวัยหวานอย่างออกรส

“ช่วงอายุ 14 ปีถือว่าเป็นวัยที่ทั้งบ้าเที่ยวและบ้าเรียน เวลาอยู่ในกลุ่มพวกรุ่นพี่ก็จะเฮฮา เราจะออกแนวเงียบๆ แต่เปรี้ยวลึก อย่างที่บอกว่าเราเป็นคนชอบแต่งตัว รักสวยรักงาม แต่ด้วยความที่โรงเรียนเซนต์ฟรังฯ ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องกฎระเบียบ โดยเฉพาะทรงผมต้องตัดสั้น แต่เราอยากไว้ยาวเลยไม่ยอมตัด เวลาจะไปโรงเรียนทีก็จะติดกิฟต์ดำเต็มหัว จนมาเซอร์ (ครู) เรียกไปเตือนแต่เราก็ยังดื้อ เพราะยุคนั้น อมรา อัศวนนท์ ดังมาก เราก็อยากเป็นแบบอมรา พอวันหยุดก็มัดผมเบี้ยวไปด้านหนึ่ง พอยุค เพชรา เชาวราษฎร์ นิยมเกล้าผม มีจอน เราก็ทำบ้าง”

ดร.มาลีรัตน์ขยายความต่อว่า “ถึงจะชอบเที่ยว ชอบแต่งตัว แต่เราคิดอยู่เสมอว่าเวลาทำอะไรต้องเต็มที่ เรียกว่าเอาเป็นเอาตายก็ได้เพื่อให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบ ฉะนั้น ตอนเรียนเราก็ตั้งใจจนสอบได้ที่ 1 ทุกปี พอมาทำงานก็เอาจริงเอาจัง จนตอนหลังมาทำงานช่วยเหลือสังคมก็ยังคงมุ่งมั่นเต็มที่ จนได้รับรางวัลต่างๆ มากมายมาเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความตั้งใจ จนถึงทุกวันนี้ถึงจะลดบทบาทด้านงานการกุศล ไม่ค่อยออกงาน แต่ถ้ายังมีงานการกุศลส่วนไหนที่ยังช่วยเหลือได้เราก็ยินดีที่จะทำ”

ถามว่ามีเคล็ดลับอย่างไรถึงยังเรียนดีทั้งที่ก็ติดเที่ยว “ความจริงคุณพ่อคุณแม่ท่านก็ไม่ได้ปล่อยปละนะ แต่ท่านจะคอยดูอยู่ห่างๆ ตราบที่เห็นว่าลูกๆ ยังทำตัวดี อยู่ในกรอบ ท่านก็ให้อิสระ อย่างตอนที่จะเข้าโรงเรียนเซนต์ฟรังฯ เราก็เป็นคนขวนขวาย เพราะเห็นแล้วว่าเป็นโรงเรียนฝรั่งที่ใกล้บ้านที่สุด เราก็หาทางสอบเข้าไปจนได้ พอเรียนจบก็คิดว่าต้องไปเรียนต่อเมืองนอกให้ได้ เราก็ติดต่อ หามหาวิทยาลัยเองจนได้ไป ถึงสมัยเรียนจะชอบเที่ยว แต่ก็ไปเฉพาะวันหยุดหรือช่วงปิดเทอม ซึ่งเราต้องวางแผนจัดตารางของตัวเองไว้แล้วว่าต้องทบทวนบทเรียนเรียบร้อย หรืออย่างตอนไปเรียนไฮสกูลที่ต่างประเทศ เวลาเพื่อนๆ ไปเที่ยวเราไม่ไปเลย แถมกลางคืนพอที่หอพักดับไฟ เราก็แอบไปอ่านหนังสือเรียนในห้องน้ำโดยใช้ไฟฉายส่องวันละหลายชั่วโมง เลยทำให้พออายุเยอะขึ้นกระจกตาเสื่อมไว”

จากวันวานมาจนถึงวันนี้ ดร.มาลีรัตน์ยอมรับว่าสภาพสังคมเปลี่ยนไปมาก ที่เห็นชัดเจนคือสภาพสังคมในอดีตชวนให้รู้สึกปลอดภัยกว่าสมัยนี้ ไม่มีเรื่องของยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง


“สมัยก่อนอย่างที่บอกเปรี้ยวสุดก็คือการไปเต้นรำ ฟังเพลง เรายังเคยคุยกับลูกๆ เลยว่าจะเลี้ยงเด็กสมัยนี้ให้พ้นปากเหยี่ยวปากกายากมาก อย่างตอนเลี้ยงลูกเราก็ยังเลี้ยงแบบให้อิสระนะ เขาจะทำกิจกรรมอะไร เราไม่ค่อยว่า ไม่ค่อยพูด แต่ให้เขาอยู่ในสายตา ตราบที่เขายังเรียนได้ดี จะเป็นนักกิจกรรมไปสังสรรค์กับเพื่อนบ้างก็ไม่ใช่ปัญหา”

ดร.มาลีรัตน์ทิ้งท้ายว่า เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตก็พาให้หวนคิดถึงชีวิตในเวลานั้นไม่น้อย เพราะวัย 14 ปีสำหรับเธอถือเป็นหลักไมล์สำคัญช่วงหนึ่งของชีวิต เพราะเป็นวัยที่กำลังเริ่มต้นค้นหาตัวเอง

“ตอนอายุ 14 ปีเป็นวัยที่ยังไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร แม้แต่ตอนไปเรียนต่อต่างประเทศก็สับสนอยู่สักพักเพราะไม่รู้ว่าจะเรียนต่อด้านไหน รู้แต่ว่าเก่งเลขเก่งวิทยาศาสตร์แต่ไม่รู้ว่าอยากเป็นอะไร จากตอนแรกจะเลือกเรียนต่อด้านบัญชีเพราะคิดว่ารู้บัญชีไว้น่าจะเป็นประโยชน์ในการทำการค้าในอนาคต แต่ด้วยค่านิยมของคนสมัยก่อนมองว่าเรียนจบบัญชีมาก็ไปเป็นเสมียน ต้องมาเป็นลูกจ้างอยู่ดี เราเลยเบนเข็มมาเรียนเศรษฐศาสตร์

เพราะคนสมัยก่อน โดยเฉพาะคนจีนมองว่าเป็นวิชาที่เรียนไปเป็นนักบริหารประเทศ ซึ่งพอเรียนจบมาถึงได้รู้ว่าเศรษฐศาสตร์ก็ดีแต่รู้กว้างเกินไป ตอนหลังด้วยความที่ชอบตัวเลขเลยไปเรียนต่อด้านบัญชี พอเรียนจบมาก็มาทำงานเกี่ยวกับตัวเลขอยู่หลายปี ก่อนจะกลับมาช่วยงานของครอบครัว ส่วนธุรกิจเรือสำราญ เจ้าพระยาครุยส์เป็นกิจการที่ลูกๆ เขาเริ่มต้นกันมา ก็เติบโตไปได้ด้วยดี เราก็ได้เฝ้ามองด้วยความภูมิใจค่ะ” ดร.มาลีรัตน์ทิ้งท้ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม


กำลังโหลดความคิดเห็น