xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตหลากรส ของ “ม.ล.ปุญยนุช (เกษมสันต์) ดุลยจินดา” ในวัยใกล้เกษียณ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ในโอกาสครบรอบ 14 ปีของ นิตยสาร Celeb Online ทาง Celeb Online จึงภูมิใจนำเสนอบทสัมภาษณ์พิเศษ 10 เซเลบริตีระดับตัวแม่ของแวดวงสังคม ซึ่งมาถ่ายทอดเรื่องราวทั้งในปัจจุบัน และย้อนวันวานวัยใสเมื่อครั้งอายุ 14 ปี ให้ได้ติดตามกันทุกวันจันทร์


ชีวิตหลากรส ของ “ม.ล.ปุญยนุช (เกษมสันต์) ดุลยจินดา” ในวัยใกล้เกษียณ

ถ้าไม่เฉลยก็คงไม่รู้ว่าปีหน้า “หม่อมดาว-ม.ล.ปุญยนุช (เกษมสันต์) ดุลยจินดา” เซเลบริตีผู้รักการสะสมเครื่องกระเบื้องยุโรปโบราณเป็นชีวิตจิตใจ จนตัดสินใจลุกขึ้นมาเปิดพิพิธภัณฑ์ชาโตว์ เดอ ลา พอร์ซเลน (Château de la Porcelaine) ให้คนรุ่นใหม่และผู้ที่สนใจได้ศึกษาเรื่องราวของศิลปะผ่านของสะสมที่เธอหลงใหล ก็จะเข้าสู่วัยเกษียณ นอกจากเธอจะยังสวยไม่สร่าง ทุกวันนี้ตารางงานยังแน่นเอี้ยด เพราะมีทั้งงานราษฎร์งานหลวงรอให้สะสางไม่แพ้เวิร์กกิงวูแมนยุคใหม่

“ตอนนี้งานหลักคือ ดูแลสามี (คุณสุรัศมิ์ (พรรณ) ดุลยจินดา อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายบริหาร) หลังจากที่ท่านล้มป่วยด้วยโรคเส้นโลหิตตีบเมื่อสองปีก่อน ดูแลทุกเรื่องตั้งแต่การใช้ชีวิตประจำวัน พาไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ พาท่านไปเปิดหูเปิดตา รับประทานอาหารนอกบ้าน ไปงานสังสรรค์ ตลอดจนช่วยงานของท่านในเรื่องสำคัญๆ เกี่ยวกับคดีความต่างๆ เพราะท่านมีสำนักงานกฎหมายส่วนตัว นอกจากนี้ ยังช่วยท่านดูแลทรัพย์สินในส่วนที่ท่านขอให้ช่วย” หม่อมดาวเปิดฉากเล่าถึงภารกิจหลักตอนนี้ ที่แม้จะหนักหนาไม่เบา แต่ก็ยังพอมีเวลาเหลือให้เธอได้เจียดเวลาไปทำงานที่รัก

“ส่วนงานรองคือ การดูแลพิพิธภัณฑ์ชาโตว์ เดอ ลา พอร์ซเลน ซึ่งเกิดจากความชอบส่วนตัว นั่นคือ การสะสมวัตถุโบราณ โดยเฉพาะ เครื่องกระเบื้องยุโรป ซึ่งพอเก็บมาเรื่อยๆ จนเริ่มมีจำนวนเยอะขึ้นจนล้น จึงทำให้เกิดไอเดียว่าน่าจะนำมาทำให้เกิดประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง ด้วยการเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งคุณสามีก็เห็นด้วยเพราะท่านเคยทำงานด้านการศึกษาที่สำนักงาน กพ. ก่อนจะย้ายเข้าทำเนียบรัฐบาล เคยเป็นผู้ดูแลนักเรียนไทยประจำประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้ท่านชื่นชอบการส่งเสริมคนในด้านการศึกษาอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าดิฉันอยากทำพิพิธภัณฑ์ จึงให้คำแนะนำว่าควรทำเพื่อการศึกษา ซึ่งดิฉันก็เห็นด้วย จึงรีโนเวตบ้านเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนความรู้นอกห้องเรียน ให้กับนักศึกษาที่เรียนศิลปะในสถาบันการศึกษาต่างๆ ในประเทศไทย โดยผู้สนใจสามารถทำหนังสือขอเข้าชมได้เป็นคณะ และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ”

ย้อนไปสู่จุดเริ่มของการสะสมของแอนทีค หม่อมดาวบอกเล่าอย่างเป็นกันเองว่า เริ่มสะสมมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก เมื่อไรก็ตามที่มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ แล้วได้แวะไปร้านขายของมือสอง ต้องซื้อของแอนทีคติดไม้ติดมือกลับมาเสมอ โดยเฉพาะ ชุดถ้วยน้ำชาสวยๆ

“จนพอมีครอบครัว ดิฉันก็ยังซื้อมาไว้รับแขกบ้าง ใส่ตู้โชว์บ้าง หลังๆ เริ่มซื้อมาเพื่อศึกษาดูว่าระหว่างงานญี่ปุ่น งานยุโรปตะวันออก ตะวันตก จีน เหมือนหรือต่างกันอย่างไร จนพอศึกษาไปเรื่อยๆ ก็เริ่มค้นพบตัวเองว่าจริงๆ แล้วดิฉันชอบงานสไตล์ยุโรป จึงเริ่มสะสมมาเรื่อยๆ จนล้นอย่างที่บอก” หม่อมดาวเล่าอย่างอารมณ์ดีก่อนชิงประกาศให้รู้เป็นนัยๆ ว่า “พิพิธภัณฑ์นี้ไม่ได้ทำแบบเล่นๆ เพราะหลังจากได้รับรางวัลจากสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) ยิ่งกลายเป็นแรงผลักดันให้ยิ่งต้องตั้งใจพัฒนาพิพิธภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก”

ฟังหลากหลายบทบาทที่หญิงเก่งและแกร่งค่อยๆ ถ่ายทอดเรื่องราวด้วยใบหน้าที่เป็นสุขแล้ว พาให้อยากรู้ว่า เธอมีเคล็ดลับการทำงานและใช้ชีวิตอย่างไร ให้ดูเหมือนโลกทั้งใบเป็นสีชมพูตลอดเวลา คำถามนี้ หม่อมดาวตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย เพราะมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่ในใจอยู่แล้ว

“แค่ทำสิ่งที่ใจรัก ทำด้วยความตั้งใจ และทุ่มเทอย่างจริงจัง ที่สำคัญสิ่งที่ทำต้องไม่ผิดศีลธรรมด้วย ยึดถือความซื่อสัตย์สุจริตเป็นบรรทัดฐานก็พอ ส่วนหลักการใช้ชีวิต ดิฉันคิดว่าชีวิตคนเราต้องมีครบรส ดิฉันไม่ได้เป็นคนติดหรูตลอดเวลา ดิฉันสามารถไปเดินซื้อของใช้ที่ตลาดนัดข้างถนนได้ เพียงแต่บางวันอาจจะนึกอยากแต่งตัวโก้ๆ ไปทานเหลา หรือไปปาร์ตี้แบบไฮโซ ดิฉันไม่ติดแบรด์เนม อาจจะมีใช้บ้างเล็กน้อย แต่ไม่ได้เปลี่ยนตามแฟชั่น ถ้าใช้ก็ใช้จนกว่าจะพังเลย และด้วยความที่เป็นคนสบายๆ จึงไม่ต้องมาระวัง หรือสร้างภาพลักษณ์อะไรมากมาย เพราะดิฉันไม่ชอบโอ้อวด แต่ยึดถือความจริงใจต่อกันเป็นสำคัญ การไปร้านหรือคลินิกเสริมสวยนี่ แทบจะต้องตัดออกไปจากชีวิต เพราะยึดหลักความเรียบง่ายในการใช้ชีวิต จะมีพิถีพิถันกับภาพลักษณ์เฉพาะเวลาต้องออกงานสำคัญจริงๆ”

สำหรับไลฟ์สไตล์วันว่าง หม่อมดาวกล่าวอย่างติดตลกว่า “แทบไม่มี จนเธอมักภาวนาเพื่อขอให้ 1 วัน มี 30 ชม. จะได้ทำอะไรได้มากกว่านี้ พูดถึงวันว่างทีไร ดิฉันมักนึกถึงพระราชดำรัสของสมเด็จย่าที่ว่า ”เวลาเป็นของมีค่า” ดิฉันคิดเสมอว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างในชีวิตนี้ที่อยากทำ แต่ยังไม่มีเวลาทำ เช่น การนั่งวิปัสสนา การท่องเที่ยว การออกกำลังกาย การได้เขียนหนังสือหรือบันทึกอะไรดีๆ ไว้ให้ลูกหลานอ่าน การอ่านหนังสือ หรือแม้แต่การไปชมภาพยนตร์ (หัวเราะ) ส่วนตัวดิฉันเป็นคนชอบเที่ยว อยากไปทั่วประเทศไทยและทั่วโลก เพราะชอบดูพิพิธภัณฑ์ ชอบดูสถาปัตยกรรม และชอบธรรมชาติ แต่ด้วยโอกาสของชีวิตที่ไม่อำนวย สมัยก่อนสามีรับราชการไม่มีเวลามากนัก และลูกก็ยังเล็กไม่สะดวกเดินทางไกลๆ ต่อมาลูกๆ เริ่มโต แต่สามีก็เกิดมาป่วย เพราะฉะนั้น หลายๆ ปีจึงจะมีโอกาสได้วาร์ปไปเที่ยวสักครั้ง”

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะตัดพ้อเล็กๆ ว่าด้วยเงื่อนไขของชีวิตหลายอย่าง ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามใจ แต่หากย้อนวันวานสมัยอายุ 14 ปี สำหรับหม่อมดาวกลับเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำไม่น้อย “ตอนอายุ 14 ดิฉันเรียนอยู่ชั้น ม.ศ. 2 ที่โรงเรียนราชินีบูรณะ ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนครปฐม สมัยนั้นดิฉันค่อนข้างเป็นเด็กกะโปโล อาศัยอยู่กับคุณอาผู้หญิงซึ่งท่านมีบุตร 5 คน ทุกวันเวลาไปโรงเรียนก็ต้องไปพร้อมกัน กว่าจะเวียนส่งกันครบดิฉันก็ไปโรงเรียนสายพอดี ความรู้สึกตอนนั้นคืออายมาก เพราะรถยนต์ที่บ้านจะวิ่งผ่านเสาธงชาติที่นักเรียนกำลังยืนเข้าแถวเคารพธงชาติอยู่พอดี ตอนหลังดิฉันเลยแอบขี่จักรยานไปโรงเรียนเองซะเลย” หม่อมดาวย้อนเรื่องราวสมัยวัยใสที่ยังอยู่ในความทรงจำไม่เลือน ก่อนจะเผยถึงความสวยงามในความทรงจำที่ได้เติบโตในต่างจังหวัด

“ดิฉันดีใจที่ได้เติบโตในต่างจังหวัด เพราะเป็นโอกาสดีทำให้ได้ซึมซับในพระพุทธศาสนา จนเชื่อเรื่องบาป-บุญ ได้มีโอกาสเข้าวัดทำบุญและทำกิจกรรมต่างๆ ให้วัดเสมอ เช่น งานบวชก็ไปช่วยถือเครื่องไทยธรรมในขบวนแห่นาค หรือไปช่วยร้อยมาลัยจัดดอกไม้ ช่วยงานในโรงครัว ด้วยการจัดเสิร์ฟอาหารให้พระและแขกที่มาร่วมงานเวลาวัดมีงาน ตลอดจนงานพัฒนาชุมชนก็ทำมาหมดแล้ว ซึ่งประสบการณ์ทั้งหมดนี้ช่วยสอนอะไรหลายอย่างให้ดิฉัน ที่สำคัญยังฝึกให้เป็นคนไม่หยิบโหย่ง”

ถามว่าสภาพสังคมและบ้านเมืองในยุคนั้นแตกต่างไปจากยุคนี้มากแค่ไหน หม่อมดาวชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านดีและด้านที่ประหลาดอย่างน่าสนใจ “ในสายตาคนแก่ที่เติบโตมาในยุคตั้งแต่โทรทัศน์ยังเป็นขาว-ดำ จนกลายเป็นโทรทัศน์สี และจนถึงยุคนี้ที่แทบไม่มีใครดูโทรทัศน์กันแล้ว ดิฉันคิดว่าสิ่งที่แปลกและไม่ชินสักที คือ แฟชั่นของวัยรุ่นยุคนี้ ทำไมบางครั้งชุดไปงานจึงเหมือนชุดนอน และชุดไปนอกบ้านทำไมเหมือนชุดเล่นน้ำชายหาด มีอยู่ครั้งหนึ่งดิฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่กางเกงขาสั้นแบบแก้มก้นโผล่เดินผ่านหน้าไป ดิฉันรู้สึกตกใจแกมประหลาดใจกับภาพที่เห็น ในขณะที่เมื่อสังเกตคนรอบข้างทุกคนกลับรู้สึกเฉยๆ (หัวเราะ) ลูกสาวดิฉันเองก็เหมือนกันเวลาแต่งสั้น ดิฉันก็ห้ามแต่ไม่เคยสำเร็จ จนดิฉันถึงขั้นเอากางเกงขาสั้นจู๋ของลูกไปตัดทิ้ง พอลูกชายรู้เลยต้องเตือนสติว่า มันเป็นแค่แฟชั่น เดี๋ยวมันไปก็จะไม่มีใครแต่งแบบนี้อีกแล้ว” หม่อมดาวบอกเล่าอย่างออกรส ก่อนจะเผยถึงด้านดีของโลกใบใหม่ที่เปลี่ยนไป

“สิ่งที่ชัดเจนคือ ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ใครจะคิดว่าจากโทรศัพท์บ้านจะกลายเป็นโทรศัพท์ติดรถยนต์ และที่สุดกลายเป็นโทรศัพท์ไร้สาย ที่นอกจากจะพกติดตัวไปได้ทุกที่ ยังสามารถเป็นกล้องถ่ายรูป และอีกหลายๆ อย่างในเครื่องเดียว เช่นเดียวกับการคมนาคม สมัยนี้สะดวกมาก มีทั้งถนนลอยฟ้าและรถไฟฟ้า ถนนบางสาย มีอุโมงค์ข้ามแยก”

เล่ามาถึงตรงนี้ ในฐานะสาวสังคมคนดัง หม่อมดาวไม่ลืมทิ้งท้ายสั้นๆ ถึงบรรยากาศของงานสังคมยุคก่อนกับยุคนี้ว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร “สิ่งที่เปลี่ยนไปคือบุคคลที่มาร่วมงาน รุ่นเราเริ่มถอยออกมาเพื่อให้เด็กๆ รุ่นใหม่ที่ยังมีไฟเข้าไปแทนที่ เพราะรุ่นเราเริ่มจะเปลี่ยนไปงานศพแทน (หัวเราะ) ส่วนระบบแสงสีของการแสดงบนเวที แน่นอนว่ามีความสนุกสนาน และทันสมัยขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะค่ะ”


กำลังโหลดความคิดเห็น