ว่ากันว่าคนเราเกิดมามีมากเท่าไหร่ ก็ต้องแบ่งปันให้คนที่ด้อยกว่ามากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะคนที่เกิดมาเพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติมหาศาลที่มีใช้ยันชาติหน้าก็ไม่หมด อย่างเซเลบริตีเมืองไทย ที่นอกจากจะเกิดมาพร้อมทุกอย่างแล้ว ยังน้ำใจงามพร้อมแบ่งปันรอยยิ้มและความสุขให้กับสังคม ด้วยการทำมูลนิธิขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
จะมีเซเลบใจบุญคนไหนบ้างที่อุทิศส่วนหนึ่งของชีวิตเป็นสะพานบุญ ช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า อย่ารอช้ารีบตามมากันเลย
เริ่มที่คุณแม่ลูกหนึ่งมากความสามารถ ขวัญ-ม.ล.พลอยนภัส ลีนุตพงษ์ คุณแม่บ้านไฮเทคที่มีหัวใจพร้อมแบ่งปันความสุขให้ผู้ด้อยโอกาสในสังคม อันเป็นความสุขที่จริงแท้และยั่งยืนกว่าการนำเงินทองไปซื้อของซูเปอร์แบรนด์ที่ทำให้มีความสุขเพียงชั่วครู่ เมื่อจุดประกายความคิดนี้ได้ เธอจึงก่อตั้งมูลนิธิปันสุขขึ้นเพื่อให้ตัวเธอและพนักงานในบริษัทได้เป็นส่วนหนึ่งในการคืนความสุขสู่สังคมในทุกรูปแบบ
ขวัญเล่าถึงที่มาในการทำมูลนิธิปันสุขว่า เริ่มก่อตั้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อต้องการเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ในการคืนความสุขสู่สังคมและประเทศชาติ ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและทุกข์ยาก ไร้โอกาสในสังคม ให้พวกเขาเหล่านั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น
“ขวัญมองว่าการให้ที่ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดคือ การให้โอกาสแก่คนที่ด้อยโอกาสกว่า และมันเป็นความสุขที่จีรังและประทับไว้ในความทรงจำตลอดไป มากกว่าการนำเงินไปซื้อของราคาแพงที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นแค่เพียงวันสองวันแล้วก็ลืมความรู้สึกนั้นไป ขวัญจำได้ว่าสมัยก่อนที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนจิตรลดา คุณครูพาไปเยี่ยมเด็กที่มีความพิการซ้ำซ้อน ซึ่งตอนนั้นรู้สึกสงสารเขามาก ขวัญจับมือของเด็กๆ กลุ่มนั้นไว้แน่น และความรู้สึกนั้นยังคงจดจำมาถึงทุกวันนี้ นี่จึงเป็นความรู้สึกที่ฝังใจว่า สักวันหนึ่งเราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ กลุ่มนี้ ดังนั้น การก่อตั้งมูลนิธิปันสุขจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ”
แม้จะเพิ่งเริ่มก่อร่างสร้างเนื้อสร้างตัวได้เพียงหนึ่งปี แต่ขวัญและสมาชิกทุกคนในมูลนิธิได้ลงไปช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสมาแล้วหลายครั้ง
“เรามีพันธกิจว่าทุก 3 เดือนต้องออกไปช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในพื้นที่ต่างๆ ที่ได้รับความเดือดร้อน ที่ผ่านมาได้ไปเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กที่สถานสงเคราะห์ฯ ในพื้นที่ต่างๆ และได้ไปทำห้องสมุดให้กับโรงเรียนที่ต่างจังหวัด จำได้ว่าตอนที่ไปทำห้องสมุดที่ต่างจังหวัดนั้นเราป่วยเป็นไข้เลือดออกด้วย สามีให้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน แต่เราอยากเห็นห้องสมุดออกมาดีที่สุด จึงลงไปช่วยทุกคนทาสีห้องสมุดด้วยตัวเอง แม้จะป่วยแต่ก็สนุก และดีใจที่เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ทำให้ลืมอาการป่วยเสียสนิท”
ขวัญเล่าถึงเหตุผลที่ชอบช่วยเหลือเด็กๆ เพราะเธอเชื่อมั่นว่าการมอบรอยยิ้มให้แก่เด็กมันไม่ใช่เพียงแค่เด็กๆ เท่านั้นที่ได้ห้องสมุด มีหนังสือให้อ่าน แต่น้องๆ ยังเป็นอนาคตของชาติที่เมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นก็จะมาทำหน้าที่ดูแลประเทศชาติแทนเรา วันนั้นเขาก็จะจำแบบอย่างที่ดีจากเราในการทำความดีตอบแทนสังคม ซึ่งเขาพร้อมจะรับไม้ต่อนี้ในการดูแลประเทศชาติและสังคมต่อไป ซึ่งมันเป็นความสุขที่ยั่งยืนและมั่นคงที่สุด
ภาพของหญิงสาวร่างเล็ก บอบบาง ปรากฏกายให้ได้เห็นอยู่บ่อยครั้งตามงานที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงและเด็ก เพราะ หนูแดง-ทิพยนิภา สมะลาภา มีความตั้งมั่นอย่างสุดหัวใจว่า การที่มอบสิ่งดีงามในชีวิตให้แก่ใครสักคนนั้นมันทำให้รับรู้ได้ทันทีถึงรอยยิ้ม ความขอบคุณ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เธอที่เป็นผู้ให้ แต่แท้จริงแล้วการลงไปทำกิจกรรมต่างๆ กับคนต่างๆ มันทำให้เธอได้เป็นผู้รับไปด้วย คือ การได้เรียนรู้ประสบการณ์ของคนเหล่านั้น อันเป็นประสบการณ์ที่มีความหมายยิ่งกับชีวิต
ด้วยการมีเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต กับการทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ อุทิศตัวเป็นสะพานแห่งน้ำใจ ด้วยการก่อตั้งจิตต์อาทร วิสาหกิจเพื่อสังคม ตลอดจนทำงานในฐานะกรรมการมูลนิธิกลุ่มปรารถนาดี ที่ให้การช่วยเหลือสตรีในด้านศึกษา/พัฒนาศักยภาพ ส่งเสริมวิชาชีพ และเป็นกรรมการมูลนิธิสายเด็ก 1387 ที่ให้การช่วยเหลือเด็กๆ ทั่วประเทศ ซึ่งประสบปัญหาหลากหลายรูปแบบ ทั้งในเรื่องการศึกษา, สุขภาพสาธารณสุขศึกษา, ปัญหาครอบครัว, เด็กที่ถูกทารุณกรรม, ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ฯลฯ
หนูแดงเล่าถึงที่มาในการเข้ามาทำงานกับมูลนิธิต่างๆ เพื่อสังคมว่า สิ่งที่สำคัญเหนือการเรียกร้องสิทธิใดๆ คือ การให้ความสำคัญต่อเรื่องของจิตใจ เพราะมันคือแก่นแท้ของชีวิต การดูแลจิตใจให้มีความแข็งแกร่ง และพร้อมเผชิญกับทุกอย่างด้วยความกล้าหาญนั้นสำคัญ หากมนุษย์ทุกคนเข้าถึงความงดงามในแก่นแท้ของจิตใจได้ก็จะไม่มีการทำร้าย เบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีแต่การสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้แก่โลกใบนี้ไปด้วยกัน
“กิจกรรมที่หนูแดงใช้ในการนำพาให้คนมีความเข้าใจภายใน คือ การฟัง พูดคุย ตั้งคำถามให้เขาเข้าใจถึงจิตใจตัวเอง อาจมีกิจกรรมอื่น เช่น การวาดรูป การเคลื่อนไหวร่างกาย ดนตรี เช่น คลื่นเสียงบำบัด Alchemy Crystal Singing Bowl มาเสริมในการดูแลร่างกายจิตใจในแบบองค์รวม โดยแต่ละกิจกรรมล้วนพาให้เกิดสมาธิ พร้อมเรียนรู้ถึงเบื้องลึกในจิตใจ อันเป็นต้นตอของปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี”
เซเลบสาวน้ำใจงามบอกต่ออีกว่า ทุกครั้งที่เธอลงไปทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยเหลือคนนั้น ความรู้สึกสุขในหัวใจเกิดขึ้นเสมอ การได้เห็นรอยยิ้มและความสุขของผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือมันทำให้เธอมีหัวใจพองโตทุกครั้ง และทำให้เธอได้กลายเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับในเวลาเดียวกัน
“การไปทำกิจกรรมต่างๆ เราไม่ได้เป็นแค่ผู้ให้อย่างเดียว แต่ก็เป็นผู้รับด้วย เพราะทุกครั้งที่ไปทำกิจกรรมต่างๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ เด็ก สตรี หรือเยาวชนที่ต้องคำพิพากษาให้เข้าศูนย์ฝึกอบรม เราจะได้รับรู้ถึงมุมมองและประสบการณ์ของเขา เราได้เข้าไปรับฟังเขา เราได้มุมมองอันเป็นประสบการณ์ที่มีความหมาย เราได้แบ่งปัน รับรู้ ถ่ายทอดรอยยิ้ม ความรัก ความปรารถนาดี มันมีค่ากับชีวิตของเรามาก”
ปิ่น-สุวดี พึ่งบุญพระ บอสหญิงเก่งแห่งพีพี กรุ๊ป ที่มีส่วนในการช่วยงานของมูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล ที่มีคุณแม่ของเธอร่วมก่อตั้ง ด้วยการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่ชนบท เพราะทุกครั้งที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ เธอมักจะอาสาไปช่วยด้วยทุกครั้ง ถึงแม้ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ แต่ก็ใช้แรงกายช่วยด้านอื่นที่มีความถนัด
“ทุกปีทางมูลนิธิจะจัดทีมแพทย์เคลื่อนที่ไปรักษาประชาชนในชนบทเป็นประจำอยู่แล้วทุก 3 เดือน ซึ่งปิ่นก็จะไปด้วยแทบทุกครั้งเกือบทั่วประเทศไทย จังหวัดที่ไปแล้วรู้สึกชอบมากที่สุดคือ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเรารับรู้ได้ถึงความเดือดร้อนและทุกข์ยากของเขา เวลาที่เขามารับการรักษาทีครั้งละ 7,000 คน ส่วนใหญ่ทีมแพทย์ที่ลงไปจะมีหลายแผนก ทั้งทันตกรรม ส่องกล้อง และอีกหลายอย่าง ซึ่งปิ่นไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ ก็จะอาสาเป็นผู้จัดคิวผู้ที่มาเข้ารับบริการ” บอสหญิงเก่งเล่าด้วยน้ำเสียงสดใส
พร้อมบอกเหตุผลสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งกินใจ ถึงสาเหตุที่เธอสละเวลาส่วนตัวลงไปช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยากและด้อยโอกาสกว่าเธอว่า เพราะเรามีโอกาสมากกว่าเขา จึงอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายบางส่วนให้เต็มขึ้นมา โดยเฉพาะ เรื่องสุขภาพ ถ้าเรามีสุขภาพที่ดีแข็งแรงก็จะมีพลังใจในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ต่อไป
งามทั้งกายและใจจริงๆ สำหรับอดีตนางสาวไทย ที่ตอนนี้กลายเป็นสาวเท่ไปแล้ว สำหรับ หมอเจี๊ยบ-ลลนา ก้องธรนินทร์ ที่เคยตั้งเจตนารมณ์ไว้ว่า ถ้ามีโอกาสอยากจะเปิดฟรีคลินิกเพื่อช่วยเหลือคนยากไร้ และในวันนี้ความตั้งใจของเธอได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เพราะตอนนี้เธอได้จัดตั้งมูลนิธิ Let’s be hero ขึ้นร่วมกับเพื่อนๆ หมอที่มีความฝันเดียวกัน มูลนิธินี้จะให้ความรู้ในการกู้ชีพ เป็นฟรีคลินิกเฉพาะทางเคลื่อนที่ไปในพื้นที่ขาดแคลน รวมทั้งบริจาคอุปกรณ์ต่างๆ และช่วยเหลือสัตว์ด้วย
หมอเจี๊ยบยอมรับว่า ถึงแม้ตนและเพื่อนๆ จะควักเงินในกระเป๋าตัวเองไปคนละ 6 หลัก แต่ก็ยังคงขาดแคลนเงินทุนในระยะยาว ซึ่งถึงแม้จะยังมองไม่เห็นทางว่ามูลนิธินี้จะอยู่ต่อไปได้ยาวแค่ไหน แต่ก็ภูมิใจที่ได้ลงมือทำ ซึ่งมูลนิธินี้กำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้ และมีทั้งเพื่อนหมอ เพื่อนในวงการหลายๆ คนอาสาจะช่วยเหลือและสนับสนุนโครงการนี้อย่างเต็มที่
เมื่อไม่นานมานี้ หมอเจี๊ยบและกลุ่มเพื่อนก็ได้ไปที่อุ้มผาง อันเป็นพื้นที่สีแดง เพื่อไปสอนหมอตำแยในการกู้ชีพ และไปเปิดคลินิกสกินให้กับชาวอุ้มผาง และไปฉีดยาป้องกันพิษสุนัขบ้าอีกด้วย
เรียกว่าเท่ใจบุญขนาดนี้ สมกับเป็นฮีโร่ในใจผู้ยากไร้อย่างแท้จริง
จะมีสักกี่คนที่เป็นนักธุรกิจใหญ่ แต่กลับมาสนใจชีวิตผู้อื่นโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน โดยเฉพาะการเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีปากไม่มีเสียง จึงทำให้ ธีระพงศ์ ปังศรีวงศ์ ผู้บริหารในเครือเกษมกิจ เข้ามารับตำแหน่งนายกสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นปากเป็นเสียงให้กับสัตว์ป่าในประเทศไทยให้ได้รับการดูแล
เหตุผลที่ริเริ่มจัดตั้งสมาคมป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ฯ ก็เพราะต้องการให้ความสำคัญต่อเรื่องคุณภาพสัตว์ และการทารุณกรรมสัตว์ ทั้งนี้ ในประเทศไทยในอดีตยังไม่มีองค์กรหรือสมาคมที่เข้ามาดูแลเกี่ยวกับสัตว์อย่างจริงจัง ดังนั้น กลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันจึงมารวมตัวจนทำเป็นเรื่องเป็นราว จนในที่สุดสามารถจัดตั้งสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย นับเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การทำงานอย่างยั่งยืนต่อไป
“สัตว์ไม่มีปากมีเสียง ไม่สามารถเรียกร้อง ถ้าทำอะไรให้กับสัตว์จะมีคนเขาเห็นอกเห็นใจเรา โดยที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่เป็นการยุ่งเกี่ยวทางการเมืองมากเกินไป คนที่มีเมตตาต่อสัตว์ และทำอะไรเพื่อสัตว์เหล่านั้นมีอยู่เยอะ ทุกคนจึงมีความเห็นเดียวกัน จึงได้จัดตั้งเป็นสมาคม จะได้มีอำนาจที่จะเสนอจัดตั้ง พ.ร.บ. และมีอำนาจในการต่อรองรัฐบาลมากขึ้น” ธีรพงศ์เผยถึงความมุ่งมั่นที่เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอะลามี่
เป็นความสุขจากการให้ที่เงินทองมหาศาลก็เปรียบไม่ได้จริงๆ
จะมีเซเลบใจบุญคนไหนบ้างที่อุทิศส่วนหนึ่งของชีวิตเป็นสะพานบุญ ช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่า อย่ารอช้ารีบตามมากันเลย
เริ่มที่คุณแม่ลูกหนึ่งมากความสามารถ ขวัญ-ม.ล.พลอยนภัส ลีนุตพงษ์ คุณแม่บ้านไฮเทคที่มีหัวใจพร้อมแบ่งปันความสุขให้ผู้ด้อยโอกาสในสังคม อันเป็นความสุขที่จริงแท้และยั่งยืนกว่าการนำเงินทองไปซื้อของซูเปอร์แบรนด์ที่ทำให้มีความสุขเพียงชั่วครู่ เมื่อจุดประกายความคิดนี้ได้ เธอจึงก่อตั้งมูลนิธิปันสุขขึ้นเพื่อให้ตัวเธอและพนักงานในบริษัทได้เป็นส่วนหนึ่งในการคืนความสุขสู่สังคมในทุกรูปแบบ
ขวัญเล่าถึงที่มาในการทำมูลนิธิปันสุขว่า เริ่มก่อตั้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เพื่อต้องการเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ในการคืนความสุขสู่สังคมและประเทศชาติ ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อนและทุกข์ยาก ไร้โอกาสในสังคม ให้พวกเขาเหล่านั้นมีชีวิตที่ดีขึ้น
“ขวัญมองว่าการให้ที่ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดคือ การให้โอกาสแก่คนที่ด้อยโอกาสกว่า และมันเป็นความสุขที่จีรังและประทับไว้ในความทรงจำตลอดไป มากกว่าการนำเงินไปซื้อของราคาแพงที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นแค่เพียงวันสองวันแล้วก็ลืมความรู้สึกนั้นไป ขวัญจำได้ว่าสมัยก่อนที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนจิตรลดา คุณครูพาไปเยี่ยมเด็กที่มีความพิการซ้ำซ้อน ซึ่งตอนนั้นรู้สึกสงสารเขามาก ขวัญจับมือของเด็กๆ กลุ่มนั้นไว้แน่น และความรู้สึกนั้นยังคงจดจำมาถึงทุกวันนี้ นี่จึงเป็นความรู้สึกที่ฝังใจว่า สักวันหนึ่งเราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ กลุ่มนี้ ดังนั้น การก่อตั้งมูลนิธิปันสุขจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ”
แม้จะเพิ่งเริ่มก่อร่างสร้างเนื้อสร้างตัวได้เพียงหนึ่งปี แต่ขวัญและสมาชิกทุกคนในมูลนิธิได้ลงไปช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสมาแล้วหลายครั้ง
“เรามีพันธกิจว่าทุก 3 เดือนต้องออกไปช่วยเหลือเด็กและเยาวชนในพื้นที่ต่างๆ ที่ได้รับความเดือดร้อน ที่ผ่านมาได้ไปเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กที่สถานสงเคราะห์ฯ ในพื้นที่ต่างๆ และได้ไปทำห้องสมุดให้กับโรงเรียนที่ต่างจังหวัด จำได้ว่าตอนที่ไปทำห้องสมุดที่ต่างจังหวัดนั้นเราป่วยเป็นไข้เลือดออกด้วย สามีให้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน แต่เราอยากเห็นห้องสมุดออกมาดีที่สุด จึงลงไปช่วยทุกคนทาสีห้องสมุดด้วยตัวเอง แม้จะป่วยแต่ก็สนุก และดีใจที่เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ทำให้ลืมอาการป่วยเสียสนิท”
ขวัญเล่าถึงเหตุผลที่ชอบช่วยเหลือเด็กๆ เพราะเธอเชื่อมั่นว่าการมอบรอยยิ้มให้แก่เด็กมันไม่ใช่เพียงแค่เด็กๆ เท่านั้นที่ได้ห้องสมุด มีหนังสือให้อ่าน แต่น้องๆ ยังเป็นอนาคตของชาติที่เมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นก็จะมาทำหน้าที่ดูแลประเทศชาติแทนเรา วันนั้นเขาก็จะจำแบบอย่างที่ดีจากเราในการทำความดีตอบแทนสังคม ซึ่งเขาพร้อมจะรับไม้ต่อนี้ในการดูแลประเทศชาติและสังคมต่อไป ซึ่งมันเป็นความสุขที่ยั่งยืนและมั่นคงที่สุด
ภาพของหญิงสาวร่างเล็ก บอบบาง ปรากฏกายให้ได้เห็นอยู่บ่อยครั้งตามงานที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงและเด็ก เพราะ หนูแดง-ทิพยนิภา สมะลาภา มีความตั้งมั่นอย่างสุดหัวใจว่า การที่มอบสิ่งดีงามในชีวิตให้แก่ใครสักคนนั้นมันทำให้รับรู้ได้ทันทีถึงรอยยิ้ม ความขอบคุณ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เธอที่เป็นผู้ให้ แต่แท้จริงแล้วการลงไปทำกิจกรรมต่างๆ กับคนต่างๆ มันทำให้เธอได้เป็นผู้รับไปด้วย คือ การได้เรียนรู้ประสบการณ์ของคนเหล่านั้น อันเป็นประสบการณ์ที่มีความหมายยิ่งกับชีวิต
ด้วยการมีเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต กับการทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ อุทิศตัวเป็นสะพานแห่งน้ำใจ ด้วยการก่อตั้งจิตต์อาทร วิสาหกิจเพื่อสังคม ตลอดจนทำงานในฐานะกรรมการมูลนิธิกลุ่มปรารถนาดี ที่ให้การช่วยเหลือสตรีในด้านศึกษา/พัฒนาศักยภาพ ส่งเสริมวิชาชีพ และเป็นกรรมการมูลนิธิสายเด็ก 1387 ที่ให้การช่วยเหลือเด็กๆ ทั่วประเทศ ซึ่งประสบปัญหาหลากหลายรูปแบบ ทั้งในเรื่องการศึกษา, สุขภาพสาธารณสุขศึกษา, ปัญหาครอบครัว, เด็กที่ถูกทารุณกรรม, ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ฯลฯ
หนูแดงเล่าถึงที่มาในการเข้ามาทำงานกับมูลนิธิต่างๆ เพื่อสังคมว่า สิ่งที่สำคัญเหนือการเรียกร้องสิทธิใดๆ คือ การให้ความสำคัญต่อเรื่องของจิตใจ เพราะมันคือแก่นแท้ของชีวิต การดูแลจิตใจให้มีความแข็งแกร่ง และพร้อมเผชิญกับทุกอย่างด้วยความกล้าหาญนั้นสำคัญ หากมนุษย์ทุกคนเข้าถึงความงดงามในแก่นแท้ของจิตใจได้ก็จะไม่มีการทำร้าย เบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีแต่การสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้แก่โลกใบนี้ไปด้วยกัน
“กิจกรรมที่หนูแดงใช้ในการนำพาให้คนมีความเข้าใจภายใน คือ การฟัง พูดคุย ตั้งคำถามให้เขาเข้าใจถึงจิตใจตัวเอง อาจมีกิจกรรมอื่น เช่น การวาดรูป การเคลื่อนไหวร่างกาย ดนตรี เช่น คลื่นเสียงบำบัด Alchemy Crystal Singing Bowl มาเสริมในการดูแลร่างกายจิตใจในแบบองค์รวม โดยแต่ละกิจกรรมล้วนพาให้เกิดสมาธิ พร้อมเรียนรู้ถึงเบื้องลึกในจิตใจ อันเป็นต้นตอของปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี”
เซเลบสาวน้ำใจงามบอกต่ออีกว่า ทุกครั้งที่เธอลงไปทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อช่วยเหลือคนนั้น ความรู้สึกสุขในหัวใจเกิดขึ้นเสมอ การได้เห็นรอยยิ้มและความสุขของผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือมันทำให้เธอมีหัวใจพองโตทุกครั้ง และทำให้เธอได้กลายเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับในเวลาเดียวกัน
“การไปทำกิจกรรมต่างๆ เราไม่ได้เป็นแค่ผู้ให้อย่างเดียว แต่ก็เป็นผู้รับด้วย เพราะทุกครั้งที่ไปทำกิจกรรมต่างๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ เด็ก สตรี หรือเยาวชนที่ต้องคำพิพากษาให้เข้าศูนย์ฝึกอบรม เราจะได้รับรู้ถึงมุมมองและประสบการณ์ของเขา เราได้เข้าไปรับฟังเขา เราได้มุมมองอันเป็นประสบการณ์ที่มีความหมาย เราได้แบ่งปัน รับรู้ ถ่ายทอดรอยยิ้ม ความรัก ความปรารถนาดี มันมีค่ากับชีวิตของเรามาก”
ปิ่น-สุวดี พึ่งบุญพระ บอสหญิงเก่งแห่งพีพี กรุ๊ป ที่มีส่วนในการช่วยงานของมูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล ที่มีคุณแม่ของเธอร่วมก่อตั้ง ด้วยการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่ชนบท เพราะทุกครั้งที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ เธอมักจะอาสาไปช่วยด้วยทุกครั้ง ถึงแม้ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ แต่ก็ใช้แรงกายช่วยด้านอื่นที่มีความถนัด
“ทุกปีทางมูลนิธิจะจัดทีมแพทย์เคลื่อนที่ไปรักษาประชาชนในชนบทเป็นประจำอยู่แล้วทุก 3 เดือน ซึ่งปิ่นก็จะไปด้วยแทบทุกครั้งเกือบทั่วประเทศไทย จังหวัดที่ไปแล้วรู้สึกชอบมากที่สุดคือ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเรารับรู้ได้ถึงความเดือดร้อนและทุกข์ยากของเขา เวลาที่เขามารับการรักษาทีครั้งละ 7,000 คน ส่วนใหญ่ทีมแพทย์ที่ลงไปจะมีหลายแผนก ทั้งทันตกรรม ส่องกล้อง และอีกหลายอย่าง ซึ่งปิ่นไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ ก็จะอาสาเป็นผู้จัดคิวผู้ที่มาเข้ารับบริการ” บอสหญิงเก่งเล่าด้วยน้ำเสียงสดใส
พร้อมบอกเหตุผลสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งกินใจ ถึงสาเหตุที่เธอสละเวลาส่วนตัวลงไปช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ยากและด้อยโอกาสกว่าเธอว่า เพราะเรามีโอกาสมากกว่าเขา จึงอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายบางส่วนให้เต็มขึ้นมา โดยเฉพาะ เรื่องสุขภาพ ถ้าเรามีสุขภาพที่ดีแข็งแรงก็จะมีพลังใจในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ต่อไป
งามทั้งกายและใจจริงๆ สำหรับอดีตนางสาวไทย ที่ตอนนี้กลายเป็นสาวเท่ไปแล้ว สำหรับ หมอเจี๊ยบ-ลลนา ก้องธรนินทร์ ที่เคยตั้งเจตนารมณ์ไว้ว่า ถ้ามีโอกาสอยากจะเปิดฟรีคลินิกเพื่อช่วยเหลือคนยากไร้ และในวันนี้ความตั้งใจของเธอได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เพราะตอนนี้เธอได้จัดตั้งมูลนิธิ Let’s be hero ขึ้นร่วมกับเพื่อนๆ หมอที่มีความฝันเดียวกัน มูลนิธินี้จะให้ความรู้ในการกู้ชีพ เป็นฟรีคลินิกเฉพาะทางเคลื่อนที่ไปในพื้นที่ขาดแคลน รวมทั้งบริจาคอุปกรณ์ต่างๆ และช่วยเหลือสัตว์ด้วย
หมอเจี๊ยบยอมรับว่า ถึงแม้ตนและเพื่อนๆ จะควักเงินในกระเป๋าตัวเองไปคนละ 6 หลัก แต่ก็ยังคงขาดแคลนเงินทุนในระยะยาว ซึ่งถึงแม้จะยังมองไม่เห็นทางว่ามูลนิธินี้จะอยู่ต่อไปได้ยาวแค่ไหน แต่ก็ภูมิใจที่ได้ลงมือทำ ซึ่งมูลนิธินี้กำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้ และมีทั้งเพื่อนหมอ เพื่อนในวงการหลายๆ คนอาสาจะช่วยเหลือและสนับสนุนโครงการนี้อย่างเต็มที่
เมื่อไม่นานมานี้ หมอเจี๊ยบและกลุ่มเพื่อนก็ได้ไปที่อุ้มผาง อันเป็นพื้นที่สีแดง เพื่อไปสอนหมอตำแยในการกู้ชีพ และไปเปิดคลินิกสกินให้กับชาวอุ้มผาง และไปฉีดยาป้องกันพิษสุนัขบ้าอีกด้วย
เรียกว่าเท่ใจบุญขนาดนี้ สมกับเป็นฮีโร่ในใจผู้ยากไร้อย่างแท้จริง
จะมีสักกี่คนที่เป็นนักธุรกิจใหญ่ แต่กลับมาสนใจชีวิตผู้อื่นโดยไม่ได้หวังผลตอบแทน โดยเฉพาะการเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีปากไม่มีเสียง จึงทำให้ ธีระพงศ์ ปังศรีวงศ์ ผู้บริหารในเครือเกษมกิจ เข้ามารับตำแหน่งนายกสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นปากเป็นเสียงให้กับสัตว์ป่าในประเทศไทยให้ได้รับการดูแล
เหตุผลที่ริเริ่มจัดตั้งสมาคมป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ฯ ก็เพราะต้องการให้ความสำคัญต่อเรื่องคุณภาพสัตว์ และการทารุณกรรมสัตว์ ทั้งนี้ ในประเทศไทยในอดีตยังไม่มีองค์กรหรือสมาคมที่เข้ามาดูแลเกี่ยวกับสัตว์อย่างจริงจัง ดังนั้น กลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันจึงมารวมตัวจนทำเป็นเรื่องเป็นราว จนในที่สุดสามารถจัดตั้งสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย นับเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การทำงานอย่างยั่งยืนต่อไป
“สัตว์ไม่มีปากมีเสียง ไม่สามารถเรียกร้อง ถ้าทำอะไรให้กับสัตว์จะมีคนเขาเห็นอกเห็นใจเรา โดยที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่เป็นการยุ่งเกี่ยวทางการเมืองมากเกินไป คนที่มีเมตตาต่อสัตว์ และทำอะไรเพื่อสัตว์เหล่านั้นมีอยู่เยอะ ทุกคนจึงมีความเห็นเดียวกัน จึงได้จัดตั้งเป็นสมาคม จะได้มีอำนาจที่จะเสนอจัดตั้ง พ.ร.บ. และมีอำนาจในการต่อรองรัฐบาลมากขึ้น” ธีรพงศ์เผยถึงความมุ่งมั่นที่เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอะลามี่
เป็นความสุขจากการให้ที่เงินทองมหาศาลก็เปรียบไม่ได้จริงๆ