“แค่ทำทุกอย่างให้เต็มที่ชีวิตก็แฮปปี้” นี่คือพลังบวกที่ได้รับหลังจากได้มีโอกาสทำความรู้จักกับ แบม-ภัชนิกา ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา สาวสวยวัย 19 ปี ลูกสาวสุดรักสุดหวงของ คุณพ่อหมู-ทรงกรต และ คุณแม่ต๋อย-วราภรณ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ในวัยใสแบมกำลังสนุกกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งเธอมองว่าไม่ใช่แค่ใช้สำหรับหาวิชาความรู้ แต่เป็นอีกหนึ่งโรงเรียนที่พร้อมมอบประสบการณ์ชีวิตที่ต่อให้มีเงินมหาศาลก็ซื้อไม่ได้
“ตอนนี้แบมเรียนอยู่ชั้นปี 2 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ภาคภาษาอังกฤษ (BJM) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เหตุผลที่เลือกเรียนด้านนี้เพราะสนใจสายงานที่ได้มีโอกาสเจอคนเยอะ ซึ่งแบมเคยมีโอกาสได้สัมผัสงานเบื้องหลังมาบ้าง ตอนสมัยเรียนอยู่ ม.2 ได้ไปเป็นแดนเซอร์เอ็กซ์ตราในเพลงสมายล์ของพี่บี้ (สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว) ถึงประสบการณ์ครั้งแรกจะทั้งเหนื่อย ต้องเต้นกลางแจ้งท่ามกลางสายฝนตั้งแต่เช้าจดค่ำ แต่ก็สนุกและทำให้คิดว่าอยากจะมาสายนี้” แบมเล่าอย่างออกรส
“แบมชอบเต้นมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เริ่มจากรำไทยก่อน (หัวเราะ) ไปๆ มาๆ ไม่รู้มาเริ่มเต้นได้ยังไง แบมเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็ก มาเลิกเรียนตอนจะเข้า ม.4 เพราะช่วงนั้นเรียนพิเศษเยอะ ต้องโฟกัสกับการเรียนเพื่อสอบเข้าโปรแกรมพิเศษของสตรีวิทยา 2 ที่เน้นภาษาอังกฤษให้ได้ ถามว่าทำไมชอบเต้น แบมว่าเป็นทักษะติดตัวที่เราสามารถโชว์ได้โดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ แถมยังได้เป็นกิจกรรมที่เหมือนได้ออกกำลังกายไปในตัว”
อย่างไรก็ตาม สาวสวยผู้รักในการเต้นยังบอกด้วยว่า แม้จะเลิกเรียนเต้น ไปหาประสบการณ์ด้านอื่นๆ แต่ก็หนีไม่พ้น
“เคยคิดจะไปทางสายร้องเพลงเหมือนกันนะคะ เพราะชอบฟังเพลง ไม่ว่าทำอะไรก็ต้องเปิดฟังเพลง เคยไปเวิร์กชอปครั้งหนึ่ง ก็โอเคนะคะ แต่สุดท้ายไม่ได้จริงจัง เพราะลึกๆ ก็ยังชอบการเต้นมากกว่า” แบมถ่ายทอดความรู้สึกที่มีก่อนจะวกกลับมาชวนคุยถึงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
“ช่วง ม.6 เป็นอีกช่วงที่เครียดหนัก เพราะแบมอยากเข้าจุฬาฯ หรือไม่ก็ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นก็ปรึกษาคุณแม่แล้วว่า ถ้าเราจะสอบเข้าโปรแกรมปกติน่าจะยาก คุณแม่เลยแนะนำให้เบนเข็มมาสายอินเตอร์ ซึ่งปัญหาคือ เราก็ไม่ได้เตรียมตัวมาทางนี้แต่ต้นเลยต้องเตรียมตัวหนัก ยังจำได้ว่าคุณแม่ไปสมัครที่ติวพิเศษให้ ขึ้นรถมาร้องไห้เลย (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นเรายังอยู่ในช่วงงงกับชีวิต จะเข้าอินเตอร์ก็ไม่รู้ว่าจะเรียนได้หรือเปล่า แต่ได้คุณแม่เป็นที่ปรึกษาและให้กำลังใจ จนทำให้เราฮึดขึ้นมาได้”
อย่างไรก็ตาม แม้จะเตรียมตัวมาหนักจนฝ่าด่านเข้ามาเรียนได้ดั่งใจ แต่พอต้องมาเรียนจริง แบมยอมรับว่าต้องปรับตัวเยอะพอสมควร
“พอเข้ามหาวิทยาลัยต้องเรียนทุกอย่างเป็นอังกฤษหมด ยอมรับว่ายาก ต้องปรับตัวเยอะ โชคดีที่เราชอบภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เรียนพิเศษมาตลอด ช่วงซัมเมอร์ก็ไปอยู่กับครอบครัวพี่สาวที่อเมริกา อาศัยฟังเพลง ดูหนัง ซีรีส์ฝรั่งไปด้วย เลยได้ทักษะมาบ้าง
1 ปีในรั้วมหาวิทยาลัยสำหรับแบม สาวสวยยอมรับว่าเป็นอีกบันทึกหน้าใหม่ของชีวิตที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุข
“ช่วงแรกที่ต้องไปอยู่หอที่รังสิต คุณแม่ต้องตามไปอยู่ด้วยเลยค่ะ ไปอยู่เกือบ 2 เดือน จนตอนหลังพอเห็นว่าเราเริ่มปรับตัวได้ สภาพแวดล้อมโดยรวมโอเคก็เริ่มปล่อยให้อยู่เอง จนตอนนี้มีรูมเมตซึ่งเป็นญาติห่างๆ คุณแม่ยิ่งสบายใจ ส่วนเรื่องแฟนคุณแม่ก็ไม่ปิดกั้น มีได้แต่ให้อยู่ในสายตา คุณแม่เหมือนเพื่อน มีอะไรก็ปรึกษา”
อีกหนึ่งความสุขในการเรียนมหาวิทยาลัย ที่ทำให้สาวสวยเล่าได้สนุกด้วยแววตาเป็นประกายคือ การเดินสายเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ
“เข้าไปปีแรกแบมก็ไปสมัครเป็นดรัมเมเยอร์ในกีฬาเฟรชชีของคณะ เพราะหนึ่งในความฝันของแบมคือ การเป็นดรัมเมเยอร์ อยากเป็นมาตั้งแต่สมัยเรียน ม.ปลาย เคยถูกทาบทามให้ไปลอง แต่สุดท้ายไม่ได้เป็น เพราะตอนนั้นรุ่นพี่ขอให้พี่ ม.6 ได้เป็นก่อน เราก็กะรอขึ้น ม.6 ก็ได้ ปรากฏปีนั้นในหลวง ร.๙ เสด็จสวรรคต โรงเรียนไม่จัดงานกีฬาสี จนเข้ามหาวิทยาลัย พอรู้ว่ามีการเปิดรับสมัครดรัมเมเยอร์เลยไปสมัคร
ไปเวิร์กชอปวันแรกทำไม่ได้เลย เพราะไม่มีพื้นฐานมาก่อน คิดว่าไม่รอดแน่ๆ โชคดีคุณแม่ลงทุนพาไปซื้อไม้ดรัมเมเยอร์ และจ้างครูมาสอนเสาร์-อาทิตย์ก่อนไปเวิร์กชอป นอกจากจะฝึกท่าบังคับ 3 ท่า แบมยังขอให้ครูช่วยสอนท่าพิเศษเพิ่มให้ ตอนนั้นเราไปเรียนกับเพื่อนที่เป็นรูมเมต ซึ่งเขาก็ไปสมัครดรัมเมเยอร์เหมือนกัน แต่ให้สอนคนละท่า ตอนนั้นซ้อมโหดเหมือนกัน หัวปูดเพราะโดนไม้ฟาด มือพอง จนวันจันทร์ไปคัดตัว โชคดีวันนั้นโชคเข้าข้าง จากที่ตอนซ้อมทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่พอรอบจริงทุกอย่างสมูท จนพี่ที่คัดยังไม่เชื่อว่าไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน สุดท้ายพอรู้ว่าเราและเพื่อนได้เป็น 2 ใน 6 คนก็ดีใจมาก”
หลังจากทำความฝันสำเร็จ แบมยังสนุกกับการทำกิจกรรมนอกห้องเรียน ด้วยการไปสมัครเป็นทูตประชาสัมพันธ์กีฬารักบี้ของมหาวิทยาลัย (Rugby Ambassador)
“ตอนที่ไปสัมภาษณ์ เข้าใจว่าเป็นแบบทีละคน ปรากฏเข้าไปทีเดียว 40 คน กรรมการ 10 คน ไปถึงเขาจะให้แสดงความสามารถพิเศษและสัมภาษณ์ แบมเลือกโชว์ดรัมเมเยอร์ และในที่สุดก็ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 คน ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่สนุก ได้ทำหลายอย่างตั้งแต่เตรียมการแสดงระหว่างพักครึ่งการแข่งขัน หาสปอนเซอร์ ประชาสัมพันธ์โครงการ ฯลฯ”
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นเด็กกิจกรรมคือ ฝึกการทำงานเป็นทีม ซึ่งแบมเปรียบเทียบว่า เหมือนได้รู้จักอีกสังคม ได้พบปะผู้คนมากมาย ไม่เฉพาะในมหาวิทยาลัย แต่ยังรวมถึงเพื่อนต่างมหาวิทยาลัย ในส่วนของการเรียน แม้กิจกรรมอาจจะเข้ามาเบียดบังเวลาบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา
“1 ปีที่ผ่านมาแบมมองว่าตัวเองเปลี่ยนไปจากคนที่กล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าพูด พอทำกิจกรรมทำให้เรามั่นใจขึ้น ได้เรียนรู้วิธีรับมือและแก้ปัญหาเวลาต้องทำงานกับคนหมู่มาก ที่สำคัญทำให้รู้ว่าคนเราเวลาจะทำอะไรให้สำเร็จต้องอาศัยความทุ่มเทและพยายาม ส่วนเวลาเจอคนไม่ชอบหรือคนวิจารณ์ แบมไม่เก็บมาทุกข์หรือใส่ใจ เพราะตราบที่เธอยังเชื่อว่าสิ่งที่เธอเป็นไม่ได้เสียหาย ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองตามคำพูดของคนที่ไม่ชอบเพื่อให้เขามาชอบ เพราะคนเราไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบได้”
สำหรับเป้าหมายต่อไปของสาวสวยมากความสามารถ เธอทิ้งท้ายว่า ตั้งใจเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่อไป ก่อนจะไปสมัครเป็นดรัมเมเยอร์ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์