ต้อนรับเดือนสิงหาคมด้วยเรื่องราวความรักความอบอุ่นของครอบครัวสาวหน้าหวาน “เอย-ณัฐชนันท์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างดี เพราะนอกจากจะเป็นสาวสังคมคนดัง เธอยังมีผลงานในวงการบันเทิง ทั้งซีรีส์ และโฆษณามาแล้ว โดยวันนี้เราได้พูดคุยกับคุณแม่ “ม.ล.อัญชลี (วรวรรณ) เทพหัสดิน” ภรรยาคนสวยของ “ธนันต์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” และน้องสาว “อิง ธนัชชา” ถึงวิธีการเลี้ยงลูกสาวให้สวยเก่งครบสูตรจนใครๆ ก็หลงรัก
อย่างไรก็ตาม กว่าจะตกผลึกกับแนวคิดการเลี้ยงลูกที่แฮปปี้ทั้งคุณแม่และคุณลูกแบบนี้ คุณแม่คนเก่งถึงกับออกปากเลยว่าไม่ง่ายเลยกว่าจะยิ้มได้แบบวันนี้ ต้องผ่านด่านหิน บททดสอบทางจิตใจมาไม่รู้เท่าไหร่ แต่สุดท้ายด้วยอานุภาพความรักของแม่ที่มีแต่คำว่าปรารถนาดีให้กับลูกเสมอ ถึงจูงมือกันข้ามผ่านมาได้
เลี้ยงลูกสาว (2 คน 2 สไตล์) ใครว่าง่าย
เห็นลุคหวานๆ ของเอยและอิง สองศรีพี่น้องที่อายุห่างกันถึง 5 ปี หลายคนอาจคิดว่าทั้งคู่เป็นสาวหวานที่เรียบร้อยราวผ้าพับไว้ แต่บอกเลยว่าหลังจากทำความรู้จักตัวตนของสองสาว คุณจะพบว่ากำลังคิดผิดถนัด โดยเฉพาะสาวเอยที่ตัวตนตรงข้ามกับลุคที่เห็นจนคุณแม่ยังออกปาก
“จริงๆ ก็น่ารักทั้งคู่นะคะ (หัวเราะ) แต่สำหรับเอยภายนอกเขาจะดูหวานมาก แต่จริงๆ แล้วไม่หวานอย่างที่เห็น ออกจะแมนๆ ด้วยซ้ำ เขาเหมือนดอกกุหลาบที่สวยภายนอกแล้วมีหนาม เขาเป็นคนเคลียร์คัตชัดเจน ส่วนอิงนี่ไปแรงกับเขาไม่ได้นะ ถ้าคุณไปสั่งเขาเขาไม่ทำนะคนนี้ ต้องอาศัยวิธีตะล่อม พูดดีๆ กับเขาอย่าให้เหมือนไปสั่งเขา เพราะเขาเป็นคนจิตใจอ่อนไหว ภายนอกเขาจะดูไม่ได้หวานเหมือนพี่เอย ดูแข็งๆ ดุๆ แต่ข้างในเซนซิทีฟ คนละเรื่องกับพี่สาวเลย คนนี้ถ้าไปเข้มงวด เขาจะไม่เอาเลย ขณะที่เอยตรงๆ ได้เลย เขาไม่ชอบอ้อมๆ แรงได้ แต่ไม่ชอบให้พูดซ้ำๆ (หัวเราะ)” ม.ล.อัญชลีเปิดฉากเล่าถึงลูกสาวทั้งสองอย่างออกรส
“โชคดีที่สองพี่น้องไม่เคยทะเลาะกัน เอยก็ไม่ใช่พี่ที่แกล้งน้อง เวลาอยู่ด้วยกันเขาจะเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่า ส่วนในแง่ความสุขุม รอบคอบ คนนี้ (อิง) จะไปทางพี่ใหญ่มากกว่า” คุณแม่พูดพลางหันมากดให้คะแนนลูกสาวคนเล็ก “เวลาแม่จะฝากฝังอะไร จะบอกคนนี้มากกว่า เพราะบอกเอยแล้วไม่ค่อยได้ บางทีก็ลืมหรือไม่ใส่ใจบ้าง (หัวเราะ)” ระหว่างที่ฟังคุณแม่เล่าไป ก็พอจะจับทางได้แล้วว่าน่าจะเป็นคุณแม่สายใจดีมากกว่าสายดุ แต่เพื่อความแน่ใจเลยต้องให้เจ้าตัวและลูกๆ คอนเฟิร์มอีกที
“แม่ไม่ดุนะ” ม.ล.อัญชลีเผยหลังหยุดคิดสักครู่ “แต่สมัยเด็กๆ ก็มีตีนะ ใช้มือตีเลย แต่พอเขาโตแล้ว จะไปทำแบบนั้นก็คงไม่ได้ เพราะเด็กรุ่นนี้มีความคิดเป็นของตัวเอง ต้องคุยกับเขาด้วยเหตุผล จะใช้วิธีการบังคับ หรือเผด็จการคงยาก เขาจะต่อต้าน”
นอกจากจะปรับกลยุทธ์มาสู่การเลี้ยงลูกด้วยการนำ “ความรักและความเข้าใจวัยรุ่น” เป็นตัวนำแล้ว ม.ล.อัญชลี ยังใช้แผนตีสนิทกับเพื่อนลูก งานนี้คุณแม่กลัวไม่เชื่อเลยต้องให้ลูกสาวช่วยยืนยันอีกเสียง “จริงค่ะ เอยไม่เคยรู้สึกทำตัวไม่ถูกเวลาที่แม่ไปไหนมาไหนด้วยกับกลุ่มเพื่อนเลย เพราะเขาสนิทจนบางครั้งแม่ก็เอาแต่คุยกับเพื่อนเอย ไม่คุยกับเอยเลย หรือบางทีแม่อยากเตือนอะไรเอยแต่กลัวเอยไม่ฟัง ก็ไปบอกเพื่อน”
จากคุณแม่สายแข็งสู่คุณแม่สายชิล
อย่างไรก็ตาม ม.ล.อัญชลียอมรับว่า แต่ก่อนเธอเป็นคุณแม่สาย Protective ลูกมาก จนทำให้ลูกรู้สึกอึดอัด
“อย่าเรียกว่าหวงลูกมากเลย เรียกว่าห่วงดีกว่า แต่บางทีเยอะเกินไปจนเขาก็รำคาญเหมือนกัน แม่เองก็ต้องอาศัยค่อยๆ ปรับ อย่างสมัยก่อน ถ้าลูกจะกลับดึก เราจะบอกว่าถ้าจะไปไหนก็ต้องขออนุญาตแม่ก่อนนะ แต่พอตอนนี้ยุคสมัยเปลี่ยน เราก็จะบอกว่าจะไปไหนก็ช่วยบอกบ้าง จะได้รู้ว่าอยู่ที่ไหน (หัวเราะ) จะได้รู้ว่าลูกปลอดภัยดี เพราะด้วยความที่เขาเป็นลูกผู้หญิง เราก็ห่วงทุกเรื่อง ตั้งแต่การวางตัว แรกๆ เวลาไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อน เราก็ห่วงนะ บ้านเราเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง ประชาธิปไตยหน่อยๆ เราจะบอกลูกเสมอว่าถ้ามีอะไรที่ลูกอยากรู้อยากลอง ให้ลองที่บ้าน ให้ถามพ่อแม่ที่มีประสบการณ์ชีวิตมาก่อน”
ถามว่าอะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณแม่เริ่มคิดว่า ต้องฉีกตำราการเลี้ยงลูกแบบเดิมๆ ม.ล.อัญชลีตอบว่า เริ่มจากการเปิดใจยอมรับว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ พ่อกับแม่อาจจะมีประสบการณ์ชีวิตมามากกว่าลูก แต่พ่อแม่ไม่ได้ถูกทุกอย่าง
“สมัยเอยเรียนอยู่มาแตร์ฯ คุณแม่อยู่ในกลุ่มสมาคมผู้ปกครอง ก็จะมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพ่อแม่คนอื่นๆ ทำให้เรารู้ว่ายุคสมัยเปลี่ยนต้องดูแลลูกยังไง บางครั้งเราคิดว่าสิ่งที่เราเจอกับลูกเรา คือสุดๆ แต่พอเราไปคุยกับพ่อแม่คนอื่น ไม่ใช่เลยหนักกว่าเราก็มี กลายเป็นว่าเรื่องของเราปกติมาก สิ่งเหล่านี้ทำให้เราต้องกลับมาคิดและคุยกับสามีเสมอว่าเราจะเลี้ยงลูกเหมือนยุคเราไม่ได้ แต่ต้องเลี้ยงเขาด้วยเหตุผล ซึ่งด้วยความที่สามีไม่ได้มาคลุกคลีกับกลุ่มผู้ปกครองแบบเรา บางทีเขาก็ยังไม่เข้าใจ ต้องใช้เวลาปรับตัว บางครั้งเวลาลูกไม่เห็นด้วยในเหตุผลของเขา แล้วพูดกลับดีๆ ว่า หนูไม่เห็นด้วย คุณพ่อเขาจะรู้สึกแล้วว่าทำไมลูกก้าวร้าว พูดเหมือนเถียง เพราะสมัยเขาคือต้องฟังอย่างเดียว”
ถอยคนละก้าว...ตามหาจุดที่พอดี
ถึงจะคิดได้ว่าโลกเปลี่ยนพ่อแม่ต้องปรับ แต่พอต้องทำจริงกลับไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะขึ้นชื่อว่า “มนุษย์แม่” ต่อให้ลูกโตแค่ไหนก็ยังเป็นห่วงเสมอ แต่จะทำอย่างไรไม่ให้ความรักที่แม่มีล้นใจกลายเป็นแรงกดดันให้ลูกรู้สึกอึดอัดใจ
“ลูกสาวสองคนนี้ดื้อใช้ได้เลยนะ แต่ก่อนแม่ไม่เข้าใจกับเอยทะเลาะกันบ่อยมากเพราะไม่เข้าใจกัน ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเราต่างฝ่ายต่างเสียใจ แม่ก็เลยกลับมาทบทวน อย่างที่บอกเราเป็นพวก Overprotective มาก อิงจะไม่ค่อยเท่าไหร่เพราะเขายังเด็ก แต่เอยพอเริ่มเป็นวัยรุ่นแม่ก็เป็นห่วง ยิ่งมีคนมาจีบเยอะ แต่พอแม่ยิ่งห่วงยิ่งพูดกับเขาเยอะ กลายเป็นว่าเยอะเกินไป และทำให้ไม่เข้าใจกันบ่อยๆ จนวันหนึ่งเขาเดินเข้ามาหาแม่แล้วพูดตรงๆ เลยว่า เอยเข้าใจนะว่าแม่เป็นห่วง ไม่อยากให้เอยเสียใจ อาจจะมีอะไรที่แม่เคยเจอในชีวิตของแม่ แต่บางครั้งแม่ต้องปล่อยให้เอยล้มเอง เจอเอง แม่ก็โอเค ถ้านี่คือสิ่งที่ลูกเลือก
พอเขาพูดแบบนี้ ทำให้แม่คิดว่าก็จริงนะ เราไม่สามารถอยู่ข้างเขาตลอดไป วันหนึ่งเราไม่อยู่ข้างเขา เขาจะต้องมีภูมิต้านทานพอที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้ และประสบความสำเร็จในชีวิตเขาตลอดไป วันหนึ่งเขาก็ต้องมีครอบครัว”
ถามว่าทำไมวันนั้นเอยถึงสวมหัวใจที่กล้าหาญ ตัดสินใจเดินเข้าไปเปิดอกกับคุณแม่ คำถามนี้ไม่ทำให้สาวหวานคิดนาน
“เอยจำดีเทลวันนั้นไม่ได้ รู้แค่พยายามจะหาคำพูดที่ไม่รุนแรง ไม่ทำให้แม่เสียใจ เลือกตอนแม่อารมณ์ดีๆ แล้วเข้าไปพูดกับท่านตรงๆ เลยว่า บางอย่างปล่อยให้เอยไปเจอเองก็ได้ ไม่ต้องกลัวไปหมด คือเอยคิดอยู่นานแล้ว แต่รอโอกาสที่เหมาะสม เพราะแม่เป็นคนเซนซิทีฟมาก บางคนพูดคำนี้ไปก็ไม่คิดอะไร แต่แม่เสียใจร้องไห้ จำได้ว่าตอนนั้นก่อนจะตัดสินใจพูด เอยมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งเอยสนิทกับคุณแม่เขาด้วย เลยไลน์ไปปรึกษาคุณแม่เพื่อน (เล่ามาถึงตรงนี้ คุณแม่เลยแซวขึ้นมาว่า คนนั้นเป็นคุณแม่เบอร์สอง) ถามว่า แม่คะถ้าหนูเป็นลูกแม่ ถ้าหนูพูดแบบนี้แปลว่าหนูไม่รักแม่หรือเปล่าคะ”
สาวหวานถ่ายทอดความในใจที่อาจดูเป็นเรื่องเล็กในสายตาแม่-ลูกคนอื่น แต่สำหรับเธอกลับเป็นเรื่องยาก “จริงๆ เอยเป็นคนง่ายมากๆ นะ คือเวลาเอยขึ้น ก็ขึ้น โมโหแล้วจบก็คือจบ (คุณแม่เสริมทันทีว่า นางเหมือนพายุ มาแล้วก็หายไป) นอนหลับ ตื่นมาหาย เอยจัดการความทุกข์ของตัวเองได้ เอยไม่ต้องการที่ปรึกษา และไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร ต้องการแค่เวลาโมโหมีคนฟัง แต่ไม่จำเป็นต้องออกความเห็น หรือถ้าจะออกความเห็นก็ออกได้แล้วแค่นั้นจบ แต่ด้วยความที่เอยเป็นแบบนี้ กลับทำให้คุณแม่รู้สึกแล้วว่า เอยไม่รักแม่เหรอ แม่อยากช่วย ทำไมไม่ให้แม่ช่วย ไม่ให้ไปอยู่ในชีวิต หาว่าแม่ก้าวก่ายใช่ไหม” เอยฉวยโอกาสนี้ถ่ายทอดความรู้สึกในใจก่อนหยอกคุณแม่ว่า “ตอนที่เอยมีแฟน คุณแม่ก็รู้สึกว่าเอยจะไปรักคนอื่นมากกว่า”
“อันนี้ใช่เลย เคยแอบอิจฉาแฟนลูก อันนี้พูดตรงๆ เหมือนเขาเอาเวลาของลูกไปหมดเลย แต่ตอนนี้แม่รักษาตัวเองเรียบร้อยแล้ว (หัวเราะ) คุยกับตัวเองเรียบร้อยแล้ว” คุณแม่ชิงเสริมก่อนที่เอยจะถ่ายทอดความรู้สึกในฐานะตัวแทนวัยว้าวุ่นต่อว่า
“เอยเคยลองมาหลายวิธีนะ เช่นเวลาแม่ว่าแล้วเงียบไม่เถียง แต่ปรากฏแม่ก็ยังโมโหว่าทำไมไม่ตอบ แม่บอกเหมือนพูดกับกำแพง จนบางครั้งเอยก็ทำตัวไม่ถูก คำพูดบางคำพูดที่พยายามคิดและเตรียมตัวมาอย่างดีว่าจะไม่ทำให้แม่เสียใจ บางคำนี่ก๊อปปี้มาจากละครแล้วนะ แต่แม่ดรามา ควีนมาก (หัวเราะ) พูดไปแล้วแม่เสียใจ เอยก็งงว่านี่ขนาดดูมาแล้วว่าพูดแบบนี้ซีนนี้ ปรากฏทุกอย่างไม่เป็นไปตามเรื่องราวที่ดูมา” เอยเล่าไปขำไป ขณะที่คุณแม่เองก็ยอมรับอย่างไม่กั๊กว่า “แม่เป็นคนขี้แง บ่อน้ำตาตื้น ซึ่งเวลาเห็นแม่เสียใจอิงจะเข้ามาปลอบ เอาหัววางบนไหล่แม่ แล้วก็ทำหน้าที่เป็นตัวกลางพยายามปลอบแม่ว่าแม่ก็อย่าทำแบบนี้ พี่เอยก็เป็นคนแบบนี้ (หัวเราะ)”
ด้านเอยเสริมว่า เวลามีปัญหา เธอเลือกจะแยกตัวไปอยู่กับตัวเอง แต่หลังจากจูนกับตัวเองได้ เธอก็พร้อมจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาขอโทษแม่ได้อย่างไม่กลัวเสียหน้า
“เอยจะบอกแม่เสมอว่า เอยไม่ชอบทะเลาะกับแม่เลย เอยไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องทะเลาะกัน ทุกครั้งไม่ว่าเอยจะถูกจะผิด เอยจะขอโทษแม่ก่อน แต่บางทีก็มีบ้าง ทะเลาะกันไปไม่ทันไร แม่ก็ลืม มาคุยกับเอยก่อน จนเอยก็งงว่า เราไม่ได้โกรธกันอยู่เหรอ แล้วนี่เอยมานั่งเครียดทำไม” เอยเล่าไปขำไป
ตกผลึกวิธีเลี้ยงลูกให้แฮปปี้ถ้วนหน้า
วันที่เอยตัดสินใจเดินเข้าไปเปิดใจกับแม่ ไม่เพียงเป็นการเผยความในใจลูกสาวที่มีต่อคุณแม่ แต่ยังทำให้คุณแม่ได้ทบทวนหลายสิ่งหลายอย่างจนตกผลึกเป็นวิธีการเลี้ยงลูกที่ถูกใจคุณลูก สบายใจคุณแม่
“วันที่เอยมาพูดกับแม่ ทำให้แม่เริ่มทบทวนจริงจัง และตัดสินใจโทร.ไปปรึกษาคุณแม่เบอร์สองของเอยเหมือนกัน ซึ่งเขาเองก็ช่วยเตือนสติเราว่าบางทีเราอาจจะเยอะเกินไปจริงๆ (หัวเราะ) เหตุการณ์นั้นทำให้เราเข้าใจ ชีวิตลูกไม่ใช่ชีวิตพ่อแม่ แต่ชีวิตเขาก็คือชีวิตเขา แต่ก่อนเราอาจจะพยายามใส่ในทุกสิ่งที่คิดว่าดีให้เขา โดยไม่เคยถามความเห็นเขา ซึ่งเราเองก็พยายามปรับนะ แต่แม่ก็พูดกับเอยตรงๆ เหมือนกันนะว่า พ่อแม่เราก็มีกันคู่เดียว เอยอยู่กับแม่มา 20 กว่าปี ต้องรู้ว่าแม่เป็นไง ขอให้รู้ว่าแม่เป็นคนบ่อน้ำตาตื้น ดีใจร้องไห้ เสียใจก็ร้องไห้ เข้าใจแม่ด้วย แม่ไม่รู้จะเปลี่ยนยังไง อันนี้เปลี่ยนไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอให้เข้าใจ แต่ส่วนอื่นที่แม่เยอะกับหนู แม่จะใช้เวลาปรับ”
ถามว่าเวลาคุณแม่กับพี่สาวไม่เข้าใจกัน อิงทำอย่างไร สาวน้อยหน้าหวานที่ได้แต่อมยิ้ม ฟังเรื่องราวของคุณแม่และพี่สาว ตอบแบบชิลๆ ว่า “อิงจะไม่พูดอะไร อิงกลัวโดนลูกหลง (หัวเราะ) แต่จะเป็นฝ่ายรอปลอบมากกว่า”
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ครบรส ทั้งรักทั้งไม่เข้าใจกันบ้าง แต่สำหรับเวิร์กกิ้งมัมคนเก่ง เธออดภาคภูมิใจในตัวลูกสาวทั้งสองไม่ได้
“เขาเป็นลูกสาวที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจทั้งคู่ เป็นเด็กดี เรียนหนังสือก็ดี วางตัวก็ดี ไม่เคยสร้างปัญหา อย่างที่ทะเลาะไม่เข้าใจกันบ้างก็เป็นความห่วงใยประสาวัยรุ่นธรรมดา เขาไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดี ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้พ่อแม่ บางครั้งเรายังพูดกับเขาเล่นๆ ว่าขอโทษนะบางทีทำให้รำคาญใจ แต่วันหนึ่งยูเป็นแม่ยูก็จะเข้าใจ แต่ยังไงก็ตาม You strick with me all your life”
แม่คือกองหนุนของลูก
หลังจากฝ่าด่านการเลี้ยงลูกที่เช็กอินเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นมาได้แล้ว อีกหนึ่งบททดสอบที่คุณแม่ต้องรับมือ คือ เมื่อลูกสาวคนสวยกลายเป็นคนของประชาชน
“เอยเข้าวงการ 5 ปีที่แล้ว มีแมวมองมาชวนให้ไปแคสต์งาน เขาก็มาขออนุญาตคุณแม่ เราก็โอเคเปิดกว้าง ถ้าการเรียนลูกไม่มีปัญหา ช่วงแรกๆ ที่เอยได้งานพิธีกร เขาทำไป 6 เดือนเริ่มกระทบการเรียน เขาก็เลือกพักงาน หันมาโฟกัสการเรียน ซึ่งเราก็ดีใจนะที่ลูกคิดแบบนี้ จนต่อมาเขามาถ่ายซีรีส์ ถ้าเวลาดึกๆ แม่ก็ยังเฝ้านะ แต่โชคดีที่เอยเจอทีมงานน่ารัก ไม่มีอะไรที่ไม่ดี แม่คิดว่าพอถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องมั่นใจในตัวลูก แรกๆ เขามีอะไรก็ปรึกษา พอโตก็ไม่ค่อยปรึกษา เราก็จะรู้ข่าวพร้อมๆ กับชาวโลกนั่นแหละ (หัวเราะ)”
สำหรับอนาคตของลูก ม.ล.อัญชลี เปิดโอกาสให้ลูกได้เลือกในเส้นทางที่รัก “ตอนที่เขาเรียนจบ ก็ถามว่าอยากทำงานอะไร เขาก็บอกว่าอยากทำงานหน้ากล้อง เราก็โอเค เพราะเป็นงานที่เขาทำแล้วบอกว่าเอนจอย และเขาเองก็ยังมีธุรกิจส่วนตัว และมีแผนจะไปเรียนต่อด้านดิจิทัลมาร์เกตติ้งกันยายนปีหน้า”
เพื่อขยายความเส้นทางที่วาดไว้ สาวสวยถือโอกาสเสริมว่า ระหว่างรอไปเรียนต่อ เอยก็ทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเอง ชื่อแบรนด์ eui_official และก็ยังคงสานต่อแบรนด์เสื้อผ้าที่ทำร่วมกับเพื่อน 4 คนก่อนหน้านี้ ชื่อว่าแบรนด์ cuddlebug.official ทั้งสองแบรนด์ขายทางออนไลน์ นอกจากนี้เอยยังนำแพสชันและความสนใจส่วนตัวมาต่อยอดแบรนด์อาหารเสริม ชื่อ zeno_officialpage
“จริงๆ เอยทำแบรนด์กับเพื่อนมาก่อน จุดเริ่มต้นมาจากเราชอบเที่ยว เลยคิดว่าเราน่าจะทำแบรนด์ด้วยกัน แล้วนำเงินที่หาได้มาเก็บไว้เป็นกองกลางสำหรับไปเที่ยว แต่ปรากฏว่าทำออกมาแล้วผลตอบรับค่อนข้างดี เราเลยเอากำไรที่ได้มาตีเป็นเงินเดือน ส่วนแบรนด์ eui_official เอยเพิ่งเริ่มทำได้ 3 เดือน จะต่างจากแบรนด์ที่ทำกับเพื่อน เพราะอันนี้เป็นสไตล์เอยเพิ่มเติมคือลูกค้าสามารถ customize ได้ เพราะเอยเชื่อว่าผู้หญิงใส่อะไรแล้วจะสวยก็ต่อเมื่อชุดที่ใส่นั้นรับกับรูปร่าง ไม่ใช่เหมือนเอาชุดคนอื่นมาใส่
ส่วนธุรกิจอาหารเสริม เอยเริ่มต้นจากความชอบของเอยเอง เอยเป็นคนกลัวอ้วนมาก อาจเพราะเราไม่ใช่คนสูงมาก เลยต้องคุมน้ำหนัก เอยลองรับประทานอาหารเสริมมาหลายยี่ห้อมากๆ พอลองมาเยอะก็เริ่มสนใจ เลยศึกษาอย่างจริงจังมาตลอด จนต่อยอดมาทำแบรนด์ของตัวเองในที่สุด ซึ่งหลังจากเปิดตัวมาปีกว่าถือว่าได้รับการตอบรับดี เราค่อยๆ โต ไม่ได้ทำการตลาดหนักมาก แต่ก็มีฐานลูกค้าที่อยู่กับเราตั้งแต่วันแรก มาจนถึงวันนี้ก็ยังอยู่ ยิ่งช่วงหลังๆ พอมีข่าวเรื่องอาหารเสริมปลอม ยิ่งทำให้ยอดขายดีขึ้น เพราะแบรนด์เราวางจำหน่ายที่ร้านอีฟแอนด์บอย มีความน่าเชื่อถือ”
ฟากคุณแม่ซึ่งมีสโลแกนประจำตัวว่า เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย เสริมว่า แม่ก็เป็นคนหนึ่งที่พยายามดูแลตัวเองให้ได้มากที่สุด เวลาเห็นผู้หญิงอายุมากแล้วแต่งตัวสวยงาม เราก็ชอบ ส่วนในฐานะแม่ พอเห็นลูกมาทำธุรกิจก็สนับสนุนเต็มที่ ภูมิใจในตัวเขาเหมือนกันนะ เขาก็เก่งที่ทำมาถึงวันนี้
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะส่งเสริมให้ลูกเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริงแล้ว คุณแม่คนเก่งยังสนับสนุนให้ลูกออกไปเปิดหูเปิดตาท่องโลกกว้าง
“ตอนนี้เอยเที่ยวเยอะมาก จนบอกว่ากรุณาหยุดเที่ยวก่อน (หัวเราะ) เขาเป็นคนชอบเที่ยว แต่เที่ยวแล้วเขาก็พยายามต่อยอด เขาจะทำเป็นคลิปมาลงยูทูปเพื่อโปรโมตสินค้าไปด้วยจะได้ไม่เสียโอกาส แม่ก็เห็นด้วยเพราะความสวยงาม การท่องเที่ยว สุขภาพไปด้วยกันได้ เพราะเขาเองก็มีฟอลโลเวอร์อินสตาแกรมเป็นแสนอยู่แล้ว
ส่วนความฝันที่จะทำงานหน้ากล้องเขาก็ไม่ทิ้ง ตอนนี้ก็เตรียมไปเข้าคอร์สเพื่อไปสอบใบผู้ประกาศข่าว ส่วนธุรกิจของคุณแม่ ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่มาสายนี้ เพราะสมัยเด็กๆ เขารู้สึกว่างานมาเอาเวลาเขาไป เวลาลูกค้าโทร.มาต้องไปแล้ว แม่ก็ปล่อย จะมีเอยที่ดูเหมือนสนใจนิดๆ เขาก็เริ่มมาเรียนรู้ ขอตามไปประชุม”
ด้านอิงสาวหวานที่นั่งฟังคุณแม่และคุณพี่อยู่นาน แม้ในเวลานี้ชีวิตของเธออาจไม่หวือหวา มีวีรกรรมวัยว้าวุ่นมากมาย แต่เธอก็กำลังสนุกและเพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
“ตอนนี้อิงเรียนอยู่ปี 2 คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เอกภาษาฝรั่งเศส ช่วงแรกๆ ที่เข้ามหาวิทยาลัยเครียดมาก เคยเกือบจะซิ่ว เพราะรอบตัวมีแต่คนเก่งๆ เพื่อนๆ ได้เอกันไม่รู้กี่ตัว แต่อิงไม่ได้สักตัว (หัวเราะ) เคยปรึกษาคุณแม่ว่าจะขอซิ่ว ซึ่งคุณแม่ก็โอเค แต่พอคิดไปคิดมา บวกกับเรียนๆ ไปก็เริ่มปรับตัวได้ พยายามไม่กดดันตัวเอง ไม่ได้คิดว่าเราต้องแข่งกับใคร แต่แข่งกับตัวเอง เลยใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยได้อย่างมีความสุข ถามว่าในอนาคตอยากทำอะไร ยังไม่รู้เลยค่ะ ตอนนี้อาชีพในฝันอิงไปตามซีรีส์เกาหลีที่ดู (หัวเราะ)
คุยกันมาครบทุกรส หมดทุกมุม แต่อีกเรื่องที่ต้องถือโอกาสนี้ถามคุณแม่ให้เคลียร์คือ เรื่องความรักของลูก
“อย่างที่บอก บางข่าวแม่ก็รู้เมื่อข่าวออก (หัวเราะ) แม่จะพยายามดูแลเขาอยู่ห่างๆ อย่างรูปในไอจี บางรูปที่แม่เห็นว่าเซ็กซี่ไปก็จะเตือน เขาก็จะลบออก ส่วนเรื่องความรัก แม่ไม่ปิดกั้น อย่างก่อนหน้านี้เอยเป็นข่าวกับนักแสดงหนุ่มชื่อดัง แม่ก็ไม่ได้อะไร ถือคติเชื่อใจลูก ว่าเขาไม่ทำอะไรเสื่อมเสีย พยายามเลี้ยงด้วยความเข้าใจ ลูกเราไม่ได้เรียบร้อยแบบผ้าพับไว้ จับตรงไหนอยู่ตรงนั้น เขามีความเป็นตัวของตัวเอง แม่ตกผลึกแล้วว่า ชีวิตเป็นของลูก ลูกมีสิทธิ์เลือก แต่ที่ยังรู้สึกเสียใจมาถึงตอนนี้คือ ตอนที่เอยตัดสินใจเปลี่ยนชื่อจากธัญวรรณ เพราะตอนแรกเขามาปรึกษานะ เราก็ยังไม่ได้ห้าม เพราะไม่คิดว่าเขาจะตัดสินใจเร็วขนาดนี้ แต่ก็โอเค พอเขาบอกว่าเปลี่ยนทั้งชื่อและเบอร์โทรศัพท์ไปแล้ว เพราะไปดูหมอมาแล้วบอกว่าเปลี่ยนแล้วงานรุ่งธุรกิจดีก็ตามใจเขา“ คุณแม่กล่าวทิ้งท้าย
Credit
นางแบบ :: ม.ล.อัญชลี (วรวรรณ) เทพหัสดิน, ณัฐชนันท์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา และธนัชชา เทพหัสดิน ณ อยุธยา
แต่งหน้า-ทำผม :: เอมอุษา แก้วธานี, สมฤทัย บุญประเสริฐ และทอปัด เสริมสุวรรณ จากสถาบัน International Makeup Fashion Academy (IMFA)
สถานที่ :: โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0-2236-7777 ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ