เงือกสาว “โบ-มนต์ริสสา ลีนุตพงษ์” พาชมความงามของธรรมชาติใต้ท้องทะเลแห่งหมู่เกาะกาลาปากอส เดสติเนชันในฝันของนักดำน้ำทั่วโลก ทริปแห่งความประทับใจที่เธอได้สัมผัสประสบการณ์ดำน้ำแบบที่หาที่ไหนไม่ได้
“กาลาปากอสเป็นทริปที่อยู่ในใจตั้งแต่โบเริ่มดำน้ำ เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมของสัตว์แปลกๆ เยอะมากค่ะ สามารถดำน้ำดูพวกปลาและสัตว์ใหญ่ต่างๆ ได้เต็มไปหมด บางชนิดคือหาดูได้แค่ที่นี่ที่เดียว ซึ่งประกอบกับการเดินทางไปลำบาก ใช้เวลานาน และค่อนข้างราคาสูง ทำให้หลายคนเก็บทริปนี้ไว้เป็นทริปท้ายๆ คือตระเวนเที่ยวดำน้ำที่อื่นก่อน แล้วเก็บที่นี่ไว้สุดท้าย เพราะถือเป็นที่สุดแล้ว
แต่โบถือได้ว่าโชคดีมาก เพราะเพิ่งดำน้ำมาได้ปีกว่าๆ เอง เคยดำที่เกาะเต่า ทะเลอันดามัน โคโมโดที่อินโดนีเซีย แล้วก็มัลดีฟส์ จากนั้นก็ได้ข้ามขั้นมากาลาปากอสเลย ทั้งที่จริงๆ คิดว่าคงอีกหลายปี ดำเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่แหล่งอื่นๆ ก่อนค่อยๆ แพลนมาที่นี่ แต่พอดีจังหวะมันเป็นใจ เพราะเพื่อนกลุ่มดำน้ำที่เขาดำกันมานานแล้วจัดทริปกาลาปากอส แล้วมีคนแคนเซิลติดธุระมาไม่ได้ที่เลยว่าง เขาก็มาชวนว่าสนไหม เพราะเขาจองจำนวนไปแล้วถ้าไม่มีใครมาก็เสียที่ไปเปล่าๆ โบก็เลยตัดสินใจมา แถมจ่ายในราคาถูกกว่าปกติด้วย ก็ถือได้ว่าโชคดีมากเลยค่ะ”
ทริปนี้สาวโบใช้เวลาไปราว 10 วัน โดยอยู่ที่กาลาปากอสประมาณ 6 วัน ส่วนที่เหลือคือเวลาสำหรับเดินทางไปและกลับ
“นั่งเครื่องบินยาวมากเพราะไม่มีเส้นทางบินตรง โบต้องบินไปที่อัมสเตอร์ดัมประมาณ 13 ชั่วโมง แล้วก็บินต่ออีก 10 กว่าชั่วโมงไปเอกวาดอร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีสายการบินไปกาลาปากอส โดยบินอีกราว 2 ชั่วโมง รวมแวะพักระหว่างทางแล้วก็เกือบ 3 วันได้ค่ะกว่าจะถึง แต่ก็บอกได้เลยว่าคุ้มค่ามาก เพราะสิ่งที่ลิสต์ไว้ในใจก่อนไปได้เจอเกือบทั้งหมดเลย
ตลอดเวลา 6 วันที่นั่นเราอยู่ในเรือ ล่องไปยังจุดดำน้ำต่างๆ พร้อมแวะเที่ยวเกาะต่างๆ ดูพระอาทิตย์ตก เดินชมธรรมชาติ ขึ้นภูเขาไฟ ไฮไลต์ของทริปมีเยอะมาก ได้เจอสิงโตทะเล ได้ว่ายน้ำกับอีกัวนา ซึ่งที่นั่นเป็นที่เดียวที่เราจะได้เห็นเขาดำน้ำลงมากินสาหร่ายใต้น้ำ มีเพนกวิน พันธุ์หายากที่มีไม่ถึงร้อยตัว ได้เห็นนกบลูฟีต แล้วก็มีโลมาเป็นฝูงๆ เป็นร้อยตัว สวยมาก แต่พอเราลงไปเขากลัวคนก็ว่ายน้ำหนี แต่ฉลามที่มาด้วยกันไม่กลัวค่ะ ไม่หนี แถมชอบออกกล้องด้วย ดำมาหลายทริปแล้ว ฉลามที่เจอในทุกทริปเป็นไรไม่รู้ชอบเล่นกล้อง แย่งซีนมาก แอบเห็นเหล่มองกล้องอยู่บ่อยๆ และไม่กลัวคน
แล้วก็มีฉลามหัวค้อน ซึ่งแม้ว่าจะเห็นเยอะนะคะถ้าเทียบกับที่อื่น แต่ต้องถือว่าน้อยกว่าที่คาด เพราะปกติแล้วที่นั่นจะมีฉลามหัวค้อนชุมมาก สิ่งเดียวที่เสียดายคือ โมลาโมลา ตัวนี้เศร้ามาก คือไม่ใช่ว่าหาไม่เจอนะ เขามาเป็นฝูงเลย แต่โบดันมองไม่เห็นเอง มองแล้วคิดว่าเต่า เลยไม่ได้สนใจอะไร ทั้งที่จริงแล้วเขาว่ายมาใกล้เรามากเลย ห่างกันแบบ 2-3 เมตรเอง แต่ด้วยความที่เราอยู่ในน้ำนานแล้ว และน้ำเย็นมาก ประมาณ 16 องศา ด้วยความหนาวกับสภาพที่ไม่เต็มร้อยของเรา ทำให้เรามองไม่เห็นเขาตอนที่เขาว่ายอยู่ใกล้เรา มาได้เห็นตอนที่เรานั่งอยู่บนเรือแล้วเขาขึ้นมาหายใจ มันเลยยังไม่ฟินเท่าไหร่”
สัตว์อีก 2 ชนิดที่เธอลิสต์ไว้แต่ไม่ได้เจอ คือ วาฬหลังค่อม และวาฬเพชฌฆาต ซึ่งสาวโบบอกว่าไม่ได้เสียดายอะไรมาก
“วาฬหลังค่อมไม่ได้เห็นกันง่ายๆ อยู่แล้ว เลยไม่ผิดหวังอะไรมาก คิดว่าเก็บไว้ทริปหน้าที่อื่นแล้วกัน ส่วนวาฬเพชฌฆาต เขาเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารในทะเล กินทุกอย่าง ทำให้เวลาเจอเขาไปที่ไหน สัตว์อื่นก็จะหนีไปหมด ถ้าเราเจอเขามันก็เสี่ยงที่เราจะไม่ได้เห็นตัวอื่น แต่ทั้งทริปนี้คือไม่เจอเลย ก็ดีค่ะทำให้เราเจอตัวอื่นแทน (หัวเราะ)”
แม้จะเป็นทริปที่มาเร็วกว่าที่แพลนไว้ แต่หลังจากกลับมาแล้ว สาวโบบอกว่าถ้าเป็นไปได้อยากไปให้เร็วกว่านี้อีก “จากที่เราได้ไปเห็นกลับมาแล้วบอกเลยว่าโชคดีที่ได้มาทริปนี้ เพราะถ้าเกิดมาหลังจากนี้อีก 2-3 ปี ไม่รู้เลยว่าจะเหลืออะไรให้เราดูอีกแค่ไหน เพราะแค่ปัจจุบันนี้สัตว์ยังหายไปเยอะเลยค่ะ อย่างฉลามหัวค้อนนี้คือหายไปเกินครึ่งได้ แต่ก่อนเขาบอกคืออยู่กันเป็นฝูงใหญ่เลย แต่ตอนนี้คือโดนล่าไปเยอะมาก โบได้ยินเขาคุยกันว่าบริษัทจีนมาล่าไปทำหูฉลามจนเหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว ไหนจะตัวอื่นๆ สายพันธุ์อื่นก็ไม่รู้ว่าจะมีเหลือให้ดูกันอีกเท่าไหร่
ก่อนหน้าที่จะดำน้ำ โบเองก็เลิกกินหูฉลามมานานแล้ว ยิ่งพอไปดำน้ำเห็นฉลามลดจำนวนแบบนี้ ทำให้เราดีใจเลยที่เราตัดสินใจถูก ทำสิ่งที่ถูกต้อง การดำน้ำยิ่งทำให้เราตระหนักถึงเรื่องธรรมชาติมากขึ้น ใส่ใจกับทรัพยากรมากขึ้น เพราะเราได้เห็นผลของมันด้วยตาตัวเอง
อย่างปกติเวลาเราเข้าห้องน้ำใช้กระดาษทิชชูทิ้งลงชักโครก ก็ทำไปแบบไม่ได้คิดอะไร แต่พอไปอยู่บนเรือเข้าห้องน้ำจะทิ้งทิชชูก็ต้องนึกแล้วว่ามันจะลงไปท้องทะเลรึเปล่า แล้วพวกสัตว์น้ำเขาแยกไม่ได้อะค่ะ ไม่รู้ว่านี่พลาสติกนะ นี่กระดาษนะ ไม่ใช่อาหารกินไม่ได้ ทุกวันนี้เราคิดมากขึ้น ว่าขยะแต่ละชิ้นมันจะไปลงเอยที่ไหน คือเราอาจคิดว่าเราก็แค่คนตัวเล็กๆ ธรรมชาติแสนจะยิ่งใหญ่ แค่ขยะชิ้นเดียวเองไม่เป็นไรหรอก แต่ที่จริงแล้วทุกคนล้วนสร้างผลกระทบทั้งนั้น แค่คนละชิ้น ถ้าทุกคนคิดเหมือนกันก็รวมเป็นล้านชิ้นแล้ว อย่าคิดว่าเราทำแค่นี้เองไม่เป็นไรหรอก เชื่อเถอะค่ะว่าทำอะไรไปมันส่งผลทั้งนั้นค่ะ เริ่มจากตัวเรานี่แหละ ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกันค่ะ” โบกล่าวทิ้งท้าย