“โตโต้-อภิชาต สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” หนุ่มหล่อทายาทเครือร้านอาหาร Little Home ซึ่งตอนนี้ดูแลด้านดิจิตอลเซอร์วิส ของบริษัทบุญรอด บริวเวอรี เป็นหนุ่มนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในการขี่มอเตอร์ไซค์ตระเวนเที่ยว และชื่นชอบที่จะได้สัมผัสกับธรรมชาติและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากทัวริสต์ทั่วไป
“ผมเริ่มขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวครั้งแรกที่อเมริกา ตอนนั้นเดินทางไปศึกษาปริญญาตรีอยู่ที่โคโลราโด ซึ่งเป็นรัฐที่มีธรรมชาติอันสวยงาม ทั้งภูเขาและป่าไม้ ช่วงวันหยุดหรือปิดเทอมจึงขี่รถไปเที่ยวทั่วรัฐ รวมไปถึงรัฐข้างๆ หลังจากนั้นมาก็ติดใจในการขี่มอร์เตอร์ไซค์เที่ยวครับ”
หนุ่มโตโต้ขยายความให้ฟังต่อว่า เขาชื่นชอบในการขี่มอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่สมัยยังเรียนอยู่ที่ประเทศไทย ทำได้เพียงแต่ลองหัดไม่ได้ขี่อย่างจริงจัง ด้วยอายุที่ยังน้อย ที่บ้านจึงไม่ค่อยอยากให้ใช้พาหนะชนิดนี้สักเท่าไหร่ จนเริ่มโตแล้วทางบ้านถึงอนุญาตให้มีมอเตอร์ไซค์ ซึ่งหลังจากที่ได้ขี่อย่างจริงจังตอนที่อยู่อเมริกาแล้ว พอกลับมาทำงานที่เมืองไทย เขาก็ได้เลือกใช้มอเตอร์ไซค์ในชีวิตประจำวัน ขับขี่ไปทำงาน รวมถึงขี่ท่องเที่ยวไปทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น บางแสน กาญจนบุรี หัวหิน พัทยา ไปจนถึง ภูทับเบิก และรวมกลุ่มออกทริปกับคนรักมอเตอร์ไซค์บ้างเป็นครั้งคราว ทั้งตระเวนเที่ยวรวมไปถึงทริปทำบุญ หรือนำสิ่งของไปบริจาคให้บ้านเด็กกำพร้า
เสน่ห์ของการเที่ยวด้วยการขี่มอเตอร์ไซค์ โตโต้บอกว่า “ในหลายๆ เส้นทางมอเตอร์ไซค์พาเราไปได้มากกว่ารถยนต์ อย่างการขึ้นเขาหรือท่องไปยังพื้นที่ห่างไกลที่ถนนแคบ รถอาจสวนกันลำบากแต่มอเตอร์ไซค์สามารถพาเราซอกแซกไปถึงจุดที่เห็นวิวหรือมุมที่แตกต่างได้ ทำให้เราเที่ยวได้อย่างมีอิสระมากขึ้นครับ
อีกอย่างถ้าขี่ไปเที่ยวกันกับกลุ่มเพื่อนเป็นหมู่คณะ ยิ่งสนุกและท้าทายกว่า เพราะเราจะได้สื่อสารกันตลอด จะมีไมค์ติดที่หมวกกันน็อก ค่อยแจ้งข่าวกัน เตือนกันตลอดว่าข้างหน้ามีหลุมนะ หรือให้ชิดเข้าหน่อย คอยระมัดระวังให้กัน ผมว่ามันท้าทายดีครับ ต่างจากการนั่งรถเที่ยว ที่เราอาจจะนั่งคุยในรถกันไป คือเป็นการเดินทางด้วยกันเฉยๆ แล้วท่องเที่ยวกันที่จุดหมายปลายทาง แต่สำหรับมอเตอร์ไซต์ระหว่างเดินทางมันก็นับเป็นกิจกรรมแล้ว เป็นอีกประสบการณ์ที่น่าสนใจ”
สำหรับทริปสุดประทับใจในการขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยว โตโต้ตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า “เป็นทริปเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมไปตระเวนเที่ยวเวียดนามยาว 12 วัน ได้แวะเที่ยวเมืองต่างๆ ทางตอนเหนือ โดย 3 วันแรก ไปเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวในแถบ ha giant ซึ่งอยู่เหนือสุดของประเทศเวียดนาม โดยทริปนี้เกิดจากที่ตอนแรกผมแพลนจะไปที่ซาปา แต่ก็มีคนบอกว่านักท่องเที่ยวแยะมากนะ คนไทยไปกันเต็มเลย ทำไมไปลองเลยไปอีกทางละ วิวก็สวยงามไม่แพ้กันและธรรมชาติยังสมบูรณ์อยู่ แต่ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวไป ซึ่งพอลองหาข้อมูลก็เห็นวิวสวยๆ เยอะเลยครับ แล้วก็อาจไปเจอฝรั่งรีวิวเรื่องขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยว ก็เลยหาข้อมูลแพลนทริปเลย
สรุปคือผมไปเช่ามอเตอร์ไซค์ที่นั่น เป็นฮอนด้า เวฟ ขี่เที่ยวอยู่ 3 วัน รวมแล้ว 400 กว่ากิโลเมตร เป็นทางภูเขาล้วน ทริปที่อ่านมาเขาใช้เวลา 5 วัน สามารถข้ามไปแถวพรมแดนติดต่อกับจีนได้ แต่ด้วยเวลาที่แพลนไว้มันไม่พอ ผมเลยไม่ได้ไปไกลถึงขนาดนั้น แต่ก็ได้เห็นอะไรสวยๆ ประทับใจเยอะเลยครับ
มันทำให้เราเปิดโลก เห็นเลยว่ายังมีอะไรสวยๆ รอให้เราไปสัมผัสอีกเยอะ ไม่ต้องไปไกลที่ไหน แค่เพื่อนบ้านข้างเคียงนี่แหละ ยังมีอะไรให้เที่ยวอีกมาก ซึ่งในหลายแห่งที่เราไปถึงมันเป็นอะไรที่ดิบมาก ไปเรียนรู้วัฒนธรรม ได้เห็นวิถีชีวิตจริงๆ ของคนในหมู่บ้าน แบบบางคนเขาไม่ค่อยเห็นชาวต่างชาติ พอเห็นเราขี่รถไปเที่ยวก็ตื่นเต้นกันก็มี
ผู้คนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ โต้เองก็พูดเวียดนามไม่ได้ ก็ต้องใช้ภาษามือซะเยอะ แล้วก็เปิดพวกแอปพลิเคชันช่วยแปล เวลาสั่งอาหารต้องใช้วิธีจิ้มรูปถามว่าเนื้ออะไร โต้เซฟพวกภาพสัตว์ต่างๆ ไว้ในมือถือ เพราะบางครั้งเราเห็นเป็นเนื้อแต่ไม่รู้เนื้ออะไร ก็ต้องถามให้เขาจิ้มรูปเพื่อความแน่ใจ กลัวจะเป็นเนื้อสุนัข หรือเนื้ออะไรแปลกๆ (หัวเราะ)”
นอกจากขี่รถเที่ยวแล้วส่วนที่เหลือของทริปเขาก็ยังเดินทางไปยังเมืองอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นฮานอย ฮอยอัน รวมไปถึงอีกแห่งที่สร้างความประทับใจให้กับเขาไม่น้อยหน้ากัน นั่นคือการไปชมน้ำตกด่านก๊อก น้ำตกชื่อดังของเวียดนาม ซึ่งเป็นน้ำตกขนาดใหญ่มาก อยู่ระหว่างพรมแดนของเวียดนาม-จีน รวมไปถึงnguom ngao ถ้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีหินงอกหินย้อยอันงดงาม
นอกจากแบ่งปันประสบการณ์ท่องเที่ยวให้เราฟังแล้ว อภิชาติยังทิ้งท้ายถึงคำแนะนำสำหรับคนที่สนใจขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวในต่างแดนว่า
“อันดับแรกต้องหาข้อมูลให้แน่นก่อนครับ ว่าเส้นทางเป็นอย่างไร มีที่พักตรงจุดไหน ดูรีวิวของคนที่ผ่านประสบการณ์บนเส้นทางนั้นมาก่อน ช่วยให้เราได้ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย เตรียมสัมภาระให้เพียงพอ และเผื่อการเผชิญสภาพอากาศที่คาดไม่ถึงด้วย เพราะสภาพร่างกายเป็นเรื่องสำคัญ
แต่ถึงแม้จะข้อมูลแน่นหรือเตรียมมาพร้อมแค่ไหน พอไปจริงก็ต้องเผื่อใจปรับเปลี่ยนแผนด้วย อย่างบางครั้ง Google Map บอกว่าใช้เวลา 5 ชั่วโมง แต่พอขี่จริงเส้นทางเป็นเขาตลอด หรือสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม เราอาจต้องใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมง
ที่สำคัญต้องดาวน์โหลดพวกแอพฯ แปลภาษาที่ไม่ต้องใช้เน็ต แล้วก็พวกแอพฯ แผนที่ที่ไม่ต้องใช้ GPS มาไว้ก่อนเลยครับ เพราะอย่าลืมว่าเที่ยวแบบนี้ไม่มีสัญญาณเน็ตหรือไวไฟมาอำนวยความสะดวกให้นะครับ”