>>“เหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้ตัดสินใจซื้อของแบรนด์เนมก็คือ คุณภาพ ทุกชิ้นมีเรื่องราวที่ดีไซเนอร์ตั้งใจออกแบบมาให้เป็นผลงานมาสเตอร์พีซ” และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ตู้เสื้อผ้าของ “แก๊ป-ปณิธิพัทธ์ พีรพัฒนกุล” คู่หูตัวติดกันของไฮโซสายแซบ “มาร์ก-ธาวิน พีเซียวตง” เต็มไปด้วยเสื้อผ้า และเครื่องประดับจากแบรนด์ดัง โดยหลายชิ้นเป็นลิมิเต็ด อิดิชัน บางชิ้นก็เป็นคอลเลกชันล่าสุดที่จะจำหน่ายเฉพาะลูกค้า VIP เท่านั้น!
หลายคนคงสงสัยว่าเขาเป็นใครทำไมถึงมีสตางค์ในการซื้อแบรนด์เนม ราคาสูงได้หลายชิ้นอย่างนี้ “แก๊ป-ปณิธิพัทธ์ พีรพัฒนกุล” เป็นคนรุ่นใหม่ที่มองหาช่องทางในการทำธุรกิจของตัวเองอยู่เสมอ แม้ว่าแบ็กกราวด์ของที่บ้านจะสามารถซัปพอร์ตชีวิตเขาได้เป็นอย่างดี แต่เขาก็ขอที่จะหาเงินทำธุรกิจด้วยตัวเอง
“ตอนนี้แก๊ปทำธุรกิจเกี่ยวกับนำเข้าและส่งออกเพาะพันธุ์กล้วยไม้ และช่วยธุรกิจทางบ้านที่ภูเก็ตเกี่ยวกับการจัดจำหน่ายอะไหล่ เรื่องธุรกิจกล้วยไม้เริ่มต้นจากการทำเป็นเหมือนงานอดิเรก ชอบเลี้ยงกล้วยไม้ตั้งแต่เด็กๆ ด้วยความที่ว่าเคยนั่งดูสารคดีเกี่ยวกับกล้วยไม้ ซึ่งมีชนิดพันธุ์เยอะแยะไปหมด สมัยนั้นเด็ก ป.2 ก็รู้สึกตื่นเต้น ก็ไปหากล้วยไม้มาเลี้ยง จำได้เลยว่าเก็บเงินไปซื้อกล้วยไม้ต้นแรกมาเลี้ยงในราคาต้นละ 90 บาท จากนั้นก็ขอที่บ้านซื้ออาทิตย์ละกระถาง แลกกับการตั้งใจเรียน พอเลี้ยงไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกชอบมากขึ้นๆ จนพ่อขยายเรือนกล้วยไม้ให้และเราก็เริ่มศึกษาเรื่องกล้วยไม้มากขึ้น เข้าใจเรื่องการดูแล ต้นไม้เหมือนนิสัยคนเราต้องเรียนรู้กันไป เคยซื้อกล้วยไม้ต้นละเป็นหมื่นๆ ศึกษาจนรู้ว่าชนิดนี้ต้องนำเข้ามาจากที่ไหน เริ่มขายให้กับลูกค้าในประเทศตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นอยากหาเงินเอาไปซื้อของที่อยากได้ ก็เริ่มรู้จักคนในวงการกล้วยไม้มากขึ้นเลยกลายมาเป็นธุรกิจของเรา
นอกจากนั้นตอนนี้ยังเรียนปริญญาเอกที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วย ด้านยุโรปศึกษา ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เรียนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปริญญาโทและมีความรู้สึกว่าชอบจึงเลือกเรียนต่อปริญญาเอกซะเลย คุณพ่อคุณแม่อยากให้เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยซึ่งเราเองก็ชอบอยู่แล้วที่จะได้ให้ความรู้คนอื่นๆ ยุโรปถือเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมตะวันตกเกือบทั้งหมด ถ้าเราเรียนรู้จากเขาสามารถนำมาพัฒนาประเทศเราได้ ทั้งกฎหมาย ศิลปวัฒนธรรมทุกอย่างเขาพัฒนาเต็มที่รวมถึงการปกครองด้วย”
จากความชอบเรื่องศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมของยุโรป ยังนำเข้าไปสู่เรื่องแฟชั่นที่หลายๆ ครั้งเราพบว่าแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกก็เกิดขึ้นที่นี่และเรื่องของเทรนด์แฟชั่นที่มีรสนิยมก็มักมาจากทางฝั่งยุโรปด้วยเช่นกัน
“เล่าก่อนว่าก่อนที่จะมาซื้อของแบรนด์เนม แก๊ปเป็นคนที่ไม่แต่งตัวเลย ไม่สนใจแฟชั่น กระทั่งเรามาเจอคนคนหนึ่งที่เราแอบชอบ เราเห็นเขาใช้หลุยส์ วิตตอง เราก็เลยเริ่มศึกษาเพื่อที่จะได้มีเรื่องคุยกับเขา และเริ่มเก็บเงินซื้อบ้าง ทางบ้านก็บอกว่าอย่าใช้ของพวกนี้เยอะ หรือถ้าเราหาเงินได้เองก็ว่าไป แก๊ปเริ่มซื้อ-ขายกล้วยไม้แล้วก็พอจะมีเงินของตัวเองก็เลยซื้อสะสมมา แต่อย่างหนึ่งที่เราเรียนรู้จากแบรนด์เหล่านี้คือ ต่อให้เราซื้อมาเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ทุกวันนี้ของชิ้นนั้นก็ยังใช้ได้อยู่ แก๊ปซื้อของมาไม่เคยทิ้งเลย และไม่เคยขายต่อเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะซื้อเรื่อยเปื่อย จะซื้อไอเท็มที่ชอบจริงๆ ซีซันละ 1 ตัว มองว่าชิ้นไหนเป็นซิกเนเจอร์ของซีซันนั้นก็เก็บไว้ ในความคิดของเราคือแบรนด์เนมพวกนี้ไม่ได้ทำออกมาเยอะเหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่งและเราต้องเลือกตัวที่ชอบที่สุดเก็บไว้ 1 ตัว
แบรนด์ที่ชอบมากที่สุดคือ 1.Louis Vuitton 2.Burberry เพราะเขามีความทันสมัยและชอบการบริการในชอปที่เมืองไทย 3.Gucci และ 4.Chanel”
แต่หากจะถามถึงสไตล์และการเลือกซื้อของแฟชั่นนิสต้าคอแบรนด์เนมคนนี้ เขาเป็นคนที่ถ้าถูกใจของชิ้นไหนแล้วทุ่มเลยไม่อั้น!!
“แก๊ปเป็นคนแต่งตัวสไตล์สตรีท กางเกงยีนส์ เสื้อยืด และรองเท้าสนีกเกอร์ แต่พอมารู้จักพี่มาร์ก-ธาวิน เขาพาไปงานนู่นนี่ทำให้เราเห็นแฟชั่นที่กว้างขึ้น แล้วก็เพิ่มความเนี้ยบและเป็นทางการมากขึ้นให้กับสไตล์ของเรา เอาจริงๆ ก็มีความชอบเสื้อผ้าที่เน้นโชว์ความเป็นโลโก้แบรนด์อยู่นะ แบบใส่ปุ๊บต้องรู้เลย ชอบเสื้อผ้าที่เป็นยูนิเซ็กซ์ ใช้ได้ทั้งผู้ชายผู้หญิง
เริ่มมาซื้อแบรนด์เนมจริงๆ จังๆ ช่วงประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว อย่างแรกคือชอบ สองเรามีรายได้ของตัวเองที่แน่นอน การซื้อของให้ตัวเองก็เป็นรางวัลความเหนื่อยอย่างหนึ่ง รู้สึกว่าเสื้อผ้าแสดงความเป็นเอกลักษณ์ตัวเราออกมาด้วย”
แม้ใครจะมองว่า แก๊ป-ปณิธิพัทธ์ พีรพัฒนกุล เป็นคนที่แบรนด์เนมตั้งแต่หัวจดเท้า แต่เหตุผลและความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ซึ่งเขาก็มีเหตุผลที่ยืนยันว่าจะใช้ของแบรนด์เนมแบบนี้ต่อไปว่า
“เหตุผลที่ชอบของแบรนด์เนมเพราะทุกคอลเลกชันมีเรื่องราวและเราซื้อก็เพราะเรื่องราวนั้นซะด้วย (หัวเราะ) ของที่เราซื้อถ้าผ่านไป 5 ปี ดีไซเนอร์คนนี้อาจจะไม่อยู่แล้ว เราสนใจที่จะรู้เรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์และคอลเลกชันนั้นๆ ไม่ใช่ซื้อๆๆ เพราะแค่มีเงินหรือเอามาอวดคนอื่น แต่เราซื้อเพราะคุณภาพและความทุ่มเทของเขา ของทุกชิ้นมีคุณค่า เมื่อซื้อแล้วมีความรู้สึกดีๆ แล้วแบรนด์เหล่านี้ไม่ค่อยจัดเซลให้ลูกค้าที่ซื้อราคาปกติเสียความรู้สึก เพราะอย่างนี้แหละเราถึงยอมซื้อแบรนด์เนม!”
“เหตุผลที่ชอบของแบรนด์เนมเพราะทุกคอลเลกชันมีเรื่องราวและเราซื้อก็เพราะเรื่องราวนั้นซะด้วย ไม่ใช่ซื้อๆๆ เพราะแค่มีเงินหรือเอามาอวดคนอื่น แต่เราซื้อเพราะคุณภาพแล้วความทุ่มเทของเขา ของทุกชิ้นมีคุณค่า เมื่อซื้อแล้วมีความรู้สึกดีๆ แล้วแบรนด์เหล่านี้ไม่ค่อยจัดเซลให้ลูกค้าที่ซื้อราคาปกติเสียความรู้สึก เพราะอย่างนี้แหละเราถึงยอมซื้อแบรนด์เนม!”