>>คงจะดีไม่น้อย ถ้าพ่อแม่ทุกคนไม่หรือขีดเส้นให้ลูกอยู่ในกรอบจนเกินไป และคงจะดีมาก ถ้าพ่อแม่ส่วนใหญ่หันมาใส่ใจ "หัวใจ" ของลูก มากไปกว่าความคาดหวัง หรือไปเซ่นไหว้อนาคตของพ่อแม่ไว้กับลูก ดังจะเห็นได้จากคุณแม่เซเลบหลายคนที่ไม่กดดันลูก หากแต่สนับสนุนลูกทำในสิ่งที่พวกเขารัก จนประสบความสำเร็จไปก็หลายราย แต่จะมีคุณแม่คนไหนบ้างที่สวมบทเจ๊ดัน จนโมเดลลิงชื่อดังยังยอมแพ้ ตามมาดูกันเลย
เริ่มที่ คุณแม่น้อยหน่า-เพ็ญสุภา คชเสนี ที่ตัวติดกันกับลูกสาว หนูนวล-สาริศา จนเสมือนเป็นฝาแฝด นับเป็นคุณแม่เจ๊ดันเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย นอกจากจะส่งเสริมลูกด้านการเรียนให้เป็นเลิศ ด้วยการให้เรียนพิเศษในวันหยุดวันละ 3 ชั่วโมง จนหนูนวลกลายเป็นสาวน้อยเรียนเก่ง ที่ได้รับเกรดเฉลี่ย 3.95 และได้รับรางวัลเรียนดีจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มาแล้วนั้น
ใช่ว่าเธอจะเน้นวิชาการเท่านั้นนะคะ พอเธอรู้ว่าลูกสาวชอบทำอะไรก็จะส่งเสริม โดยเฉพาะ เมื่อรู้ว่าหนูนวลชอบว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ คุณแม่หน่าถึงขั้นไปหาครูสอนว่ายน้ำระดับทีมชาติมาสอนพิเศษ จนตอนนี้ฝีมือว่ายน้ำของหนูนวลไม่เป็นสองรองใคร แถมยังได้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมโรงเรียนจิตรลดาอีกด้วยคร่า
มาถึงคุณแม่ MC คนเก่ง หนิง-ศรัยฉัตร จีระแพทย์ ที่นอกจากจะเคี่ยวเข็ญให้ลูกสาววัย 10 ขวบ น้องเบลล่า-กุญช์จารี พูดภาษาไทยให้ชัดเป๊ะทุกคำเหมือนเธอแล้ว ยังเป็นเจ๊ดันพาน้องเบลล่าไปเป็นพิธีกรรายการเด็กตามรอยตัวเองมาติดๆ แต่ที่คุณแม่หนิงภูมิใจสุดๆ นั่นก็คือ การส่งเสริมให้น้องเบลล่าเรียนเต้นทุกชนิด จนได้รางวัลมากมายจากทั้งเวทีระดับชาติและในเอเชียแปซิฟิก
คุณแม่หนิงบอกว่าจะไม่เน้นให้ลูกเรียนพิเศษเท่าไหร่นัก แต่จะเน้นให้เรียนเสริมในสิ่งที่ลูกชอบ อย่าง วาดรูป เต้นบัลเลต์ เต้นแจ๊ซ โดยเฉพาะ เรื่องเต้นน้องเบลล่าจะชอบ ทุกวันนี้จะตื่นขึ้นมาซ้อมเต้นแต่เช้า หลังเลิกเรียนก็จะแบ่งเวลาไปซ้อมอาทิตย์ละ6วัน วันละ 2-7ชั่วโมง ยังไม่รวมการเรียนยิมเพื่อเสริมการเต้นด้วย โดยมีคุณพ่อคุณเเม่มานั่งเฝ้าเพื่อให้กำลังใจไม่ห่าง ส่งผลให้เบลล่าชนะเลิศการเเข่งเต้น cstd thailand รุ่นอายุไม่เกิน 9 ขวบมาแล้ว นอกจากนี้ ยังไปลุยเวทีระดับเอเชียเเปซิฟิกและเวทีที่ออสเตรเลียมาแล้วด้วยคร่า
รายต่อไปเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก คุณแม่วาสนา รุ่งแสนทอง ลาทูรัส เจ้าของกระเป๋านารายาอันโด่งดัง ที่สวมบทเป็นคุณแม่เจ๊ดันเต็มตัว เพราะรู้ว่าลูกชาย พศิน ลาทูรัส ชื่นชอบการแข่งรถมาตั้งแต่ 8 ขวบ จึงผลักดันทุกด้าน จนทุกวันนี้หนุ่มพศินขึ้นทำเนียบนักแข่งรถมอเตอร์สปอร์ตทีมเมอร์ริทัส (MERITUS) ซึ่งได้โชว์ฝีมือนักแข่งสายเลือดไทยมาแล้วถึง 4สนาม ไม่ว่าจะเป็นสนามเซปังเอฟวันเซอร์กิต มาเลเซีย สนามแข่งในเกาหลีและสิงคโปร์
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ พศินได้รับแรงขับเคลื่อนที่ดีจากครอบครัวมาโดยตลอด เพราะไม่ว่าลูกชายจะไปแข่งรถที่สนามไหน คุณพ่อวาสาลิโอ ลาทูรัส ก็จะตามไปเชียร์ถึงขอบสนาม และที่ลูกชายลงแข่งโกลคาร์ท รถรุ่นเล็กเพียงไม่กี่แรงม้า ก็ช่วยเปล่งประกายพรสวรรค์ให้พศินโดดเด่นเกินใคร
ด้าน คุณแม่วาสนา ก็สวมบทเจ๊ดันเต็มตัว ส่งโลโก้แบรนด์นารายา ให้ผงาดบนโลกแห่งความเร็ว ทำการตลาดเชิงรุก อวดโลโก้กระเป๋าฝีมือคนไทยให้ปรากฏสู่สายตาทุกคน รับเป็นสปอนเซอร์ทีมเมอร์ริทัส ควักกระเป๋าจ่าย 10 ล้านบาท เพื่อแปะโลโก้นารายาให้โชว์หราอยู่ข้างรถสปอร์ตสีแดงสดที่ลูกชายขับลงสนาม ช่วยโปรโมตสินค้าฝีมือคนไทยอีกทางหนึ่ง แถมหนุ่มน้อยยังได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้เป็น ยุวทูตการท่องเที่ยว (Thailand Tourism Ambassador) เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างชื่อให้เมืองไทยบนเวทีโลก ภายใต้สโลแกน Racing for Thailand เรียกว่ามีวันนี้เพราะแม่ให้
นอกจาก แม่อุ๊-เจนนิส โสภณพนิช จะมีลูกแฝดหญิง-ชายหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาอย่าง น้องจาณีน และ น้องเจส วัย 4 ขวบ ที่มีผู้ติดตามความน่ารักในโซเชียลมีเดียจำนวนมาก เพราะหลงในบุคลิกที่เป็นตัวของตัวเอง การเล่น และพูดคุยที่เป็นธรรมชาติ แถมคุณแม่อุ๊ยังเน้นสอนให้เด็กๆ มีมารยาทที่ดีเป็นพื้นฐานอีกด้วย
เพราะลูกแฝดของคุณแม่อุ๊มีธรรมชาติที่ต่างกัน น้องจาณีนชอบศิลปะ เป็นเด็กมีระเบียบสูงมาก ส่วนน้องเจสชอบเรียนรู้ ช่างสงสัยหาคำตอบและชอบเล่นกีฬา ดังนั้น คุณแม่อุ๊จึงสวมบทเป็นเจ๊ดันส่งเสริมความเป็นธรรมชาติของลูกรักอย่างเต็มที่ ด้วยการพาลูกไปทำกิจกรรมที่เขาชื่นชอบ
โดยเฉพาะ น้องเจส ที่ชอบเล่นกีฬาอย่างปั่นจักรยาน จนคุณแม่พาไปแข่งขันในเวทีระดับประเทศมาแล้วอย่างรายการ bkkstrider ซึ่งเป็นเวทีที่ให้เด็กอายุ 18 เดือนถึง 5ขวบ มาแข่งขันปั่นจักรยานเพื่อฝึกทักษะการทรงตัว ที่ได้รับความนิยมมากในสหรัฐอเมริกา โดยคุณแม่อุ๊พาน้องเจสไปแข่งในรายการนี้ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ปีที่แล้วน้องเจสได้เป็นแชมป์รุ่นอายุ 3 ขวบ มาในปีนี้ได้เป็นลำดับที่ 5 ในรุ่นอายุ 4 ขวบ แม่อุ๊ยังพูดติดตลกว่าไม่รู้ว่าปีหน้าน้องเจสจะถอดใจก่อนลงแข่งในรุ่นอายุ 5 ขวบหรือไม่
แม่อุ๊บอกว่าการปล่อยให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ในสิ่งที่สนใจเต็มที่นั้นเป็นเรื่องที่ดีมาก สมัยก่อนตัวเธอนั้นเป็นคุณแม่สายอนามัยตัวยง โดยเฉพาะ กับน้องจาณีนเพราะเป็นผู้หญิงดูอ่อนแอกว่าน้องเจส แต่พอเริ่มโตขึ้นแม่อุ๊ขยับชั้นมาเป็นคุณแม่สายแอดเวนเจอร์ เพราะเห็นว่าการพาไปทำกิจกรรมต่างๆ เท่ากับได้ออกกำลังกายเสริมภูมิต้านทาน ช่วยเสริมพัฒนาการลูกในทุกๆ ด้านให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไป
วันหยุดปิดเทอมทั้งที คุณแม่เซเลบหลายคนส่งให้ลูกไปเรียนหลักสูตรระยะสั้นที่ต่างประเทศ ผิดกับ คุณแม่โมนา-วิภาวี คอมันตร์ ที่ไม่ได้ส่งลูกแฝดชาย-หญิง น้องธิ-เอกวิทย์ และ น้องดา-วรดา ไปเรียนที่ต่างประเทศแต่อย่างใด แต่กลับให้ลูกได้ศึกษาในสิ่งที่ลูกชอบ โดยเฉพาะ น้องธิ อยากจะไปบวชเณรภาคฤดูร้อน เพื่อฝึกให้มีสมาธิมากขึ้น คุณแม่โมนาจึงไปหาสถานที่ให้ลูกได้บวชเรียนศึกษาธรรมมะ จนตอนนี้น้องธิได้เป็น 1 ใน 12 เด็กชายที่เข้าร่วมโครงการว่าที่สามเณรปลูกปัญญาธรรม ปีที่ 7 ที่วัดป่าไทรงาม จ.กาญจนบุรี กว่าน้องธิจะได้รับคัดเลือกสมความตั้งใจ ต้องมีสอบทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์อยู่หลายรอบ แต่คุณแม่โมนาก็สวมบทเจ๊ดันไปเป็นเพื่อนและให้กำลังใจลูกตลอด
คุณแม่ยังสาวบอกว่า ไม่เห็นด้วยที่พ่อแม่บังคับให้ลูกเรียนในสิ่งที่ลูกไม่ชอบ สิ่งไหนที่เราเก่งไม่จำเป็นว่าลูกจะต้องเก่ง แต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้น หน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่ดีจะต้องสังเกตว่าลูกชอบอะไร เก่งด้านไหน แล้วส่งเสริมด้านนั้นให้ดีที่สุด ถ้าไปบังคับลูกจะไม่มีความสุข และจะทำสิ่งนั้นๆ ได้ไม่ดีอย่างที่พ่อแม่ต้องการ
เริ่มที่ คุณแม่น้อยหน่า-เพ็ญสุภา คชเสนี ที่ตัวติดกันกับลูกสาว หนูนวล-สาริศา จนเสมือนเป็นฝาแฝด นับเป็นคุณแม่เจ๊ดันเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย นอกจากจะส่งเสริมลูกด้านการเรียนให้เป็นเลิศ ด้วยการให้เรียนพิเศษในวันหยุดวันละ 3 ชั่วโมง จนหนูนวลกลายเป็นสาวน้อยเรียนเก่ง ที่ได้รับเกรดเฉลี่ย 3.95 และได้รับรางวัลเรียนดีจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มาแล้วนั้น
ใช่ว่าเธอจะเน้นวิชาการเท่านั้นนะคะ พอเธอรู้ว่าลูกสาวชอบทำอะไรก็จะส่งเสริม โดยเฉพาะ เมื่อรู้ว่าหนูนวลชอบว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ คุณแม่หน่าถึงขั้นไปหาครูสอนว่ายน้ำระดับทีมชาติมาสอนพิเศษ จนตอนนี้ฝีมือว่ายน้ำของหนูนวลไม่เป็นสองรองใคร แถมยังได้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำทีมโรงเรียนจิตรลดาอีกด้วยคร่า
มาถึงคุณแม่ MC คนเก่ง หนิง-ศรัยฉัตร จีระแพทย์ ที่นอกจากจะเคี่ยวเข็ญให้ลูกสาววัย 10 ขวบ น้องเบลล่า-กุญช์จารี พูดภาษาไทยให้ชัดเป๊ะทุกคำเหมือนเธอแล้ว ยังเป็นเจ๊ดันพาน้องเบลล่าไปเป็นพิธีกรรายการเด็กตามรอยตัวเองมาติดๆ แต่ที่คุณแม่หนิงภูมิใจสุดๆ นั่นก็คือ การส่งเสริมให้น้องเบลล่าเรียนเต้นทุกชนิด จนได้รางวัลมากมายจากทั้งเวทีระดับชาติและในเอเชียแปซิฟิก
คุณแม่หนิงบอกว่าจะไม่เน้นให้ลูกเรียนพิเศษเท่าไหร่นัก แต่จะเน้นให้เรียนเสริมในสิ่งที่ลูกชอบ อย่าง วาดรูป เต้นบัลเลต์ เต้นแจ๊ซ โดยเฉพาะ เรื่องเต้นน้องเบลล่าจะชอบ ทุกวันนี้จะตื่นขึ้นมาซ้อมเต้นแต่เช้า หลังเลิกเรียนก็จะแบ่งเวลาไปซ้อมอาทิตย์ละ6วัน วันละ 2-7ชั่วโมง ยังไม่รวมการเรียนยิมเพื่อเสริมการเต้นด้วย โดยมีคุณพ่อคุณเเม่มานั่งเฝ้าเพื่อให้กำลังใจไม่ห่าง ส่งผลให้เบลล่าชนะเลิศการเเข่งเต้น cstd thailand รุ่นอายุไม่เกิน 9 ขวบมาแล้ว นอกจากนี้ ยังไปลุยเวทีระดับเอเชียเเปซิฟิกและเวทีที่ออสเตรเลียมาแล้วด้วยคร่า
รายต่อไปเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก คุณแม่วาสนา รุ่งแสนทอง ลาทูรัส เจ้าของกระเป๋านารายาอันโด่งดัง ที่สวมบทเป็นคุณแม่เจ๊ดันเต็มตัว เพราะรู้ว่าลูกชาย พศิน ลาทูรัส ชื่นชอบการแข่งรถมาตั้งแต่ 8 ขวบ จึงผลักดันทุกด้าน จนทุกวันนี้หนุ่มพศินขึ้นทำเนียบนักแข่งรถมอเตอร์สปอร์ตทีมเมอร์ริทัส (MERITUS) ซึ่งได้โชว์ฝีมือนักแข่งสายเลือดไทยมาแล้วถึง 4สนาม ไม่ว่าจะเป็นสนามเซปังเอฟวันเซอร์กิต มาเลเซีย สนามแข่งในเกาหลีและสิงคโปร์
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ พศินได้รับแรงขับเคลื่อนที่ดีจากครอบครัวมาโดยตลอด เพราะไม่ว่าลูกชายจะไปแข่งรถที่สนามไหน คุณพ่อวาสาลิโอ ลาทูรัส ก็จะตามไปเชียร์ถึงขอบสนาม และที่ลูกชายลงแข่งโกลคาร์ท รถรุ่นเล็กเพียงไม่กี่แรงม้า ก็ช่วยเปล่งประกายพรสวรรค์ให้พศินโดดเด่นเกินใคร
ด้าน คุณแม่วาสนา ก็สวมบทเจ๊ดันเต็มตัว ส่งโลโก้แบรนด์นารายา ให้ผงาดบนโลกแห่งความเร็ว ทำการตลาดเชิงรุก อวดโลโก้กระเป๋าฝีมือคนไทยให้ปรากฏสู่สายตาทุกคน รับเป็นสปอนเซอร์ทีมเมอร์ริทัส ควักกระเป๋าจ่าย 10 ล้านบาท เพื่อแปะโลโก้นารายาให้โชว์หราอยู่ข้างรถสปอร์ตสีแดงสดที่ลูกชายขับลงสนาม ช่วยโปรโมตสินค้าฝีมือคนไทยอีกทางหนึ่ง แถมหนุ่มน้อยยังได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้เป็น ยุวทูตการท่องเที่ยว (Thailand Tourism Ambassador) เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างชื่อให้เมืองไทยบนเวทีโลก ภายใต้สโลแกน Racing for Thailand เรียกว่ามีวันนี้เพราะแม่ให้
นอกจาก แม่อุ๊-เจนนิส โสภณพนิช จะมีลูกแฝดหญิง-ชายหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาอย่าง น้องจาณีน และ น้องเจส วัย 4 ขวบ ที่มีผู้ติดตามความน่ารักในโซเชียลมีเดียจำนวนมาก เพราะหลงในบุคลิกที่เป็นตัวของตัวเอง การเล่น และพูดคุยที่เป็นธรรมชาติ แถมคุณแม่อุ๊ยังเน้นสอนให้เด็กๆ มีมารยาทที่ดีเป็นพื้นฐานอีกด้วย
เพราะลูกแฝดของคุณแม่อุ๊มีธรรมชาติที่ต่างกัน น้องจาณีนชอบศิลปะ เป็นเด็กมีระเบียบสูงมาก ส่วนน้องเจสชอบเรียนรู้ ช่างสงสัยหาคำตอบและชอบเล่นกีฬา ดังนั้น คุณแม่อุ๊จึงสวมบทเป็นเจ๊ดันส่งเสริมความเป็นธรรมชาติของลูกรักอย่างเต็มที่ ด้วยการพาลูกไปทำกิจกรรมที่เขาชื่นชอบ
โดยเฉพาะ น้องเจส ที่ชอบเล่นกีฬาอย่างปั่นจักรยาน จนคุณแม่พาไปแข่งขันในเวทีระดับประเทศมาแล้วอย่างรายการ bkkstrider ซึ่งเป็นเวทีที่ให้เด็กอายุ 18 เดือนถึง 5ขวบ มาแข่งขันปั่นจักรยานเพื่อฝึกทักษะการทรงตัว ที่ได้รับความนิยมมากในสหรัฐอเมริกา โดยคุณแม่อุ๊พาน้องเจสไปแข่งในรายการนี้ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ ปีที่แล้วน้องเจสได้เป็นแชมป์รุ่นอายุ 3 ขวบ มาในปีนี้ได้เป็นลำดับที่ 5 ในรุ่นอายุ 4 ขวบ แม่อุ๊ยังพูดติดตลกว่าไม่รู้ว่าปีหน้าน้องเจสจะถอดใจก่อนลงแข่งในรุ่นอายุ 5 ขวบหรือไม่
แม่อุ๊บอกว่าการปล่อยให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ในสิ่งที่สนใจเต็มที่นั้นเป็นเรื่องที่ดีมาก สมัยก่อนตัวเธอนั้นเป็นคุณแม่สายอนามัยตัวยง โดยเฉพาะ กับน้องจาณีนเพราะเป็นผู้หญิงดูอ่อนแอกว่าน้องเจส แต่พอเริ่มโตขึ้นแม่อุ๊ขยับชั้นมาเป็นคุณแม่สายแอดเวนเจอร์ เพราะเห็นว่าการพาไปทำกิจกรรมต่างๆ เท่ากับได้ออกกำลังกายเสริมภูมิต้านทาน ช่วยเสริมพัฒนาการลูกในทุกๆ ด้านให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไป
วันหยุดปิดเทอมทั้งที คุณแม่เซเลบหลายคนส่งให้ลูกไปเรียนหลักสูตรระยะสั้นที่ต่างประเทศ ผิดกับ คุณแม่โมนา-วิภาวี คอมันตร์ ที่ไม่ได้ส่งลูกแฝดชาย-หญิง น้องธิ-เอกวิทย์ และ น้องดา-วรดา ไปเรียนที่ต่างประเทศแต่อย่างใด แต่กลับให้ลูกได้ศึกษาในสิ่งที่ลูกชอบ โดยเฉพาะ น้องธิ อยากจะไปบวชเณรภาคฤดูร้อน เพื่อฝึกให้มีสมาธิมากขึ้น คุณแม่โมนาจึงไปหาสถานที่ให้ลูกได้บวชเรียนศึกษาธรรมมะ จนตอนนี้น้องธิได้เป็น 1 ใน 12 เด็กชายที่เข้าร่วมโครงการว่าที่สามเณรปลูกปัญญาธรรม ปีที่ 7 ที่วัดป่าไทรงาม จ.กาญจนบุรี กว่าน้องธิจะได้รับคัดเลือกสมความตั้งใจ ต้องมีสอบทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์อยู่หลายรอบ แต่คุณแม่โมนาก็สวมบทเจ๊ดันไปเป็นเพื่อนและให้กำลังใจลูกตลอด
คุณแม่ยังสาวบอกว่า ไม่เห็นด้วยที่พ่อแม่บังคับให้ลูกเรียนในสิ่งที่ลูกไม่ชอบ สิ่งไหนที่เราเก่งไม่จำเป็นว่าลูกจะต้องเก่ง แต่ละคนมีความเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้น หน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่ดีจะต้องสังเกตว่าลูกชอบอะไร เก่งด้านไหน แล้วส่งเสริมด้านนั้นให้ดีที่สุด ถ้าไปบังคับลูกจะไม่มีความสุข และจะทำสิ่งนั้นๆ ได้ไม่ดีอย่างที่พ่อแม่ต้องการ