xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ ม.ร.ว.สุพินดา จักรพันธุ์ ชีวิตหลังเกษียณสุขใจด้วยรสพระธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


>>ภายใต้ลุคสมาร์ท แววตาแฝงความอบอุ่นสไตล์ผู้ใหญ่ใจดีของ “คุณหญิงใหญ่-ม.ร.ว.สุพินดา จักรพันธุ์” หรือป้าหญิงใหญ่ที่หลายคนรู้จัก ใครจะคิดว่าในอดีตเธอเป็นสาวสังคมสุดเปรี้ยวที่พกพาความมั่นใจสไตล์นักเรียนนอกมาเต็มร้อย เป็นปาร์ตี้เกิร์ลและสาวมั่นที่ไว้ผมมาแล้วทุกทรง แถมยังลุกขึ้นมานุ่งมินิสเกิร์ตก่อนใคร

จนกระทั่งวันนี้ที่อายุแตะเลข 7 ป้าหญิงใหญ่กำลังใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างเรียบง่ายแต่มีความสุข เธอไม่ต้องอาศัยเงินทองมหาศาล ไม่ต้องวิ่งตามความสุข แต่เรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวล้วนเป็นผลผลิตจากสิ่งที่เธอทำด้วยใจรัก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือเด็กๆ ในสังคมที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก หรือการเดินตามรอยธรรมตามพระลูกชาย

นิยามการใช้ชีวิตของป้าหญิงใหญ่คือ เต็มอิ่มกับอิสระ เธอปลดล็อกบทบาททางสังคม โดยส่งไม้ต่อให้ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้ามาดูแลแทน แต่ยังคงให้การสนับสนุนมูลนิธิสายเด็ก 1387 ซึ่งเป็นงานที่รักอย่างเต็มที่

“ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งอะไรในส่วนของมูลนิธิแล้ว เพราะได้ ดร.ธาริษา วัฒนเกส อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มาเป็นประธานกรรมการ ส่วนตัวคงไว้เพียงฐานะผู้ก่อตั้งเท่านั้น ยังคงให้การช่วยเหลือเหมือนเดิมเพียงแต่มีอิสระมากขึ้น ไม่ต้องเข้าประชุม (หัวเราะ) เพราะบางครั้งต้องไปปฏิบัติธรรม ไม่มีเวลามาทำตรงนี้เต็มที่”

จากนักเรียนนอกสู่การทำงานเพื่อสังคม

ใครที่ติดตามสถานการณ์การใช้ความรุนแรงในเด็ก คงรู้ดีว่าหลายสิบปีแล้วที่ป้าหญิงใหญ่ทุ่มเททำงานเต็มกำลัง จนอดคิดไม่ได้ว่าอะไรคือแรงบันดาลใจให้เธอทำงานนี้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ทั้งที่โปรไฟล์การศึกษาและฐานะล้วนเป็นใบเบิกทางให้เธอมีโอกาสมากมายในชีวิต

ก่อนจะเฉลยถึงเหตุผล ขอเท้าความไปถึงวัยเยาว์ว่า หลังจบ ม.1 ที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เธอไปศึกษาต่อจนจบมัธยมปลายที่ Pensionnat International de la Chassotte Fribourg สวิตเซอร์แลนด์ จากนั้นไปศึกษาต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัย S.O.A.S ประเทศอังกฤษ “เลือกเรียนด้านปรัชญาเพราะสนใจ ถ้าถามว่าตอนนั้นมีอาชีพในฝันไหมคำตอบคือไม่มี คิดแค่ว่าอยากทำงานที่เป็นประโยชน์กับสังคม”

หลังเรียนจบได้ไปฝึกงานที่โรงแรมเอราวัณ ก่อนจะเริ่มงานแรกที่ World Travel Service ดูแลด้านตั๋วเครื่องบิน และย้ายมาทำงานที่ Air France ทำหน้าที่ต้อนรับแขกวีไอพี หลังจากทำงานสักพักก็ได้รับการทาบทามให้มาทำงานในสถานีโทรทัศน์

“ปีนั้นอาภัสรา หงสกุล ได้รับตำแหน่งนางงามจักรวาล สถานีโทรทัศน์กองทัพบกขาวดำช่อง 7 (ปัจจุบันคือสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5) จะสัมภาษณ์พี่เลี้ยงคุณอาภัสรา แต่ต้องเป็นภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสเท่านั้น เวลานั้น พ.อ.การุณ เก่งระดมยิง ซึ่งทำงานอยู่ที่สถานีนึกถึงเราซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานว่าพูดได้คล่องทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส เลยชวนให้มาสัมภาษณ์ จากนั้นปรากฏว่าท่านผู้อำนวยการสถานีทาบทามให้มาร่วมงาน เป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศแทนคนเก่า ซึ่งต้องเดินทางไปเป็นทูตทหารที่ต่างประเทศ ซึ่งตอนนั้นเราเองก็เพิ่งอายุแค่ 24-25 ปี”

ป้าหญิงใหญ่เล่าอย่างติดตลกว่า “ทั้งแผนกมีแค่เราคนเดียว คือใหญ่ที่สุดแล้ว (หัวเราะ) แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นงานที่สนุกมาก ทุกคืนต้องไปงานเลี้ยงค็อกเทลของสถานทูตต่างๆ เพื่อไปสร้างคอนเนกชันจนสุดท้ายได้ภาพยนตร์สารคดีของแต่ละประเทศมาออกอากาศที่ช่องมากมาย ซึ่งเป็นอะไรที่ใหม่มากสมัยนั้น เหมือนเป็นการเปิดหูเปิดตาให้ผู้ชม เพราะสมัยก่อนประเทศไทยกับซีกโลกตะวันตกเป็นอะไรที่ห่างไกลกันมาก ยังไม่มีรายการไหนยกกองไปถ่ายทำที่ต่างประเทศ”

อีกหนึ่งบทบาทที่น่าภาคภูมิใจคือ มีโอกาสสัมภาษณ์บุคคลสำคัญของโลกมากมาย อาทิ เมื่อครั้งที่ นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศคนแรกของโลกที่ไปเหยียบดวงจันทร์เดินทางมาเมืองไทย, ดร.คริสเตียน บาร์นาร์ด ศัลยแพทย์ชาวแอฟริกาใต้ ผู้ที่ผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจของมนุษย์สำเร็จเป็นครั้งแรกในโลก ตลอดจนนักแสดงจากต่างประเทศที่เดินทางมาประเทศไทย อย่าง ฌอน คอนเนอรี อดีตพระเอกเจมส์ บอนด์ 007

สาวเก่งที่มีความสามารถด้านภาษาเป็นอาวุธ โลดแล่นอยู่ในวงการโทรทัศน์อยู่หลายปี ก่อนจะตัดสินใจลาออกไปเริ่มต้นชีวิตคู่ในต่างประเทศ หลังจากแต่งงานกับ อนันต์ กฤษนันท์ มหาเศรษฐีที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล มีลูกชายและลูกสาวด้วยกัน 2 คนคือ แพทย์หญิงอานันทินี จักรพันธุ์ กฤษนันท์ และพระอาจารย์สิริปัญญา ภิกขุ

“หลังแต่งงานก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ กระทั่งหย่ากับสามีก็ยังใช้ชีวิตอยู่ที่ลอนดอนจนลูกๆ โต ถึงตัดสินใจเดินทางกลับมาเมืองไทย และทำให้ได้กลับมาทำงานในวงการโทรทัศน์อีกครั้ง ประเดิมรายการแรกคือ รายการพรุ่งนี้ ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11”

ป้าหญิงใหญ่ยอมรับว่า ช่วงแรกที่กลับมาเมืองไทย ยังไม่ได้โฟกัสที่การทำงานเพื่อแก้ปัญหาเด็ก แต่มองในภาพใหญ่ของการแก้ปัญหาสังคมมากกว่า กระทั่ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริว่า น่าจะทำรายการโทรทัศน์เพื่อเด็ก เลยตัดสินใจเข้ามาทำงานถวาย เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นในการทำงานตรงนี้ ประเดิมงานแรกด้วยการรับทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตรายการและผู้ดำเนินรายการ “เพื่อนแก้ว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 จนทำให้เด็กๆ หลายคนเรียกกันติดปากว่า “ป้าหญิงใหญ่”

“ประเด็นแรกที่นำเสนอในรายการคือเรื่องโภชนาการเด็ก ซึ่งสมเด็จพระเทพฯ พระราชทานแนวคิดนี้ไว้ เพราะจากการเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎร พระองค์ท่านทรงทราบถึงปัญหาเรื่องโภชนาการของเด็กในต่างจังหวัดเป็นอย่างดี ที่ระยะหลังหันหลังให้พืชสมุนไพรหันมากินฟาสต์ฟูด ขนมกรุบกรอบ จึงโปรดให้มีรายการโทรทัศน์เพื่อให้ความรู้เด็กๆ ช่วงแรกๆ ที่มาทำรายการ เรายังมีความรู้ด้านเด็กน้อยมาก จนมีโอกาสเข้าร่วมในการสัมมนาหลายๆ ครั้งของทางยูนิเซฟจึงค่อยๆ ซึมซับ และเรียนรู้ว่าเรื่องโภชนาการคือ 1 ใน 9 ของสิทธิที่เด็กพึงมี นั่นคือ การได้รับอาหารอย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและสดชื่น”

“เราทำรายการนี้มา 30 ปี และเพิ่งหยุดทำไปเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งในระหว่างนั้นก็ทำงานเพื่อสังคมไปด้วย อย่าง การก่อตั้งโครงการสายเด็ก 1387 ภายใต้เพื่อนแก้วสมาคม, ก่อตั้งมูลนิธิสายเด็ก 1387 เปิดสายฮอตไลน์ตลอด 24 ชม. เพื่อรับฟังปัญหาและให้คำปรึกษาหาทางออกแก่เด็กและผู้ใหญ่ในทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กและครอบครัว ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กของสหประชาชาติและกฎหมายประเทศไทย รวมทั้งเปิดศูนย์พัฒนาเด็กด้อยโอกาส “เดอะฮับสายเด็ก” เพื่อช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน และด้อยโอกาส”

ม.ร.ว.สุพินดา ยอมรับว่า การทำงานเพื่อเด็กเป็นงานที่ละเอียดอ่อนมาก “ทำงานตรงนี้มาหลายสิบปีถามว่าเหนื่อยไหม ท้อไหม ก็มีบ้าง แต่เมื่อไหร่ที่รู้สึกเหนื่อยแล้ว จะเกิดคำถามในใจเสมอว่า แล้วเด็กๆ ที่อยู่ในความยากลำบากจะทำอย่างไร ทำให้หยุดคิดถึงความเหนื่อยเลย พยายามทำทุกงานแบบไม่คิดมาก ทำให้เต็มที่ในทุกวัน เยียวยาพวกเขา ความสุขของเรา คือ การทำงานที่มีประโยชน์ ได้ช่วยเหลือเด็กๆ แค่นี้ก็กลับบ้านนอนหลับฝันดีทุกวันแล้ว”

ชีวิตในวัยเกษียณกับเส้นทางสายธรรม

นอกจากนี้ ชีวิตในวัยเกษียณของป้าหญิงใหญ่ ยังอบอวลด้วยความสุขและสงบจากการหันหน้าเข้าหาวัด เดินตามสายพระธรรม

“พระลูกชาย เป็นผู้ค้นพบทางพุทธศาสนาแทนพ่อแม่ ที่ผ่านมาเราเป็นชาวพุทธก็จริง แต่เป็นชาวพุทธแต่ชื่อไม่ได้ปฏิบัติจริงจัง กระทั่งพระลูกชาย ด้วยความที่ท่านเรียนจบมัธยมเร็ว เลยมีช่วงเวลาว่าง 1 ปี ที่เรียกว่า Gap Year ตอนอายุ 16 ปี ท่านเดินทางกลับมาเมืองไทย ไปแลกเปลี่ยนภาษาที่วิทยาลัยครูที่นครราชสีมา ปรากฏว่าวันหนึ่งท่านโทร.ไปหาเราที่ลอนดอนบอกว่า ชายไทยทุกคนต้องบวชเรียน พอดีช่วงนั้นใกล้เข้าพรรษา ท่านเลยขอบวชเณร เราก็โอเค ทั้งครอบครัวก็เดินทางกลับมาเมืองไทยเพื่อร่วมพิธี ตอนนั้นท่านบวชเรียนที่วัดป่านานาชาติ ได้ศึกษาธรรมกับอาจารย์ชยสาโร จนเมื่อท่านเรียนจบและทำงานได้ราว 1 ปี ก็ตัดสินใจบวชอีกครั้งและไม่สึกตลอดชีวิต และชักจูงให้โยมแม่เดินตามเส้นทางธรรมด้วย”

ม.ร.ว.สุพินดา บอกเล่าด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า ท่านชักชวนอยู่หลายปีเหมือนกันกว่าเราจะไปปฏิบัติธรรม จนตอนนี้กลายเป็นว่าถ้ามีเวลาเมื่อไหร่ก็จะไปปฏิบัติธรรม

“ชีวิตทุกวันนี้เรามีความสุขกับการได้อยู่ใกล้วัด ใกล้ลูก รู้สึกอิ่มเอมกับงานที่ทำ เราไม่เคยมานั่งคิดว่านี่คือความสุขหรือเปล่า แต่เราแค่รู้สึกดีกับทุกๆ วัน” ม.ร.ว.สุพินดา กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข


กำลังโหลดความคิดเห็น