>>เห็นหน้าใสๆ มาดยียวนของ “จาร์-ปัทม สุจริตกุล” ลูกชายสุดหวงของ “มะปราง-ปัทมวดี เสนาณรงค์” พานให้นึกถึงเจนวายรุ่นใหม่ที่ล้วนมีฝันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่หลังจากได้ทำความรู้จักกับหนุ่มน้อยหน้าใสมากขึ้น ยิ่งสัมผัสได้ถึงอุดมการณ์อันแรงกล้าของเด็กหนุ่มที่มีฝันว่าอยากจะเอาดีในทางกฎหมาย เขาจึงสอบฝ่าด่านหินจนสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สำเร็จ แถมยังสารภาพแบบไม่เขินว่ามี “ฟอร์ด-จารุเดช บุญญสิทธิ์” ลูกชายคนเล็กของ “พล.ต.ต.พชร” กับคุณแม่สุดเปรี้ยว “จ๋า-อมรสิริ” บรรณาธิการบริหารนิตยสารนูเมโร ไทยแลนด์ เป็นไอดอล
“ผมรู้จักพี่เขาตั้งแต่ประถม เพราะเรียนที่โรงเรียนจิตรลดาเหมือนกัน พี่เขาป็อปปูลาร์มาก เรียนดีกีฬาเด่น ถึงผมจะห่างกับพี่ฟอร์ด 4 ปี แต่ก็มีโอกาสได้ขอคำแนะนำจากพี่ฟอร์ดในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการเรียนพี่ฟอร์ดแนะนำให้แบ่งเวลาดีๆ และอย่าเครียดจนเกินไป ไม่อย่างนั้นนอกจากผลลัพธ์ที่ออกมาจะไม่ดีแล้ว กิจกรรมที่ทำก็จะแย่ตามไปด้วย”
ด้วยลุคเด็กรุ่นใหม่บวกกับคาแรกเตอร์ที่เอนเอียงไปทางเด็กเล่นมากกว่าเด็กเรียน ทำให้คนรู้จักส่วนใหญ่ไม่คิดว่าเขาจะเป็นเด็กเรียนคนหนึ่ง
“ไม่เป็นไรครับ เพราะผมเป็นคนแบบนี้ ผมเป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่ยังชอบปาร์ตี้สนุกสนานกับเพื่อนๆ แต่ผมแบ่งเวลาเป็น เรียนก็เรียน เล่นก็เล่น ถึงเวลาว่างก็ไปปาร์ตี้สนุกสนานกับเพื่อนบ้าง แต่ถ้าถึงเวลาสอบก็ต้องอ่านหนังสือ”
สำหรับเส้นทางนักกฎหมายที่เลือกเดิน จาร์เล่าด้วยแววตาที่เปี่ยมความมุ่งมั่นว่า สมัยเด็กเขาฝันอยากเป็นสถาปนิก เพราะชอบวาดรูป ประกอบกับคุณตาซึ่งเป็นอดีตอธิบดีกรมศิลปากรก็ส่งเสริม ทว่า หลังจากขึ้น ม.ต้นได้ชิมลางเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ด่านหินที่สกัดดาวรุ่งในสายวิชาชีพมาแล้วมากมาย ทำให้จาร์ยอมถอดใจจากอาชีพสถาปนิกโดยพลัน
“พอเจอวิทย์กับคณิตผมก็รู้เลยว่าไปกันไม่ได้ ศิลป์ภาษาคือทางของผม พอขึ้น ม.4 ผมได้เรียนกฎหมายเป็นวิชาเสริม ผมเรียนแล้วชอบอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ต้องจำเยอะมากเป็นวิชาที่หลายคนมองว่าเครียด แต่ผมกลับคิดต่างมองว่า กฎหมายคือบรรทัดฐานของสังคม มนุษย์ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบบรรทัดฐานที่สังคมวางไว้ กฎหมายเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตมนุษย์เราตั้งแต่ก่อนเกิดจนหลังตาย ไม่มีใครหนีกฎหมายพ้น โชคดีที่ญาติฝั่งคุณพ่อผมเป็นนักกฎหมาย หลายคนจึงช่วยให้คำปรึกษาและแนะนำผมได้มาก”
เมื่อเป้าหมายชัด แพสชั่นอันแรงกล้า ได้พาจาร์มาถึงบันไดขั้นแรกแห่งฝัน ประสบการณ์ในรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งเปรียบเสมือนโลกใบใหม่ คือโลกที่น่าค้นหาของนักศึกษาหนุ่ม
“เรียนมาได้ครึ่งเทอมแล้วครับ สิ่งที่ผมคาดหวังคือเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์สอน (หัวเราะ) เพราะ อาจารย์แต่ละคนมีวิธีการสอนต่างกัน ผมเชื่อว่าอาจารย์แต่ละท่านอธิบายดีนะครับ แต่อยู่ที่ว่าแบบไหนจะคลิกกับเรา บางครั้งถ้าไม่เข้าใจผมก็ไปเข้าคอร์สสัมมนากฎหมาย หรือไม่ก็ไปหาหนังสือกฎหมายมาอ่านเสริม ถ้าขยันจะไปฟังอาจารย์คลาสอื่นก็ได้ แต่พอดีผมเป็นคนปกติไม่ได้ขยันครับ (หัวเราะ)”
นอกจากจะทุ่มเทให้กับการเรียน อีกหนึ่งกิจกรรมวันว่างที่จาร์หลงใหลมาตลอดคือ การร้องเพลง
“สมัยเด็กผมเรียนพิเศษเยอะมากครับ ตั้งแต่เปียโน เทควันโด วาดรูป ระบายสี ว่ายน้ำ กอล์ฟ แต่ไม่ใช่ทางเราซะอย่าง ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ ที่ให้ผมทดลองเรียนอะไรหลายอย่าง เพราะถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ในที่สุดผมก็ค้นพบว่าการร้องเพลงคือสิ่งที่ผมชอบและเรียนต่อเนื่องมาตลอด ทั้งที่จริงๆ แล้วที่บ้านผมก็ไม่มีใครมาสายดนตรีสักคน แต่ผมกลับมองว่าเป็นกิจกรรมที่ทำแล้วเพลินดี”
ฟังจาร์เล่าแบบผิวเผินอาจเหมือนเด็กหนุ่มที่ชอบร้องเพลงตามกระแส แต่พอยิ่งคุยถึงได้รู้ว่า งานอดิเรกนี้ไม่ได้ทำกันเล่นๆ เคยขึ้นเวทีโชว์เสียงร้องออกงานมาแล้ว
“ผมเป็นนักร้องของโรงเรียน มีโอกาสขึ้นไปร้องในงานโรงเรียนบ่อยๆ จนตอนนี้เข้ามหาวิทยาลัย ผมไปออดิชันเป็นน้องร้องของชุมนุมโฟล์กซองแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TU Folksong) ความแตกต่างของ TU Folksong กับ TU Band คือ ขนาดของวง TU Folksong จะเล็กกว่า มีเครื่องดนตรีแค่ไม่กี่ชิ้น เน้นชิลๆ มากกว่า”
สำหรับแนวเพลงที่จายกให้เป็นสไตล์โปรด เขาออกตัวก่อนว่าชอบฟังหลายแนว แต่ไม่ได้ลึกซึ้ง เพราะที่ชอบเป็นพิเศษจริงๆ คือ เพลงร็อกของไทยยุค 90’s อย่างวงซิลลี่ ฟูลส์ (Silly Fools) แคลช (Clash) และโปเตโต้ (Potato)
“หลังๆ มานี้ผมเริ่มหันมาฟังแจ๊ส, บรอดเวย์ ละครเวทีมากขึ้น ส่วนตัวผมร้องได้ทุกแนวนะ ไม่ได้จำกัดกรอบตัวเอง ร้องเพลงที่ชอบ แต่ไม่ได้เพราะทุกแนว (ยิ้ม) แนวที่ร้องได้ดีที่สุด คิดว่าน่าจะเป็นแจ๊ส เพราะด้วยเนื้อเสียงผม เวลาร้องร็อกแล้วขึ้นเสียงสูงมากไม่ค่อยถึง ขณะที่เพลงแจ๊สจะใช้เสียงกลางกับต่ำ เข้ากับเนื้อเสียงของผมมากกว่า ตอนนี้ผมก็เริ่มหันมาร้องเพลงพระราชนิพนธ์ และสุนทราภรณ์ด้วย”
อินกับการร้องเพลงจนสัมผัสได้ขนาดนี้ ถึงวันนี้จาจะไม่ยอมโชว์ให้ฟังสักเพลง ต้องแอบไปส่องเอาจากอินสตาแกรมคุณแม่มะปรางที่มักเอาคลิปร้องเพลงของลูกชายมาโชว์ แต่หนุ่มหน้าใสกลับมีวีรกรรมเด็ดในการร้องเพลงที่ลืมไม่ลงมาถ่ายทอดอย่างออกรสแทน
“ทุกครั้งที่ขึ้นเวที ผมก็ยังตื่นเต้น แม้จะมีเทคนิคแก้เขิน ด้วยการคิดว่าร้องเพลงอยู่คนเดียวบ้าง หรือไม่ก็ไม่สบตาคนดูตรงๆ จะมองแค่ที่ผมพอ ก็พอจะช่วยได้บ้าง แต่เวลาต้องร้องต่อหน้าผู้ใหญ่เยอะๆ ก็ยังกังวล มีครั้งหนึ่งผมไปร้องเพลงในงานงานหนึ่งที่เอ็มควอเทียร์ ก่อนขึ้นเวทีผมก็กังวลกับไมค์ที่ติดบ้างไม่ติดบ้าง บวกกับความประหม่า คราวนี้ยิ่งแย่ ร้องไปครึ่งเพลง ปรากฏว่าผมหลุดลืมขึ้นไปท่อนหนึ่ง ทุกคนบนเวทีเริ่มมองหน้ากัน แต่สุดท้ายผมก็ประคองร้องจนจบเพลง โชคไม่ดีที่งานนั้นผมต้องร้อง 2 เพลง พอขึ้นไปร้องอีกเพลง คราวนี้หนักกว่าเดิม ทีมงานลืมเปิดไมค์ให้ผม ผมอายมาก จำได้ว่า ร้องเสร็จผมลงจากเวทีแล้วรีบกลับบ้านเลย พร้อมบอกให้ตัวเองพยายามลืมสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วผ่านมันไปให้ได้”
ถึงจะชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ แต่จาไม่ได้ฝันไกลถึงขั้นอยากจะเปลี่ยนงานอดิเรกนี้ให้เป็นอาชีพ ไม่ได้คิดว่าวันหนึ่งต้องมีซิงเกิลเป็นของตัวเอง “ผมอยากแยกการร้องเพลงไว้คนละลิ้นชักกับอาชีพที่ผมอยากทำ ไม่เช่นนั้นผมคงแบ่งเวลาไม่ได้ เพราะถ้าจะเอาดีทางร้องเพลงคงต้องจริงจังกว่านี้ ทุกวันนี้ผมพอใจกับจุดที่ยืน เวลาร้องเพลงแล้วมีคนฟัง ชอบและอินกับเพลงที่เราร้อง ผมก็พอแล้ว ผมร้องเพลงเพราะผมชอบ ไม่ได้ร้องเพราะหวังจะเป็นนักร้องดัง มีชื่อเสียง”
แต่สำหรับสายงานในด้านกฎหมาย จาย้ำหนักแน่นว่าเป็นเส้นทางที่จริงจัง หลายครั้งที่เจอคำถามว่า อนาคตจะทำอาชีพอะไร เขาได้แต่ตอบไปอย่างถ่อมตัว “ผมบอกทุกคนว่ายังไม่กล้าเลือกเยอะ เพราะว่าเพิ่งปี 1 ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้จักศาสตร์นี้ดีพอหรือยังที่จะตัดสินว่าจะไปทางไหน ตอนนี้ยังเหมือนอยู่ในช่วงเก็บข้อมูล”
งานนี้เพื่อพิสูจน์ความจริงจังและตั้งใจของจา เลยยกเอาผลการเรียนระดับเกียรตินิยมอันดับ 1 ของไอดอลฟอร์ดมาเป็นตัวตั้ง หนุ่มมาดกวนตอบอย่างติดตลกว่า “ผมก็หวังว่าจะเป็นแบบพี่เขา แต่สุดท้ายได้เท่าไหร่อีกเรื่อง ตอนนี้ผมยังไม่ได้สอบ เพราะคณะนิติฯ มีสอบชี้ชะตาครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีเก็บคะแนนล่วงหน้า จะได้เท่าไรอยู่ที่วันสอบวันนั้นวันเดียวเลยครับ (หัวเราะ)”
ถึงจะดูเป็นเด็กหนุ่มอารมณ์ดี แต่ตารางชีวิตของจาทุกวันนี้ ต่อให้ไม่ใช่เด็กเนิร์ดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็เข้าใกล้ทุกที ทุกวันเขาต้องอ่านหนังสือกฎหมายวันละ 100 หน้าขึ้นไป “สำหรับเด็กนิติฯ ถือว่าจิ๊บจ๊อยนะครับ บางคนอ่าน 200-300 หน้าต่อวัน แต่ละเล่มต้องอ่านซ้ำอย่างน้อย 2-3 รอบ ผมก็พยายามไม่กดดัน อ่านไปเรื่อยๆ ผมยังใช้ชีวิตตามประสาวัยรุ่น
แต่ก่อนมีออกกำลังกายเข้าฟิตเนส เพราะด้วยความที่เป็นคนรูปร่างเล็กจึงอยากฟิตกล้ามให้แต่งตัวแล้วดูดี แต่ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยก็เริ่มหย่อนยานไปบ้าง โชคดีที่ตอนนี้ยังวัยรุ่น เรื่องอาหารการกินผมไม่ต้องห่วง กินเต็มที่ ใช้ประโยชน์ของวัยนี้ให้คุ้ม” หนุ่มหล่ออนาคตไกลทิ้งท้ายอย่างอารมณ์ดี