>>นอกจาก “มีมี่-แม้นวาด นาครทรรพ” จะเป็นลูกไม้ใต้ต้นที่ถอดแบบดีเอ็นเอของคุณแม่ “พีรยา บุนนาค” มาได้แบบสำเนาถูกต้อง โดยเฉพาะ เรื่องความสวยความงาม และการแต่งตัวที่เป๊ะได้ดั่งใจคุณแม่แล้ว จากนี้คงได้เห็นมีมี่และคุณแม่คนสวยตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋กว่าที่เคย เพราะหลังจากเรียนจบมาหมาดๆ คุณแม่ก็เตรียมถ่ายทอดวิชา และความหลงใหลในสไตล์โพรวองซ์ให้ลูกสาวแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ด้วยการกรุยทางให้เข้ามาหาประสบการณ์การทำงานที่ “โพรวองซาล” (Provencal) ร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านสไตล์โพรวองซ์แท้ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสุขุมวิท 39
เมื่อก้าวเข้าไปในร้านโพรวองซาล แว่บแรกก็ประทับใจในบรรยากาศที่อบอุ่นเหมือนบ้าน ทุกพื้นที่ล้วนถูกเติมเต็มด้วยกองทัพเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้านที่อิมพอร์ตมาจากทางใต้ของฝรั่งเศส มองไปทางไหนก็ดูน่ารัก น่าสนใจไปหมด
ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศรอบตัว ว่าที่ผู้บริหารสาวสวยก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดสีแดงสดใส ก่อนจะหามุมเก๋ๆ ให้อัปเดตเรื่องราวชีวิตในวันที่กำลังก้าวสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัวของเธอ
“มีมี่เพิ่งเรียนจบเลยค่ะ กำลังรอรับปริญญา” บัณฑิตสาวเปิดฉากเล่าถึงความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนขยายความต่อว่า “มีมี่เรียนจบจากคณะศิลปศาสตร์ (ภาคภาษาอังกฤษ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เลือกเรียนคณะนี้เพราะนอกจากจะได้โฟกัสเรื่องภาษาแล้ว ยังได้เรียนครอบคลุมถึงเรื่องการเมือง ระบบเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของสหรัฐฯ และอังกฤษอีกด้วย ซึ่งตรงกับความสนใจของเราพอดี ที่สำคัญมีมี่ว่าการได้เรียนหลายๆ ศาสตร์ในเวลาเดียวกันแบบนี้ ทำให้การเรียนเป็นเรื่องสนุกไม่น่าเบื่อ”
สาวน้อยวัยใสยอมรับว่า กว่าจะมาลงตัวที่คณะนี้ก็ไม่ง่ายเลย เพราะด้วยความที่สมัยเด็กเธอมาสายอาร์ต ชอบวาดรูป เลยวาดฝันไว้ว่าอยากเป็นนักวาดภาพประกอบ แต่พอโตขึ้นความฝันนี้ค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา เพราะเธอเริ่มมองโลกตามความเป็นจริง และพบว่าบางครั้งสิ่งที่ชอบก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นสิ่งที่สามารถอยู่ด้วยตลอดเวลา
“พอโตขึ้นมีมี่มีโอกาสติดตามคุณแม่ไปต่างประเทศ เห็นคุณแม่ทำธุรกิจก็เริ่มซึมซับมาเรื่อยๆ จนเริ่มวาดอนาคตตัวเองว่าคงเดินตามรอยคุณแม่เอาดีในสายธุรกิจ”
แม้ภาพอนาคตในใจตอนนั้นจะยังไม่ชัดเจน แต่วันนี้ภาพที่เคยฝันไว้ในหัวกลับเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ “มีมี่เรียนจบตอนเดือนพฤษภาคม ตอนแรกตั้งใจขอคุณแม่พักสักพักหนึ่ง เพราะช่วงที่เรียนก็เรียนหนักมาก เคยถึงขั้นอ่านหนังสือสอบหนักจนต้องหามเข้าโรงพยาบาลมาแล้วก็เคย (หัวเราะ) จนล่าสุดเพิ่งไปทริปฝรั่งเศส-อิตาลีกับคุณแม่มา 2 อาทิตย์ ตั้งใจว่าจะไปเที่ยว แต่คุณแม่ดันให้ลุยงานจริงเลย ประเดิมด้วยการตามคุณแม่ไปช่วยเลือกซื้อของเข้าร้าน เหนื่อยมากค่ะ เพราะปกติเวลาไปทริปกับคุณแม่ มีมี่จะไม่ได้ตามคุณแม่ไปซื้อของ มีมี่จะไปเที่ยวเล่นตามประสา(ยิ้ม) บางครั้งเห็นคุณแม่กลับมาหมดแรง ก็ยังสงสัยว่าทำไมคุณแม่ถึงดูเหนื่อยขนาดนั้น แต่ครั้งนี้พอไปเองรู้รสชาติเลยค่ะ ไปตั้งแต่เช้าจดเย็นกลับมาคือหมดแรงจริงๆ” สาวสวยที่เพิ่งเริ่มต้นก้าวแรกในการทำงาน เล่าอย่างออกรส ก่อนจะเผยถึงรสชาติใหม่ของการเดินทางที่ไม่เคยสัมผัส
“ปกติเวลาเดินทาง เราจะได้ซึมซับเรื่องวัฒนธรรมเป็นหลัก แต่ครั้งนี้ได้เปิดมุมมองใหม่ๆ อย่างไปเดินดูของกับคุณแม่ ก็ได้สังเกตการจัดวางสินค้า ออกแบบร้าน บางร้านของสวยของดี แต่จัดร้านไม่ดึงดูด ลูกค้าก็ไม่เข้า ที่สำคัญยังได้เห็นคุณแม่ในอีกมุมที่ไม่เคยเห็น ตอนตามคุณแม่ไปซื้อของ คุณแม่ก็จะสอนว่าเราเลือกของชิ้นที่ชอบก็จริง แต่บางครั้งจะเอาความชอบของเราเป็นที่ตั้งอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะของที่ซื้อมาต้องขายได้ด้วย และที่สำคัญของที่ซื้อมาต้องเข้ากับคอนเซ็ปต์ร้านเรา” มีมี่เล่าถึงเคล็ดวิชาที่ได้เรียนรู้จากคุณแม่ ก่อนจะเปรียบเทียบอย่างอารมณ์ดีว่า “ถ้าให้เทียบระหว่างเวลาคุณแม่ไปซื้อของเข้าร้านกับไปชอปปิง มีมี่ว่าเวลาไปซื้อของเข้าร้านคุณแม่จะตัดสินใจซื้อไวกว่า ชอบปุ๊บซื้อปั๊บ แต่เวลาชอปปิงอาจจะมีลังเลบ้าง”
หลังจากผ่านทริปเที่ยวบวกทำงานมาหมาดๆ มีมี่ยอมรับว่า ตอนแรกเธอยังไม่ได้หมายมั่นว่าจะเข้ามาช่วยสานต่อธุรกิจครอบครัวเร็วขนาดนี้ เพราะอยากลองหาประสบการณ์การทำงานนอกบ้านก่อน แต่เพราะคุณแม่บ่นว่าเหนื่อย เลยตัดสินใจเข้ามาเรียนรู้งาน และถือโอกาสค้นหาตัวเองก่อนจะตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทในปีหน้า
“ถ้าเรียนจบแล้วต่อโทเลย มีมี่ว่าเราอาจยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ เลยอยากลองทำงานสักหนึ่งปีเพื่อค้นหาตัวเอง ระหว่างนี้มีมี่คงช่วยงานคุณแม่บริหารร้านนี้เป็นหลัก ซึ่งงานของมีมี่เริ่มตั้งแต่ตอนไปช่วยคุณแม่ออเดอร์ของ หน้าที่ของมีมี่คือเป็นตากล้องถ่ายภาพของที่คุณแม่ออเดอร์กลับมา เพื่อมาทำสต๊อก ตอนที่ไปจังหวะดีมาก เพราะมีมี่เพิ่งซื้อกล้องไลก้าที่อยากได้มานาน หลังจากเก็บเงินได้ครบพอดี พอซื้อมาปุ๊บคุณแม่เลยถือโอกาสใช้ให้ตามถ่ายภาพของที่ออเดอร์ไป ถามว่าซื้อกลับมาเยอะแค่ไหน เอาเป็นว่าถ่ายรูปกลับมาจนเมมโมรีเต็มเลย” มีมี่เล่าไปขำไป
อย่างไรก็ตาม นอกจากตอนนี้มีมี่จะมุ่งมั่นกับการเรียนรู้งานที่บ้าน เพื่อให้สมกับเป็นเด็กยุคเจนฯ วายที่ส่วนใหญ่ล้วนมีฝันอยากลองเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง มีมี่ไม่ปฏิเสธว่าเธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น และตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างปลุกปั้นแบรนด์ครีมบำรุงผิว ซึ่งเธอและเพื่อนตั้งชื่อเก๋ๆ ว่า “Mood” ซึ่งคาดว่าจะวางขายได้ปีหน้า”
หลังจากแบ่งเวลาให้กับการทำงานทั้งงานราษฎร์และงานหลวงแล้ว ตามสไตล์ผู้หญิงยุคใหม่ที่ไม่ยอมหยุดสวย มีมี่จึงให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองไม่แพ้กัน ว่างเมื่อไหร่ ต้องดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกาย เธอเลือกเล่นโยคะ และพิราทิส เพราะไม่ชอบเข้ายิม ส่วนงานอดิเรกวันว่างที่ชอบ เธอยกให้การอ่านหนังสือ โดยเฉพาะ วรรณกรรมต่างๆ ซึ่งเธอคลั่งไคล้มากถึงขั้นเคยคิดจะเรียนต่อปริญญาโทด้านนี้เลย
“มีมี่ชอบอ่านวรรณกรรม ตั้งแต่สมัยเรียนอาจารย์จะมีลิสต์ให้อ่านอยู่แล้ว แต่บางครั้งเราก็ไปหาซื้อมาอ่านเองเพิ่มเติม ส่วนตัวมีมี่ยังชอบอ่านวรรณกรรมที่เป็นหนังสือ เพราะรู้สึกว่าจับต้องได้ เวลาชอบประโยคไหนก็ยังหยิบปากกาขึ้นมาขีดไว้ได้ ซึ่งเป็นเสน่ห์แบบที่ e-bookให้ไม่ได้ อีกเหตุผลคือ มีมี่รู้สึกว่าแต่ละวันเราอยู่กับสมาร์ทโฟนตลอดอยู่แล้ว บางครั้งก็อยากจะห่างๆ บ้าง” มีมี่บอกเล่าเสียงแจ๋ว
อย่างไรก็ตาม ถึงจะออกตัวว่าชอบอ่านวรรณกรรม แต่มีมี่ไม่กลัวว่าจะทำให้ตัวเองกลายเป็นสาวช่างฝัน ติดอยู่ในโลกของจินตนาการ เพราะหนังสือที่เธอเลือกส่วนใหญ่ล้วนแฝงไปด้วยแง่คิดที่เอามาปรับใช้ในชีวิตได้อย่างดี ส่วนเรื่องความรัก มีมี่ตอบแบบไม่กั๊กว่า “คุณแม่หวงไม่ยอมให้มีแฟนเลยค่ะ พอช่วงไหนเริ่มมีคนเข้ามาคุย คุณแม่ก็จะเริ่มโทรศัพท์เช็กแล้วว่าอยู่ไหน กลับบ้านหรือยัง” มีมี่เล่าไปเขินไปก่อนตัดพ้อเล็กๆ ว่า “ตอนนี้อายุ 23 ปีแล้วยังไม่เคยมีแฟนเลยค่ะ จนบางครั้งคุณแม่เองก็ยังแอบกลัวว่าลูกสาวจะขึ้นคาน (หัวเราะ) แต่มีมี่ว่า อาจเพราะเรายังไม่เจอคนที่ใช่มากกว่า ส่วนตัวมีมี่ไม่มีสเปกว่าชอบผู้ชายแบบไหน แต่ถ้าเลือกได้ก็ชอบคนที่เป็นผู้ใหญ่ และถ้าชอบแต่งตัวก็จะดี เพราะมีมี่ชอบแต่งตัว จะได้ดูเข้ากัน”
งานนี้ ไหนๆ ก็วกเข้าเรื่องความชอบแต่งตัวแล้ว เลยถือโอกาสให้มีมี่นิยามถึงสไตล์การแต่งตัวของตัวเอง “มีมี่ได้รับอิทธิพลจากคุณแม่เยอะค่ะ บางครั้งไปชอปปิงด้วยกัน คุณแม่ก็จะช่วยเลือก หรือถ้ามีมี่ไม่ไปแม่ก็จะซื้อมาให้ สมัยก่อนเพื่อนชอบหาว่ามีมี่แต่งตัวเยอะ เดี๋ยวนี้เลยเพลาๆ ลงบ้าง (หัวเราะ) เพราะแต่ก่อนจัดเต็มมาก ถือคติเหลือดีกว่าขาด ทั้งชุดและแอกเซสซอรีมาครบ ที่เบาที่สุดคือ รองเท้า เพราะจัดหนักมาทั้งชุดจนเหนื่อยแล้ว รองเท้าส่วนใหญ่ของมีมี่จะเป็นรองเท้าผ้าใบ” มีมี่บอกเล่าอย่างออกรสทิ้งท้าย