>>ยุคดิจิทัลแบบนี้ ใครไม่มีโซเชียลมีเดียเป็นอาวุธคู่ใจ เหมือนขาดผู้ช่วยมือดีอยู่ข้างกาย เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ กันต์ รตนาภรณ์ คนหนุ่มรุ่นใหม่จะเลือกใช้โซเชียลมีเดียอย่างอินสตราแกรม (ไอจี) เป็นหนึ่งในอาวุธลับสำคัญที่ช่วยสะท้อนตัวตนของเขาไปยังฟอลโลว์เวอร์หลักแสนที่ติดตามเขาอยู่
“ผมเล่นไอจีเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ตั้งแต่เริ่มฮิตใหม่ๆ โพสต์ทุกอย่างแบบเรียลมากๆ ว่าอยู่ที่ไหน ทำอะไร จนวันหนึ่งผมเริ่มมองว่าโซเชียลมีเดียเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สามารถบ่งบอกความเป็นตัวเราให้คนอื่นได้รู้จักในแบบที่เราให้อยากรู้ เป็นตัวแทนในการถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ของเราออกไปได้ ผมเลยเริ่มกลับมาทบทวนและใช้โซเชียลมีเดียอย่างเท่าทันมากขึ้น”
ในฐานะคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุค 4.0 กันต์มั่นใจว่า เขายังอยู่ในจุดที่พอดี ไม่ได้เสพติดการใช้โซเชียลมีเดียลจนเกินไป
“ผมไม่ติดนะครับ แต่ใช้อย่างเท่าทัน ชีวิตคนเราทุกวันนี้ขับเคลื่อนไปเร็วมาก ผมมองว่าโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะไอจีเป็นเครื่องมือที่ทำให้ผู้ที่ติดตามผมได้รู้จักตัวตนของผมมากขึ้น และยังสามารถช่วยต่อยอดธุรกิจ ช่วยกระจายข่าวให้คนอื่นได้รู้ เหมือนทุกคนมีช่องทางการโฆษณาของตัวเอง สามารถแจ้งหรือบอกข่าวให้คนอื่นรู้ได้ทันที ซึ่งผมมองว่ามีประโยชน์มากหากใช้ให้ถูกทาง เพราะโซเชียลมีเดียมีทั้งข้อดีและข้อเสีย บางครั้งการโพสต์อะไรที่เรียลเกินไปก็อาจเป็นภัยย้อนกลับมาหาตัวได้”
เซเลบริตี้หนุ่มมาดเท่ ยอมรับว่าระยะหลังมานี้เขาใช้ไอจีมากกว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่นๆ เพราะเป็นเครื่องมือที่สะท้อนตัวตนของเขาออกมาได้ดีที่สุดว่าช่วงนี้เขากำลังทำอะไร สนใจอะไร ในขณะที่เฟซบุ๊คเขาเลือกใช้เป็นเหมือนไดอารี่ส่วนตัวที่มีเพื่อนและครอบครัวอยู่ในเครือข่ายเท่านั้น
“ตอนนี้ผมเพิ่งเปิดร้านอาหารใหม่เป็นแบบเชฟเทเบิ้ล อินสตราแกรมของผมช่วงนี้ก็อาจจะหนักไปทางอาหาร เพราะเป็นธุรกิจใหม่ที่ผมกำลังสนใจ เหมือนเป็นลูกคนใหม่ของผม”
สำหรับหนึ่งในกฎเหล็กของการเล่นไอจีตามสไตล์หนุ่มกันต์เพื่อป้องกันไม่ให้เจอกระแสลบ คือไม่โพสต์ข้อความที่เป็นการแสดงความคิดเห็น หรือ ความรู้สึกส่วนตัวลงไป
“ผมจะไม่แชร์เรื่องของคนอื่น หรือกระทบกับคนอื่น เพราะ ผมคิดว่าทุกคนมีความคิดของตัวเอง มุมมองของเราอาจไม่ถูกต้องเสมอไป โซเชียลมีเดียเป็นโลกที่ค่อนข้างเซ็นต์ซิทีฟ สิ่งที่โพสต์ลงไปบนโลกออนไลน์แล้ว ไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ ต่อให้ลบภายใน 1 หรือ 5 นาที ก็อาจจะมีคนแคปเจอร์หน้าจอนั้นไปแล้วก็ได้ ผมเลือกที่จะป้องกันมากกว่าแก้ไข ก่อนจะโพสต์แต่ละครั้ง ผมจะคิดแล้วคิดอีก ผมรู้ว่าวัตถุประสงค์ในการโพสต์แต่ละภาพของผมคืออะไร ผมอยากให้คนที่ติดตามผมเห็นแต่เรื่องดีๆ พูดง่ายๆคือ งดดราม่า ไอจีผมไม่ได้ต้องการปั่นยอดไลค์ แต่เป็นการรวมคนที่มีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกัน
อาจเพราะด้วยจุดยืนที่ชัดเจนนี้เอง ทำให้กันต์กลายเป็นหนุ่มฮอตไม่น้อยบนโลกออนไลน์ มียอดฟอลโลเวอร์แตะหลักแสน คนที่มาคอมเมนต์ลบๆบั่นทอนกำลังใจไม่ค่อยมี เพราะทุกอย่างที่โพสต์ในไอจีเกิดจากสิ่งที่รักเป็นทุนเดิม ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์การเดินทาง กินอาหารหรือแต่งตัว เขาเพียงนำสิ่งที่พบเจอมาแบ่งปัน ไม่ได้จำเป็นต้องทำเพื่อหาเรื่องราวมาโพสต์
“ในไอจีผมแต่ก่อนจะมีแฮชแทค gunratainuk, gunratainshanghai หลังๆเริ่มแบ่งเป็นประเภทชัดขึ้น เช่น gunratalovefood, gunratatravel ฯลฯ เพื่อให้ง่ายสำหรับผู้ที่ติดตามผม จริงๆแฮชแทคพวกนี้เริ่มต้นจากตัวผมเองเป็นคนชอบเดินทาง เวลาเพื่อนๆจะเดินทางไปประเทศเลยชอบมาถามว่าตอนไปประเทศนั้นประเทศนี้ ผมไปเที่ยวที่ไหน กินอะไร เลยทำให้ผมเกิดไอเดียว่าน่าจะตั้งแฮชแทคเพื่อเป็นฐานข้อมูลเก็บไว้ทั้งสำหรับเพื่อนๆ คนที่ติดตามผม รวมถึงตัวผมเอง เพราะบางครั้งจะแนะนำร้านให้เพื่อนแต่ผ่านไป 2 ปีแล้วก็นึกไม่ออก” กันต์บอกเล่าอย่างอารมณ์ดี
กันต์ยังสะท้อนมุมมองถึงโซเชียลมีเดียในปัจจุบันว่าค่อนข้างแบ่งกลุ่มคนในสังคมชัดเจนว่ามีความชอบหรือความสนใจในสิ่งไหน “สมัยนี้มีคำว่า “อินฟลูเอ็นเซอร์” ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนดัง แต่เป็นคนที่มีสไตล์เป็นของตัวเองแล้วมีคนมาชื่นชอบเพราะมีไลฟ์สไตล์คล้ายๆกัน”
อย่างไรก็ตาม หนุ่มกันต์ทิ้งท้ายอย่างน่าคิดว่า เขาเองเป็นคนหนึ่งที่ติดใจกับความสงบของการได้ใช้ชีวิตในโลกที่ไม่ต้องมีโซเชียลมีเดีย แต่ด้วยอาชีพการงานที่มีโซเชียลมีเดียเป็นหนึ่งในผู้ช่วยคนสำคัญทำให้ปฏิเสธไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอคือ ใช้อย่างมีสติ
“ผมเคยไม่แตะโทรศัพท์เลยนานถึง 3 สัปดาห์ ช่วงที่ผมบวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเมื่อปีที่แล้ว ผมชอบนะ ชีวิตที่ไม่มีโซเชียล เป็นชีวิตที่สงบดี สัมผัสได้ถึงชีวิตที่ปราศจากกิเลส ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง บอกตัวเองว่าต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ บางครั้งเราอยู่กับโลกโซเชียลทุกวัน จนถูกกลืนเข้าไป ลืมมองไปว่าตัวตนที่แท้จริงของเราคืออะไร
แต่ด้วยหน้าที่การงาน ธุรกิจ เราอาจทิ้งตรงนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องมีสติ ทุกวันนี้ ผมจะชาร์จโทรศัพท์ไว้นอกห้องนอน เมื่อไหร่ที่ชาร์จแบตหมายความว่าวันนี้ผมพาตัวเองออกจากสังคมออนไลน์แล้ว ช่วงที่ทำแบบนี้แรกๆ ก็มีกังวลนะ ว่าใครจะติดต่อเราหรือเปล่า แต่ทำไปเรื่อยๆก็ชิน เพราะผมมองว่า สุดท้ายแล้วการพักผ่อนก็สำคัญที่จะทำให้ผมมีพลังทำสิ่งอื่นๆต่อไปได้”