>>สวยสาวหน้าคม หุ้นส่วนธุรกิจโรงแรมรอยัล คลิฟ พัทยา ถ้าเป็นผู้ติดตามข่าวในแวดวงสังคมคงคุ้นกับใบหน้าคมคายและบุคลิกคล่องแคล่วของ “แก้ว-ศรีสกุล ฟูตระกูล” เป็นอย่างดี ซึ่งวันนี้นอกจากจะนั่งคุยถึงเรื่องธุรกิจที่เธอเข้ามาปลุกปั้นด้วยตัวเองแล้ว เรายังได้นั่งพูดคุยกันถึงสไตล์การแต่งตัวของเวิร์กกิงวูแมนคนนี้ที่บอกเลยว่าทั้งเก่งและสวย!
หลังจากทุ่มเทการทำงานให้กับธุรกิจของครอบครัวมานานกว่า 15 ปี สุดยอดคุณแม่ขอเบนเข็มมาทำงานที่ตัวเองรัก เริ่มจากสรรหาของดีมีคุณภาพให้ 2 ลูกรัก “มะพร้าว กับ กะทิ” นำไปสู่การทำธุรกิจบริษัท ลิตเติล อาร์ติสต์ (Little Artist) นำเข้าของเล่นและสื่อการเรียนรู้ที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการและจินตนาการแบบไร้สารพิษ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพจากต่างประเทศ มาให้คุณพ่อคุณแม่รุ่นใหม่ได้ “เรียน-เล่น-รู้-เติบโต” ไปพร้อมกับลูกๆ ตอบรับเทรนด์เลี้ยงลูกยุคใหม่ด้วยแนวคิด “Creative Parenting Attitude” ซึ่งปัจจุบันมีแบรนด์ระดับโลกที่วางใจให้เธอเป็นผู้จัดจําหน่ายอย่างเป็นทางการถึง 9 แบรนด์ และนี่คือความสําเร็จที่มีจุดเริ่มต้นจากแรงบันดาลใจ และกลายเป็นแพชชั่นให้เธอเกิดความมุ่งมั่นสร้าง Little Artist จนแข็งแรงในตลาดสินค้าสําหรับเด็ก
“จุดเปลี่ยนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว วันหนึ่งเห็นลูกนั่งระบายสี จึงลองคิดเล่นๆ ว่าเราอยากทำอะไรที่ใกล้ตัว ที่สามารถเลี้ยงลูกไปด้วย ทำงานไปด้วย จึงลองติดต่อบริษัทที่อเมริกาที่เขาผลิตพวกอุปกรณ์สำหรับเด็กแต่เป็น non-toxic เข้ามาขาย จากนั้นก็เบนเข็มมาจับธุรกิจใหม่ที่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ด้วยการบุกเบิกนําเข้าสินค้าสําหรับเด็กทั้งของเล่นและสื่อการเรียนรู้ ที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการและจินตนาการแบบปลอดสารพิษ ในนาม 'บริษัท Little Artist จํากัด' และเรายังเป็นซัพพลายเออร์อุปกรณ์การเรียนการสอนที่ใช้ในโรงเรียนอินเตอร์ต่างๆ ในเมืองไทยด้วย เช่น แบรนด์ชั้นนำของประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา อย่าง Learning Resourcesและ Lakehsore เป็นต้น
ทุกผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าเราจะลองใช้เองก่อนนำเข้ามาขาย ซึ่งแน่ใจว่าดี มีประโยชน์ และปลอดภัย อย่างเช่น ดินสอสี ดินปั้น กระติกน้ำ เป็นโปรดักต์ไฮเอนด์ที่มีความปลอดภัยจากเรื่องสารพิษแน่นอนค่ะ”
และนอกจากการได้แบรนด์สินค้าที่ดีมาแล้ว เธอยังแตกไลน์ในฟีลเดิมด้วยการทำอุปกรณ์เครื่องเขียนที่วางจำหน่ายใน 7-11 และเมื่อเร็วๆ นี้คุณแก้วได้ลิขสิทธิ์นำเข้า Boogie Board กระดานเขียน LED ซึ่งยอดขายไปได้ดีเกินความคาดหมายอีกด้วย
“เราทำทั้งนำเข้าอุปกรณ์ เป็นซัพพลายเออร์ให้โรงเรียน และผลิตเครื่องเขียนส่งขายตาม 7-11 ด้วย การเข้ามาคลุกคลีอยู่ในธุรกิจนี้ ผลตอบรับที่ผ่านมาคิดว่าเป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ต้องค่อยๆ ศึกษาข้อมูลและทำไปเรื่อยๆ จากการที่เราไปดูงานเทรดแฟร์ หรือได้รับข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการการเลี้ยงลูกต่างๆ ทำให้เราเข้าใจว่าสิ่งที่เด็กต้องการคืออะไร สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ตามหาคืออะไร เพื่อที่เราจะได้เลือกสินค้ามาให้เหมาะกับความต้องการ”
แม้ว่าการทำงานจะต้องเกี่ยวกับการเลือกซื้อ เพราะต้องนำสิ่งที่ดีมาให้กับลูกค้า แต่ในเรื่องนิสัยการชอปปิงส่วนตัวแล้วนั้น คุณแก้วบอกว่าเป็นคนไม่ค่อยเดินชอปปิงเรื่อยเปื่อย ไม่ค่อยไปเดินห้างสรรพสินค้า แต่เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าขาดของชิ้นไหน ก็จะตรงเข้าไปหาของชิ้นที่ต้องการโดยเฉพาะ
“ชอปปิงไม่บ่อย แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าของที่มีเริ่มเก่าแล้ว หรือว่าต้องการของชิ้นไหนก็จะเดินไปมุ่งตรงหาของสิ่งนั้น จะไม่มีการดูของอย่างอื่น หรือเวลาไปต่างประเทศก็จะซื้อเฉพาะแบรนด์ เราจะโฟกัสสิ่งที่อยากได้ และถ้าเมื่อไหร่ไปชอปปิงจะต้องได้ของติดไม้ติดมือกลับมาและเร็วมาก เพราะรู้อยู่แล้วว่าชิ้นนี้คือสไตล์ของเรา เราเป็นคนเรียบๆ ถ้าจะหวือหวาก็อาจจะมีบ้าง เช่น เครื่องประดับชิ้นเดียวที่โดดเด่นไปเลย
อาจเพราะเป็นคนมิกซ์แอนด์แมตช์ไม่เก่ง (หัวเราะ) เช่น ถ้าฟ้าก็จะฟ้าทั้งชุด ซึ่งเราเห็นบางคนมิกซ์แอนด์แมตช์เสื้อผ้าได้สวยนะ ส่วนตัวแล้วเป็นคนแต่งตัว “แมตช์” ไม่ค่อยมิกซ์ (หัวเราะ) แต่ก็มีความมั่นใจของเรา ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 อารมณ์คือ คลาสสิก หรือเท่ๆ ขรึมๆ หรือถ้าตัดจริงๆ อาจจะมีกระเป๋าหรือรองเท้าสีช็อกกิ้งพิงก์ตัดไปเลยชิ้นเดียว”
ด้วยความที่เป็นเวิร์กกิงวูแมน และอาชีพที่ต้องขายของเกี่ยวกับเด็ก คลุกคลีอยู่กับเด็ก สไตล์ของคุณแก้วจึงออกไปในแนวที่ง่ายๆ สบายๆ ลุกนั่งสะดวกเน้นความทะมัดทะแมง ไม่เน้นหวาน ฉะนั้น ในบางชุดเธอจึงออกแบบจากความชอบของตัวเอง
“เวลาทำงานจะแต่งตัว 2 ลุค ลุคหนึ่งคือลุคทางการ เช่น ออกผลิตภัณฑ์ใหม่หรือแนะนำสินค้า เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่าเราเป็นคนเนี้ยบ เป็นคนที่เลือกสินค้าที่มีคุณภาพมาให้ผู้บริโภค และลุคที่สองคือสบายๆ เมื่อมีงานที่เกี่ยวกับการเวิร์กชอป เราอาจต้องลงมาเล่นกับเด็ก ซึ่งส่วนตัวก็เอนจอยกับการที่ไปขายของและเจอกับลูกค้าเอง
เสื้อผ้าแบรนด์ที่ชอบมีอยู่ไม่กี่แบรนด์ เช่น Marni, Miu Miu, DVF, Tory Burch บางทีไม่ได้ใส่แบรนด์เนมตลอด เพราะเราชอบสั่งตัดมากกว่า โดยมีช่างประจำมาตัดที่บ้าน ฉะนั้น เราก็จะสามารถเลือกแบบที่เราชอบและเป็นสไตล์เรา ได้ขนาดเราพอดี ซึ่งไอเดียก็มาจากรันเวย์ที่เราเคยเห็นแต่เลือกบางอย่างที่เราชอบ ปรับเปลี่ยนจนเข้ากับสไตล์เราค่ะ”