>>ในยุคที่ใครๆ ก็ปรารถนาจะเป็นเจ้าของธุรกิจ อยากเป็นเจ้านายตัวเอง ใช้แพชชันเป็นเข็มทิศนำทางชีวิต แต่ยังมีตัวแทนคนรุ่นใหม่อีกไม่น้อย ที่ยังมีความมุ่งมั่นที่จะอุทิศความรู้และความสามารถของตัวเองเพื่อทำประโยชน์ให้สังคมในวงกว้าง หลายคนถึงกับยอมหันหลังให้กับธุรกิจของครอบครัว สลัดสูทมาสวมเครื่องแบบข้าราชการ โดยไม่สนว่าใครจะมองว่าระบบราชการไทยล้าหลัง แถมค่าตอบแทนที่ได้รับยังห่างไกลลิบลับกับการทำงานในบริษัทเอกชน เพราะหากมองในแง่ความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในฟันเฟืองเล็กๆ เพื่อขับเคลื่อนสังคม การได้รับราชการถือเป็นอาชีพที่น่าภาคภูมิใจอย่างหาที่สุดไม่ได้
เพื่อเปิดมุมมองใหม่ที่มีต่ออาชีพข้าราชการ ลองไปฟังเรื่องราวจากสองเซเลบริตีที่เป็นตัวแทนหนุ่มสาวยุคใหม่ว่า อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้พวกเขาเลือกออกแบบชีวิตเช่นนี้ และอะไรคือสิ่งที่พวกเขาค้นพบในอาชีพอันทรงเกียรตินี้

“ตำรวจคืองานในฝัน”
ใครจะคิดว่า “ท๊อฟฟี่-กฤตย์ โอสถานุเคราะห์” ทายาทหนุ่มตระกูลโอสถานุเคราะห์ ที่สู้อุตส่าห์บินลัดฟ้าไปคว้าปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกาในสายงานบริหารธุรกิจมาครอง เพื่อกลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัว แต่ไม่ทันไรเขาจะเลือกเปลี่ยนเส้นทางชีวิตแบบเหนือความคาดหมาย ด้วยการสมัครเข้ารับราชการตำรวจ อาชีพที่เขาออกปากว่าใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ
“ทุกคนล้วนมีความฝัน ส่วนฝันของผมนั้นคือการได้เข้ารับราชการตำรวจ ผมมองว่าอาชีพอันมีเกียรตินี้จะมอบโอกาสให้ผมได้เข้ามารับใช้สังคมโดยตรง บวกกับตั้งแต่เด็กผมเป็นคนชอบเล่นเกมแนวการรบมาตลอด ชอบอะไรบู๊ๆ เล่นกีฬาบีบีกัน พอโตขึ้นมาหน่อยก็ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเล่นกีฬายิงปืน” ท๊อฟฟี่ย้อนวันวานถึงแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เขาตัดสินใจสอบเข้ารับราชการตำรวจ
อย่างไรก็ตาม เพราะจบด้านบริหารธุรกิจมา ทำให้ไม่สามารถบรรจุลงตำแหน่งงานด้านสืบสวนหรือป้องกันและปราบปรามได้ “ใจจริงผมอยากทำงานด้านป้องกันและปราบปรามนะครับ ผมเป็นคนชอบลุย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะงานตำรวจมีหลายด้าน ขอให้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและความสุขของประชาชน”

2 ปีแล้วที่ท๊อฟฟี่พิสูจน์ความมุ่งมั่นและตั้งใจของตัวเอง ในฐานะข้าราชการตำรวจภายใต้สังกัดกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค และเมื่อเร็วๆ นี้เขาเพิ่งจบหลักสูตรสืบสวนสอบคดีอาญา รุ่นที่ 99มาหมาดๆ ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ล้ำค่าที่เปิดโอกาสให้เขาได้พิสูจน์ตัวเอง ที่กองบังคับการสืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ฝึกและทดลองงานด้านการสืบสวนในแบบที่อยากเป็นมาตลอดครั้งหนึ่งในชีวิต
“หลักสูตรสืบสวนฯ ที่ผมเพิ่งไปอบรมมานั้น นอกจากจะได้เพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ ให้รอบด้านมากขึ้น ยังได้ประสบการณ์การทำงานด้านการสืบสวน ซึ่งเป็นแก่นสำคัญในการนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้ปฏิบัติงานที่ บก.สืบนี้ แต่กลับได้ความรู้ และมีความตั้งใจกับการทำงานด้านนี้มาก เหมือนเราได้ปฏิบัติงานในรูปแบบนักสืบอย่างเต็มตัว งานที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชานั้น เป็นการตามหาผู้กระทำความผิดตามหมายจับมาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยใช้เทคนิคการสืบสวนและติดตามคนร้าย การใช้เทคโนโลยีในการสืบสวน และการสืบสวนโดยใช้วิทยาการตำรวจ นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้บังคับบัญชาแลเห็นความสำคัญ และไว้วางใจอนุญาตให้ผมได้เข้ามาอบรมหลักสูตรที่ดีที่สุดหลักสูตรหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
เมื่อมองย้อนชีวิตที่เปลี่ยนไปจากนักธุรกิจหนุ่มสู่คนในเครื่องแบบ หนุ่มหล่ออนาคตไกล ยอมรับว่าค้นพบการเปลี่ยนแปลงในตัวเองหลายอย่าง ที่ชัดเจนคือเรื่องความอดทนและความเสียสละ “สองคุณสมบัตินี้คือสิ่งที่เราต้องพึงมี ไม่ใช่คิดแค่ว่ามีเครื่องแบบมาไว้ใส่เท่ๆ เท่านั้น อีกอย่างหนึ่งที่ผมเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเองคือเรื่องความมีวินัย อาชีพนี้สอนให้เรามีวินัยมากขึ้น เวลาทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุด อย่าปฏิเสธว่าทำไม่ได้หากยังไม่ได้ลองทำ เพราะทุกปัญหาล้วนมีทางออก”

ถามว่าท๊อฟฟี่วางอนาคตตัวเองไว้ว่าจะรับราชการไปจนถึงเมื่อไหร่ งานนี้ตำรวจหนุ่มมาดเท่ไม่เสียเวลาคิดนาน เพราะคำตอบที่ชัดเจนในใจคือจะทำงานที่รักนี้ไปเรื่อยๆ
“ผมยังมีความสุขกับการทำงานในอาชีพนี้ ตราบที่ยังได้รับใช้ประชาชนและประเทศชาติได้ ผมก็จะเดินหน้าต่อไป สำหรับผมอาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ต้นทุนของอาชีพเราในสายตาของสังคมนั้นมีน้อยกว่าอาชีพอื่นๆ แต่ผมยังเชื่อมั่นว่าองค์กรของเราเป็นองค์กรที่มีศักยภาพ และอยากให้มองว่าทุกอาชีพล้วนมีทั้งคนดีคนไม่ดี ซึ่งจุดที่ทำให้คนมองไม่ดีเราก็ต้องพยายามปรับให้ดี ส่วนจุดที่ดีอยู่แล้วก็พยายามรักษาไว้”
อย่างไรก็ตาม ท๊อฟฟี่ยังทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า “ถึงอาชีพตำรวจจะถูกมองว่าไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว บางครั้งคนเห็นก็รังเกียจ แต่สุดท้ายแล้วทุกบ้านก็ยังต้องมีผ้าขี้ริ้ว เมื่อไหร่ที่ทำน้ำหกหรือเจอพื้นเลอะๆ ก็ยังต้องอาศัยผ้าขี้ริ้วเช็ดทำความสะอาดอยู่ดี ตำรวจก็เช่นกัน ผมเชื่อว่าถึงแม้ภาพลักษณ์สำหรับคนบางกลุ่มจะไม่ค่อยดีนัก แต่ท้ายสุดยามที่สังคมเกิดปัญหาก็ต้องเป็นตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ประชาชน หน้าที่ของพวกเราคือ เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เราต้องตั้งใจและเสียสละในการทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน”

ขอเป็นข้า(ราชการ) จนกว่าจะหมดแรง
อีกหนึ่งเซเลบริตีสาวที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ที่จะเป็นข้ารับใช้แผ่นดินอย่างไม่เป็นสองรองใคร ต้องยกให้ มะปราง-กิติวิชญา วัชโรทัย ร้อยเอกคนสวย ปัจจุบันรับราชการทหารอยู่ที่กรมสรรพาวุธ สังกัดกรมทหารบก ในฐานะเจ้าหน้าที่ประจำแผนกควบคุมการจัดหายุทโธปกรณ์ต่างประเทศ และดูแลเกี่ยวกับการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ต่างๆ อย่างเช่น จรวด ระเบิด กระสุน เธอคืออีกหนึ่งตัวแทนสาวรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในครอบครัวข้าราชการขนานแท้ มะปรางเป็นลูกสาวคนเล็กของ “วัชรกิติ วัชโรทัย” เป็นหลานสาวของคุณปู่ “แก้วขวัญ วัชโรทัย”อดีตเลขาธิการพระราชวัง ปัจจุบันนอกจากจะรับราชการเต็มตัว เธอยังควบบทบาทนักศึกษาปริญญาเอก คณะสังคมศาสตร์ สาขาอาชญวิทยา การบริหารยุติธรรมและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล (หลักสูตรนานาชาติ) ซึ่งจะเรียนจบสิ้นปีนี้แล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเป็นวัยรุ่น ใครจะคิดว่าสาวสังคมตระกูลดัง ที่จบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ (ภาคภาษาอังกฤษ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งหลายคนคุ้นหน้าคุ้นตา จะตัดสินใจเข้ารับข้าราชการที่ทำเนียบรัฐบาลอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะลาออกมาสมัครเป็นทหารหญิงประจำการที่กรมสรรพาวุธ

“งานของมะปรางเน้นดูแลเรื่องการจัดซื้อจัดหา อาวุธ ยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของทหารบก ทั้งรถถัง, รถเกราะกันกระสุน, ปืน, ระเบิด, กระสุน ฯลฯ เน้นการติดต่อกับบริษัทต่างประเทศ ก็จะใช้ทักษะภาษาค่อนข้างเยอะ กับทักษะทางเศรษฐศาสตร์ ดูพวกตัวเลข งบประมาณต่างๆ”
แม้จะออกตัวว่าเนื้องานที่ทำเน้นงานเอกสารและประสานงานเสียมากกว่า แต่ก็ใช่ว่าอาชีพทหารหญิงจะเป็นกันได้ง่ายๆ เพราะทุกคนต้องผ่านการฝึกหนักประหนึ่งทหารเกณฑ์ เข้าค่าย ต้องวิ่ง ออกกำลังกาย เทรนนิงเช้าจรดเย็นอยู่ถึง 3 เดือนเต็ม แถมพอมาทำงานจริง มะปรางยังออกปากว่าภายใต้สถานการณ์ที่ราบเรียบ แต่มีเนื้องานใหม่ที่พร้อมแวะเวียนเข้ามาท้าทายทุกวัน ไม่ใช่งานรูทีนหรืออาชีพที่ตายตัว
“สำหรับมะปราง การเข้ามารับราชการทหารถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เรียนรู้การทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ขนาดนี้ มีพนักงานเยอะ มีแผนกมากมาย ทำเราได้รู้ว่าการทำงานประสานกับแผนกและคนเยอะๆ ต้องทำอย่างไร ได้เรียนรู้ทักษะหลายอย่าง นำความรู้ด้านธุรกิจที่เรามีเพื่อนำมาปรับใช้ ยิ่งงานของมะปรางเกี่ยวข้องกับเรื่องยุทโธปกรณ์ ยิ่งต้องหาความรู้เพิ่มเติม โดยเฉพาะ เรื่องความมั่นคง ได้ฝึกฝนทักษะการเจรจาต่อรองไปด้วย เนื้องานจึงค่อนข้างท้าทาย ที่สำคัญอาชีพนี้ยังเป็นาชีพที่มีเกียรติ เป็นความภาคภูมิใจที่ได้แสดงความจงรักภักดี รับใช้แผ่นดิน ทำงานเพื่อประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่การทำธุรกิจหรือบริษัทเพื่อผลประโยชน์ของใครคนใดหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การรับราชการเป็นความฝันของมะปราง ที่บ้านไม่เคยบังคับหรือเป็นกฎเกณฑ์ว่าเราต้องทำงานราชการ หรือต้องมาสานต่องานนะ แต่เราเลือกเส้นทางเดินชีวิตนี้เอง

อย่างไรก็ตาม ในสายตาหลายคนอาจยังติดภาพลักษณ์ราชการในแง่ลบ เป็นระบบที่ล้าสมัย เชย เชื่องช้า ไม่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ แต่มะปรางกลับคิดต่าง
“มะปรางมองว่า แทนที่จะมองว่าระบบราชการเป็นเรื่องของคนยุคก่อน เป็นระบบที่อยู่มานาน น่าจะมองใหม่ว่าถึงเวลาแล้วที่คนรุ่นใหม่จะเข้ามาเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาระบบไม่ให้ล้าหลัง เพราะคนรุ่นใหม่ในวันนี้ก็คือผู้ใหญ่ในวันหน้า มะปรางยอมรับว่าการทำงานราชการค่าตอบแทนอาจไม่สูง แต่ไม่ได้มองตรงนั้น เพราะเราเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการอยู่แล้ว เลยทำให้ทำงานได้อย่างสบายใจ สิ่งที่มะปรางให้ความสนใจและทุ่มเทมากกว่าคือ จะทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถ” ร้อนเอกหญิงคนสวยกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เธอยอมรับว่าอาชีพทหารทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรมากมาย เธอค้นพบว่าแต่ละก้าวที่ผ่านมา ล้วนมีเรื่องราวและประสบการณ์มากมายให้ค้นหา มาถึงวันนี้เธอกล้าพูดอย่างเต็มปากว่าหลงรักอาชีพนี้ และคิดว่าจะทำอาชีพนี้ไปตลอดชีวิต เพราะมั่นใจแล้วอาชีพนี้คือเส้นทางที่ใช่
เพื่อเปิดมุมมองใหม่ที่มีต่ออาชีพข้าราชการ ลองไปฟังเรื่องราวจากสองเซเลบริตีที่เป็นตัวแทนหนุ่มสาวยุคใหม่ว่า อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้พวกเขาเลือกออกแบบชีวิตเช่นนี้ และอะไรคือสิ่งที่พวกเขาค้นพบในอาชีพอันทรงเกียรตินี้
“ตำรวจคืองานในฝัน”
ใครจะคิดว่า “ท๊อฟฟี่-กฤตย์ โอสถานุเคราะห์” ทายาทหนุ่มตระกูลโอสถานุเคราะห์ ที่สู้อุตส่าห์บินลัดฟ้าไปคว้าปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกาในสายงานบริหารธุรกิจมาครอง เพื่อกลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัว แต่ไม่ทันไรเขาจะเลือกเปลี่ยนเส้นทางชีวิตแบบเหนือความคาดหมาย ด้วยการสมัครเข้ารับราชการตำรวจ อาชีพที่เขาออกปากว่าใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ
“ทุกคนล้วนมีความฝัน ส่วนฝันของผมนั้นคือการได้เข้ารับราชการตำรวจ ผมมองว่าอาชีพอันมีเกียรตินี้จะมอบโอกาสให้ผมได้เข้ามารับใช้สังคมโดยตรง บวกกับตั้งแต่เด็กผมเป็นคนชอบเล่นเกมแนวการรบมาตลอด ชอบอะไรบู๊ๆ เล่นกีฬาบีบีกัน พอโตขึ้นมาหน่อยก็ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเล่นกีฬายิงปืน” ท๊อฟฟี่ย้อนวันวานถึงแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เขาตัดสินใจสอบเข้ารับราชการตำรวจ
อย่างไรก็ตาม เพราะจบด้านบริหารธุรกิจมา ทำให้ไม่สามารถบรรจุลงตำแหน่งงานด้านสืบสวนหรือป้องกันและปราบปรามได้ “ใจจริงผมอยากทำงานด้านป้องกันและปราบปรามนะครับ ผมเป็นคนชอบลุย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะงานตำรวจมีหลายด้าน ขอให้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและความสุขของประชาชน”
2 ปีแล้วที่ท๊อฟฟี่พิสูจน์ความมุ่งมั่นและตั้งใจของตัวเอง ในฐานะข้าราชการตำรวจภายใต้สังกัดกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค และเมื่อเร็วๆ นี้เขาเพิ่งจบหลักสูตรสืบสวนสอบคดีอาญา รุ่นที่ 99มาหมาดๆ ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ล้ำค่าที่เปิดโอกาสให้เขาได้พิสูจน์ตัวเอง ที่กองบังคับการสืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ฝึกและทดลองงานด้านการสืบสวนในแบบที่อยากเป็นมาตลอดครั้งหนึ่งในชีวิต
“หลักสูตรสืบสวนฯ ที่ผมเพิ่งไปอบรมมานั้น นอกจากจะได้เพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ ให้รอบด้านมากขึ้น ยังได้ประสบการณ์การทำงานด้านการสืบสวน ซึ่งเป็นแก่นสำคัญในการนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้ปฏิบัติงานที่ บก.สืบนี้ แต่กลับได้ความรู้ และมีความตั้งใจกับการทำงานด้านนี้มาก เหมือนเราได้ปฏิบัติงานในรูปแบบนักสืบอย่างเต็มตัว งานที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชานั้น เป็นการตามหาผู้กระทำความผิดตามหมายจับมาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยใช้เทคนิคการสืบสวนและติดตามคนร้าย การใช้เทคโนโลยีในการสืบสวน และการสืบสวนโดยใช้วิทยาการตำรวจ นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้บังคับบัญชาแลเห็นความสำคัญ และไว้วางใจอนุญาตให้ผมได้เข้ามาอบรมหลักสูตรที่ดีที่สุดหลักสูตรหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
เมื่อมองย้อนชีวิตที่เปลี่ยนไปจากนักธุรกิจหนุ่มสู่คนในเครื่องแบบ หนุ่มหล่ออนาคตไกล ยอมรับว่าค้นพบการเปลี่ยนแปลงในตัวเองหลายอย่าง ที่ชัดเจนคือเรื่องความอดทนและความเสียสละ “สองคุณสมบัตินี้คือสิ่งที่เราต้องพึงมี ไม่ใช่คิดแค่ว่ามีเครื่องแบบมาไว้ใส่เท่ๆ เท่านั้น อีกอย่างหนึ่งที่ผมเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเองคือเรื่องความมีวินัย อาชีพนี้สอนให้เรามีวินัยมากขึ้น เวลาทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุด อย่าปฏิเสธว่าทำไม่ได้หากยังไม่ได้ลองทำ เพราะทุกปัญหาล้วนมีทางออก”
ถามว่าท๊อฟฟี่วางอนาคตตัวเองไว้ว่าจะรับราชการไปจนถึงเมื่อไหร่ งานนี้ตำรวจหนุ่มมาดเท่ไม่เสียเวลาคิดนาน เพราะคำตอบที่ชัดเจนในใจคือจะทำงานที่รักนี้ไปเรื่อยๆ
“ผมยังมีความสุขกับการทำงานในอาชีพนี้ ตราบที่ยังได้รับใช้ประชาชนและประเทศชาติได้ ผมก็จะเดินหน้าต่อไป สำหรับผมอาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ต้นทุนของอาชีพเราในสายตาของสังคมนั้นมีน้อยกว่าอาชีพอื่นๆ แต่ผมยังเชื่อมั่นว่าองค์กรของเราเป็นองค์กรที่มีศักยภาพ และอยากให้มองว่าทุกอาชีพล้วนมีทั้งคนดีคนไม่ดี ซึ่งจุดที่ทำให้คนมองไม่ดีเราก็ต้องพยายามปรับให้ดี ส่วนจุดที่ดีอยู่แล้วก็พยายามรักษาไว้”
อย่างไรก็ตาม ท๊อฟฟี่ยังทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า “ถึงอาชีพตำรวจจะถูกมองว่าไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้ว บางครั้งคนเห็นก็รังเกียจ แต่สุดท้ายแล้วทุกบ้านก็ยังต้องมีผ้าขี้ริ้ว เมื่อไหร่ที่ทำน้ำหกหรือเจอพื้นเลอะๆ ก็ยังต้องอาศัยผ้าขี้ริ้วเช็ดทำความสะอาดอยู่ดี ตำรวจก็เช่นกัน ผมเชื่อว่าถึงแม้ภาพลักษณ์สำหรับคนบางกลุ่มจะไม่ค่อยดีนัก แต่ท้ายสุดยามที่สังคมเกิดปัญหาก็ต้องเป็นตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่รับใช้ประชาชน หน้าที่ของพวกเราคือ เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เราต้องตั้งใจและเสียสละในการทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน”
ขอเป็นข้า(ราชการ) จนกว่าจะหมดแรง
อีกหนึ่งเซเลบริตีสาวที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ที่จะเป็นข้ารับใช้แผ่นดินอย่างไม่เป็นสองรองใคร ต้องยกให้ มะปราง-กิติวิชญา วัชโรทัย ร้อยเอกคนสวย ปัจจุบันรับราชการทหารอยู่ที่กรมสรรพาวุธ สังกัดกรมทหารบก ในฐานะเจ้าหน้าที่ประจำแผนกควบคุมการจัดหายุทโธปกรณ์ต่างประเทศ และดูแลเกี่ยวกับการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ต่างๆ อย่างเช่น จรวด ระเบิด กระสุน เธอคืออีกหนึ่งตัวแทนสาวรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในครอบครัวข้าราชการขนานแท้ มะปรางเป็นลูกสาวคนเล็กของ “วัชรกิติ วัชโรทัย” เป็นหลานสาวของคุณปู่ “แก้วขวัญ วัชโรทัย”อดีตเลขาธิการพระราชวัง ปัจจุบันนอกจากจะรับราชการเต็มตัว เธอยังควบบทบาทนักศึกษาปริญญาเอก คณะสังคมศาสตร์ สาขาอาชญวิทยา การบริหารยุติธรรมและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล (หลักสูตรนานาชาติ) ซึ่งจะเรียนจบสิ้นปีนี้แล้ว
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งเป็นวัยรุ่น ใครจะคิดว่าสาวสังคมตระกูลดัง ที่จบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ (ภาคภาษาอังกฤษ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งหลายคนคุ้นหน้าคุ้นตา จะตัดสินใจเข้ารับข้าราชการที่ทำเนียบรัฐบาลอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะลาออกมาสมัครเป็นทหารหญิงประจำการที่กรมสรรพาวุธ
“งานของมะปรางเน้นดูแลเรื่องการจัดซื้อจัดหา อาวุธ ยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของทหารบก ทั้งรถถัง, รถเกราะกันกระสุน, ปืน, ระเบิด, กระสุน ฯลฯ เน้นการติดต่อกับบริษัทต่างประเทศ ก็จะใช้ทักษะภาษาค่อนข้างเยอะ กับทักษะทางเศรษฐศาสตร์ ดูพวกตัวเลข งบประมาณต่างๆ”
แม้จะออกตัวว่าเนื้องานที่ทำเน้นงานเอกสารและประสานงานเสียมากกว่า แต่ก็ใช่ว่าอาชีพทหารหญิงจะเป็นกันได้ง่ายๆ เพราะทุกคนต้องผ่านการฝึกหนักประหนึ่งทหารเกณฑ์ เข้าค่าย ต้องวิ่ง ออกกำลังกาย เทรนนิงเช้าจรดเย็นอยู่ถึง 3 เดือนเต็ม แถมพอมาทำงานจริง มะปรางยังออกปากว่าภายใต้สถานการณ์ที่ราบเรียบ แต่มีเนื้องานใหม่ที่พร้อมแวะเวียนเข้ามาท้าทายทุกวัน ไม่ใช่งานรูทีนหรืออาชีพที่ตายตัว
“สำหรับมะปราง การเข้ามารับราชการทหารถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เรียนรู้การทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ขนาดนี้ มีพนักงานเยอะ มีแผนกมากมาย ทำเราได้รู้ว่าการทำงานประสานกับแผนกและคนเยอะๆ ต้องทำอย่างไร ได้เรียนรู้ทักษะหลายอย่าง นำความรู้ด้านธุรกิจที่เรามีเพื่อนำมาปรับใช้ ยิ่งงานของมะปรางเกี่ยวข้องกับเรื่องยุทโธปกรณ์ ยิ่งต้องหาความรู้เพิ่มเติม โดยเฉพาะ เรื่องความมั่นคง ได้ฝึกฝนทักษะการเจรจาต่อรองไปด้วย เนื้องานจึงค่อนข้างท้าทาย ที่สำคัญอาชีพนี้ยังเป็นาชีพที่มีเกียรติ เป็นความภาคภูมิใจที่ได้แสดงความจงรักภักดี รับใช้แผ่นดิน ทำงานเพื่อประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่การทำธุรกิจหรือบริษัทเพื่อผลประโยชน์ของใครคนใดหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การรับราชการเป็นความฝันของมะปราง ที่บ้านไม่เคยบังคับหรือเป็นกฎเกณฑ์ว่าเราต้องทำงานราชการ หรือต้องมาสานต่องานนะ แต่เราเลือกเส้นทางเดินชีวิตนี้เอง
อย่างไรก็ตาม ในสายตาหลายคนอาจยังติดภาพลักษณ์ราชการในแง่ลบ เป็นระบบที่ล้าสมัย เชย เชื่องช้า ไม่เหมาะกับคนรุ่นใหม่ แต่มะปรางกลับคิดต่าง
“มะปรางมองว่า แทนที่จะมองว่าระบบราชการเป็นเรื่องของคนยุคก่อน เป็นระบบที่อยู่มานาน น่าจะมองใหม่ว่าถึงเวลาแล้วที่คนรุ่นใหม่จะเข้ามาเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาระบบไม่ให้ล้าหลัง เพราะคนรุ่นใหม่ในวันนี้ก็คือผู้ใหญ่ในวันหน้า มะปรางยอมรับว่าการทำงานราชการค่าตอบแทนอาจไม่สูง แต่ไม่ได้มองตรงนั้น เพราะเราเติบโตมาในครอบครัวข้าราชการอยู่แล้ว เลยทำให้ทำงานได้อย่างสบายใจ สิ่งที่มะปรางให้ความสนใจและทุ่มเทมากกว่าคือ จะทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถ” ร้อนเอกหญิงคนสวยกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เธอยอมรับว่าอาชีพทหารทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรมากมาย เธอค้นพบว่าแต่ละก้าวที่ผ่านมา ล้วนมีเรื่องราวและประสบการณ์มากมายให้ค้นหา มาถึงวันนี้เธอกล้าพูดอย่างเต็มปากว่าหลงรักอาชีพนี้ และคิดว่าจะทำอาชีพนี้ไปตลอดชีวิต เพราะมั่นใจแล้วอาชีพนี้คือเส้นทางที่ใช่