xs
xsm
sm
md
lg

1 ปี เสด็จสวรรคต ธ สถิตในดวงใจไทยตราบนิจนิรันดร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

>>เสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจของพสกนิกรทั่วหล้า เมื่อทราบข่าวการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มหาราชผู้เป็นที่รักยิ่งในชีวิต ได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมปีที่ผ่านมานั้น ยังคงเป็นภาพแห่งประวัติศาสตร์ ที่แม้แต่ชาวต่างชาติต่างรับอย่างไร้ซึ่งข้อแม้ถึงหัวใจแห่งความภักดีของปวงชนชาวไทยทุกดวง ที่มีศูนย์รวมอยู่ที่สถาบันพระมหกษัตริย์ โดยมีในหลวง ร.๙ ที่มิใช่ทรงเป็นแค่ประมุขของแผ่นดินเท่านั้น หากแต่ยังทรงเป็น "พ่อ" ผู้ทรงเป็นที่รักและศรัทธายิ่งของพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า

ผ่านมาแล้ว 1 ปีของการสวรรคต น้ำตาแห่งความรู้สึกโศกเศร้าอาลัยของปวงชนชาวไทยทุกคนยังมิได้จางหายไปแม้แต่น้อย ปวงพสกนิกรทุกคนยังน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้อย่างไม่รู้ลืม เพราะ ธ สถิตในหัวใจไทยนิจนิรันดร์ นั่นเอง

เอ็ม-มณีสุดา ศิลาอ่อน ผู้บริหารคนเก่งแห่งค่าย S&P ย้อนอดีตไปเมื่อ 1 ปีที่แล้วด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ตัวเธอเริ่มได้ยินข่าวลือที่ไม่ค่อยดีมาตั้งแต่วันที่ 12ตุลาคม ถึงพระอาการประชวรของในหลวง ร.๙ จนล่วงเข้าวันที่ 13 เริ่มมีคนส่งข่าวมากมายเกี่ยวกับพระอาการของพระองค์ท่าน จนทำงานอย่างไม่มีความสุข เธอเช็คข่าวแทบจะทุกนาทีและทุกช่องทาง จนถึงวินาทีสุดท้ายจึงตัดสินใจไปที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อไปเฝ้าพระองค์และร่วมสวดมนต์กับพี่น้องคนไทยที่อยู่ที่นั่นจวบจนเวลา19.00น. ก็ได้รับข่าวร้ายนั้นจริงๆ พร้อมกับคนไทยทั้งประเทศจากแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรี

“วันที่ 13 ตุลาคมปีที่แล้ว เอ็มเดินทางไปถึงที่โรงพยาบาลศิริราชเวลา 16.00น. ผู้คนหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ เอ็มพยายามเดินเข้าไปให้ใกล้ และมองเห็นอาคารเฉลิมพระเกียรติให้มากที่สุด มองขึ้นไปที่ชั้น16 ด้วยยังมีความหวังลึกๆ ในใจ ว่าข่าวลือคงไม่เป็นความจริง นั่งลงสวดมนต์ร่วมกับพี่น้องชาวไทยทุกคน บริเวณหน้าอนุสาวรีย์พระบรมราชชนก ผู้เฒ่าผู้แก่เริ่มร้องไห้ หันมาถามว่าพระองค์ท่านเป็นอย่างไร บรรยากาศขณะนั้นสุดจะกลั้นน้ำตาไว้ได้ เสียงสวดมนต์สลับกับเสียงตะโกนทรงพระเจริญดังกึกก้อง จนล่วงเข้าสู่เวลา 19.00น. ตามเวลาที่รัฐบาลประกาศว่าจะแถลงข่าวทางโทรทัศน์ เวลานั้นโทรศัพท์มือถือไม่สามารถรับข้อความใดๆได้ ทุกคนคงพยายามเช็คข้อมูลข่าวสารจนช่องสัญญาณไม่เพียงพอ ได้แต่ตะโกนถามกันว่า นายกรัฐมนตรีแถลงว่าอย่างไร คนที่ติดต่อและรับข้อมูลได้ตะโกนและบอกต่อๆ กันว่า ในหลวงสวรรคตแล้ว เป็นวินาทีที่หัวใจแตกสลาย โลกถล่ม วินาทีนั้นคิดแต่ว่าเราจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มีพระองค์ท่าน เสียงทรงพระเจริญเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ระงมดังไปทั่ว เอ็มร้องไห้จนรู้สึกเหมือนตัวเองจะขาดใจ น้ำตานองหน้า มองอะไรไม่เห็นเลย หมดแรงไม่อยากไปไหน คิดอะไรไม่ออกนั่งอยู่สักพักจนได้สติ จึงกราบลาพระองค์ท่าน อย่างน้อยก็ได้มาเข้าเฝ้าพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย” เอ็มเล่าถึงวินาทีแห่งความสูญเสียอย่างไม่มีวันหวนกลับมาด้วยน้ำตาคลอเบ้า

วันรุ่งขึ้นที่มีการเคลื่อนพระบรมศพ จากโรงพยาบาลศิริราช มณีสุดาได้ชักชวนเพื่อนๆ มารอส่งเสด็จเป็นครั้งสุดท้ายตั้งแต่เช้าตรู่ โดยตัวเองมาจับจองพื้นที่บริเวณริมกำแพงพระบรมมหาราชวังร่วมกับประชาชนนับแสนคน เพื่อรอส่งเสด็จกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย วินาทีที่ขบวนเคลื่อนพระบรมศพผ่าน ทุกอย่างเงียบกริบ มีแต่เสียงสะอื้นร้องไห้ของผู้คนนับแสน รวมทั้งตัวเธอที่น้ำตาไหลร้องไห้ปานจะขาดใจ

ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันสวรรคตครบ 1 ปีแล้วก็ตาม หากแต่ความรู้สึกที่มณีสุดาและครอบครัวศิลาอ่อนมีต่อพระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัยนั้น ไม่ได้ต่างจากวันที่ 13 ตุลาคมปีที่ผ่านมาเลยแม้แต่น้อย ยังคงรำลึกว่าพระองค์สถิตย์อยู่ในหัวใจของเธอและครอบครัวเสมอมา

“ผ่านมาครบ1ปียังรู้สึกเหมือนพระองค์ท่านอยู่กับเราเสมอ แต่ความโศกเศร้าเสียใจไม่เคยจางลงเลย ยิ่งถ้าได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวของพระองค์ท่าน จะน้ำตาไหลทุกครั้ง 1ปีที่ผ่านมาเอ็มมาสนามหลวงเหมือนบ้านหลังที่ 2 ได้กราบพระบรมศพรวม9ครั้ง แต่มาสนามหลวงแทบจะทุกอาทิตย์ อยากอยู่ใกล้ๆ พระองค์ท่าน อยากเห็นประชาชนของพระองค์ เอ็มมีโอกาสได้เป็นตัวแทนบริษัท เอสแอนด์พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) นำอาหารและขนมมาแจกพี่น้องประชาชนที่มากราบพระบรมศพ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่สุดท้ายที่ทางสำนักพระราชวังอนุญาตให้ใช้พื้นที่”

นอกจากนี้ ในวันที่ 26 ตุลาคมที่จะถึงนี้ อันเป็นวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพนั้น เธอและครอบครัววางแผนจองโรงแรมย่านบางลำภูไว้ตั้งแต่ต้นปี 2560 เพราะตั้งใจว่าจะไปส่งเสด็จพระองค์เป็นวันสุดท้ายอย่างแน่นอน แม้จะไม่ได้เข้าไปที่ท้องสนามหลวงหรือใกล้ๆ กับมณฑลพิธี ก็ขอให้ได้อยู่ใกล้พระองค์ท่านให้มากที่สุดเท่าที่คนธรรมดาอย่างเธอจะทำได้

“วันนั้นคงเป็นวันที่เศร้าที่สุดในชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม พระองค์ยังทรงอยู่ในใจของพวกเราเสมอ คำสอนของท่านจะเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และจะถ่ายทอดสู่ลูกหลานและเยาวชนคนรุ่นหลัง ตราบเท่าที่เรายังมีพลังจะทำได้” เอ็มเล่าทั้งน้ำตา

ส่วน ปลาเข็ม-กรัชเพชร อิสสระ ทายาทเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์และแฟชั่นดีไซเนอร์ชื่อดัง ได้ย้อนความรู้สึกเมื่อวัน 13 ตุลาคมปีที่แล้วว่า วันนั้นตนอยู่ที่บ้าน แต่คุณแม่ศรีวราเดินทางมาสวดมนต์ถวายพระพรให้พระองค์ท่านที่โรงพยาบาลศิริราชทั้ง 2 วัน ตั้งแต่วันที่ 12-13 ตุลาคม และพอช่วงประมาณ 1 ทุ่มของวันที่ 13 คุณแม่โทร.มาบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ในหลวง ร.๙ สวรรคตแล้ว ความรู้สึกวินาทีนั้นมันช็อกจนเจ็บไปถึงหัวใจ ร้องไห้โฮปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ไม่เคยคิดว่าพระองค์ท่านจะจากพวกเราชาวไทยไปไวขนาดนี้ ทุกอย่างเป็นเหมือนความฝัน วินาทีนั้นเหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทายลงมา ไม่สามารถนึกรู้ได้ว่าวันพรุ่งนี้เราจะใช้ชีวิตได้อย่างไรเมื่อไม่มีพระองค์ท่าน

"วันที่ 14 ตุลาคม วันที่มีการเคลื่อนพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราช มายังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท วันนั้นเข็มและครอบครัวมาตั้งแต่เช้าตรู่กับคลื่นพสกนิกร เพื่อมารอรับขบวนเคลื่อนพระบรมศพที่หน้าวัดพระแก้ว จำได้ว่าตอนที่ขบวนเคลื่อนพระบรมศพผ่าน ทุกคนที่อยู่บริเวณโดยรอบสนามหลวงไร้ซึ่งเสียงพูดคุย ทุกอย่างเงียบสงบ ทุกคนพากันก้มหน้ากราบไปที่พื้นพร้อมน้ำตานองหน้า"

ถึงแม้ว่าวันนี้ในหลวง ร.๙ จะสวรรคตจากปวงชนชาวไทยไปครบ 1 ปีแล้วก็ตาม หากแต่ความรู้สึกเศร้าอาลัยยังไม่จางหายไปจากหัวใจเลยแม้แต่วันเดียว และพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงทำไว้ให้พสกนิกรชาวไทยนั้น จะยังคงสถิตอยู่ในหัวใจของปวงชนชาวไทยตราบชั่วนิจนิรันดร์

"นับตั้งแต่วันที่พระองค์สวรรคต จนถึงวันนี้จะครบ 1 ปี แล้วความรู้สึกของเราไม่ต่างจากวันแรกเลยยังคงคิดถึงพระองค์เสมอ รู้สึกเหมือนเหตุการณ์เพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง ก่อนหน้านี้เข็มและครอบครัวได้มาสักการะพระบรมศพ 3 ครั้ง และไปทำกิจกรรมจิตอาสาที่พระเมรุมาศเกือบสองสัปดาห์แล้ว ด้วยการไปปิดทองผ้าทองยับ และในวันที่ 26 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันประวัติศาสตร์ของชาวไทยทั้งประเทศ ซึ่งคงไม่มีใครต้องการให้ถึงวันนั้น แต่เข็มก็ตั้งใจจะมาร่วมส่งเสด็จพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย โดยจะพยายามมาให้ใกล้งานพระราชพิธีให้มากที่สุด ขอให้ได้อยู่ใกล้พระองค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้" หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 13 ตุลาคม 2559 วันที่ “จริง-วรางคณา จิตศักดานนท์” บอกว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่เรียกได้ว่าเสียใจที่สุดในชีวิต ด้วยความที่เป็นคนเล่นหุ้น ทำให้รู้สึกถึงความผิดปกติอย่างแน่นอน เมื่อหุ้นค่อยๆ ดิ่งลงเรื่อยๆ จนกระทั่งบ่ายสามโมงก็พุ่งขึ้นสูง ทำให้รู้สึกใจไม่ดี จนต้องทำสิ่งต่างๆ ให้รู้ความจริงให้ได้

“วันนั้นข่าวลือมาเยอะมาก มีฟอร์เวิร์ดไลน์ส่งต่อๆ กันมา เรากำลังเตรียมจัดงานอีเวนต์ซึ่งกำลังจะเปิดงานในวันรุ่งขึ้น ดูกราฟหุ้นก็ใจไม่ดี คิดถึงพระองค์เลยต้องโทร.ไปหาพี่ที่รู้จักซึ่งเป็นตำรวจราชสำนักถามเขาให้แน่ใจ คำตอบที่ได้ก็ทำให้เราคอแห้งผาก ใจเต้นแรง แต่ต้องรวบรวมสติ ตอนนั้นคิดว่าอย่างไรต้องรอประกาศจากสำนักพระราชวังก่อน

ตอนนั้นทุกคนกำลังเตรียมงานอยู่ เราเปิดทีวีไว้ทุกห้อง เมื่อโทรทัศน์อ่านข่าวออกมา จริงกับพนักงานนั่งดูอยู่พร้อมกัน เมื่อข่าวจบลงผู้ประกาศเอ่ยว่า พระองค์เสด็จสวรรคต ทุกคนต่างร้องไห้ ต่างกอดกันเหมือนว่ามันจะช่วยลดความเศร้า เราที่เป็นเจ้านายตอนนั้นก็ไม่อยากร้องไห้ให้พนักงานเสียกำลังใจ จนต้องเดินออกมาร้องไห้นอกห้องเงียบๆ คนเดียว”

วันต่อมา ด้วยต้องจัดงานอีเวนต์ที่ อิมแพค อารีนา เมืองทองธานี ซึ่งไม่อาจจะเดินทางไปร่วมรับเสด็จ ในขบวนอัญเชิญพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชสู่พระบรมมหาราชวังได้ เมื่อเสร็จสิ้นงานเธอจึงรีบเดินทางไปสนามหลวงทันที นำพวงมาลัยไปกราบสักการะที่ข้างกำแพงพระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็นการส่งเสด็จครั้งสุดท้าย

“วันนั้นที่จริงออกมาหัวใจมันโหวงๆ รู้สึกหายใจไม่ออก จนกระทั่งถึงวันนี้ก็พูดได้ว่ายังรับความจริงไม่ได้ นอนไม่หลับ ทำให้ไม่อยากกลับไปแถวนั้นอีก เพราะไม่อยากคิดว่าพระองค์ท่านประทับอยู่ตรงนั้น แต่ไม่อยู่กับเราคนไทยแล้ว”

และด้วยทำงานเป็นผู้จัดอีเวนต์ ซึ่งกำลังจัดงานในช่วงนั้น วรางคณาจึงอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไว้ที่หน้าฮอลล์ และจัดกิจกรรมถวายความอาลัยทุกช่วงเย็น ซึ่งทุกๆ เย็นจะได้เห็นพนักงาน ผู้ขาย รวมทั้งประชาชนที่ไปเที่ยวงานออกมารำลึกถึงพระองค์นับร้อยนับพันคนทุกๆวัน เหมือนกับว่าเป็นการช่วยเติมกำลังใจให้กัน

1 ปี ที่ผ่านไปวรางคณาให้นิยามว่า นี่คือเหตุการณ์ที่เชื่อได้ว่าคนไทย “เสียใจไม่รู้ลืม”

“จวบจนวันนี้แม้เราจะรู้สึกดีขึ้น แต่วันไหนที่นึกถึงเราก็ยังคงมีน้ำตา ยังคงเศร้า หายใจไม่ค่อยออกและนอนไม่หลับอยู่ เหมือนกับว่าเป็นความเสียใจที่สุดในชีวิตที่มิรู้ลืม แต่จริงก็ยังมองว่าเหตุการณ์นี้ทำให้คนไทยทุกคนรักกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น เพราะเราได้สูญเสียบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตคนเดียวกันไป เราจึงเข้าอกเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไรกันมาก”

นั่นทำให้วันที่ 26 ตุลาคมที่จะถึงนี้ อันเป็นพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ ๙ จริงเลือกที่จะไม่เดินทางไปท้องสนามหลวง เพราะไม่อยากเสียใจอีก

“จริงเป็นคนที่ดูภายนอกเหมือนเข้มแข็ง แต่กับเรื่องนี้ไม่ได้เลย เรายังจำวันที่เราร้องไห้ฟูมฟายได้ หากไปอยู่ที่ท้องสนามหลวงวันนั้นคงทำใจได้ยาก จึงคิดว่าอยากจะปิดทีวี ไม่รับรู้ข่าวสารใดๆ อยู่บ้านเสียดีกว่า หรือถ้าหากว่าสุดท้ายตัดสินใจแล้วว่าจะต้องไปส่งเสด็จพระองค์ ก็ต้องเตรียมตัวให้ดี รักษาร่างกาย ดูแลตัวเอง โดยเฉพาะ ต้องเตรียมจิตใจให้พร้อมกับความเสียใจอย่างที่สุด เพราะวันนั้นคงเป็นวันสุดท้ายที่จะได้อยู้ใกล้ชิดกับพระองค์มากที่สุด”

“สำหรับจริงความเสียใจยังคงเท่าเดิม และชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไป” วรางคณาปิดท้าย

ปิดท้ายที่ โอ๊ค-อัครรัฐ วรรณรัตน์ หนุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่เล่าว่า วันที่ 13 ตุลาคมปีที่แล้ว ในขณะที่ กำลังเดินทางไปบ้านเพื่อนเพราะมีนัดทานข้าวกับเพื่อนๆ ซึ่งนัดกันมานานแล้วเป็นกลุ่มใหญ่กว่า 30 คน เมื่อไปถึงที่นัดหมายนั้นเพื่อนๆ ที่มารอก่อนหน้านี้ 20 คน ก็กำลังฟังประกาศจากสำนักพระราชวัง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรวมถึงทั้งผมน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่มีเสียงพูดคุย มีแต่ความเงียบสงบและน้ำตาเท่านั้น

“คือตลอดทั้งวันของวันที่ 13 ตุลาคมปีที่แล้ว ทาง social มีกระแสข่าวลือที่ไม่ดีออกมากับข่าวที่เราไม่อยากได้ยินนี้ แต่ก็ไม่เชื่อจนกระทั่งมีประกาศทางพระราชสำนักช่วงตอน ประมาณ 1 ทุ่ม เกี่ยวกับการเสด็จสวรรคตของพระองค์ พวกเราทุกคนที่ได้ฟังประกาศของสำนักพระราชวังน้ำตาก็ไหลโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งใจหายและเสียใจว่ามันคือเรื่องจริง เชื่อมาตลอดว่าพระองค์ท่านทรงเป็นเทพและจะอยู่กับพวกเราชาวไทยไปจนถึงพระชนมายุ 120 พรรษา ตามที่พระองค์ท่านเคยรับสั่งไว้ ผมคิดว่าทุกอย่างมันคือข่าวลือและไม่คิดว่ามันจะมีวันนี้ คือวันที่พระองค์ท่านจากพวกเราชาวไทยทุกคนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมา”

เช้าวันรุ่งขึ้น ที่มีการอัญเชิญพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชมายังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ถึงแม้ว่าหนุ่มโอ๊คจะไม่ได้มาส่งเสด็จที่หน้ากำแพงพระบรมมหาราชวัง หรือโดยรอบท้องสนามหลวงเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เขาและคุณแม่ก็ติดตามการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์อย่างใกล้ชิด กระทั่งเวลาที่มีการเปิดให้เข้าไปสักการะพระบรมศพ ชายหนุ่มจึงได้รวมตัวกับเพื่อนๆ ไปทำกิจกรรมจิตอาสาที่บริเวณท้องสนามหลวง เพื่ออาสาเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ดูแลประชาชนของพระองค์ให้ดีที่สุด

“วันที่ 14 ตุลาคม ผมดูถ่ายทอดสดพิธีเชิญพระบรมศพจากโรงพยาบาลศิริราชมายังพระบรมมหาราชวัง ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจกับคุณแม่ ซึ่งผมและคุณแม่ก็ร้องไห้ตลอดเวลา แต่ในระหว่างช่วงเวลาที่มีการเปิดให้คนเข้าไปกราบพระบรมศพ ผมและเพื่อนๆ มี กรณ์ ณรงค์เดช, ปอ-ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธ์, กอล์ฟ-ณชนก รัตนทารส, แพม-อณิชา อรรถสกุลชัย, เจย์และเปิ้ล-จริยดี สเปนเซอร์ รวมทั้งพนักงานในบริษัทของทุกคนร่วมกว่า 100 ชีวิต ได้มาเป็นจิตอาสา ซึ่งพวกเราทุกคนได้ทำการบ้านกันว่ามีอะไรที่คนที่มายังต้องการ และเมื่อได้รับไปแล้วก็ได้ประโยชน์ต่อผู้ที่ได้มากราบพระองค์ท่านด้วย ดังนั้น ช่วงนั้นเราจึงนำพัด นำร่ม และอาหารมาแจกจ่ายให้กับประชาชนโดยรอบท้องสนามหลวง”

1 ปีของการสวรรคตผ่านไป ความรู้สึกที่ตกใจนั่นได้บรรเทาลง แต่ความรู้สึกเศร้าเสียใจนั้นยังคงอยู่ในใจตลอดปีที่ผ่านมาเสมอ

“โอ๊คตั้งใจไว้ทุกข์มาตลอด 1 ปี เป็นสิ่งที่เราคิดว่าเราทำได้ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง แต่ยิ่งใกล้วันที่ 26 ตุลาคม 2560 มันทำให้หวนนึกถึงความรู้สึกของเย็นวันที่ 13 ตุลาคมเมื่อปีที่แล้ว และวันที่ 26 ตุลาคมที่จะถึงนี้ผมและเพื่อนๆ ก็ตั้งใจจะไปส่งเสด็จพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย และตั้งใจจะไปเป็นจิตอาสาบริการประชาชนของพระองค์ให้ได้มากที่สุด” ชายหนุ่มเล่าด้วยความมุ่งมั่น

วันนี้ 13 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 1 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรได้เสด็จสวรรคต จากปวงพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าอย่างไม่มีวันหวนคืนกลับมา แต่ไม่ว่าจะนานเพียงใด ทุกคำสอนและทุกพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงทำไว้ให้กับพสกนิกรชาวไทยทั่วทุกหมู่เหล่า จะยังคงสถติอยู่ในดวงใจปวงชนชาวไทยนิจนิรันดร์ตราบนานเท่านาน
กำลังโหลดความคิดเห็น