>>ไม่บ่อยนักที่ “แมทธิว พลวัต ณ นคร” ชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มโสดในฝันของสาวๆ จะเคลียร์คิวงานที่แสนรัดตัว มาให้สัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟอย่างนี้ได้ ที่สำคัญครั้งนี้เขาไม่ได้มาเปิดใจเฉพาะเรื่องธุรกิจที่หลังจากทุ่มเทอย่างหนักมาตลอดหลายปี ในที่สุดความพยายามก็เกิดผล เมื่อโปรเจกต์ในฝันของครอบครัวอย่าง โครงการท่าเรือยอชต์ Port Takola สามารถเปิดให้บริการได้แล้วตั้งแต่เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่เขายังมาอัพปเดตสเตตัสหัวใจที่ตอนนี้เดินทางมาถึงจุดที่ความรักกำลังผลิบานสุดๆ เมื่อแมทธิวตัดสินใจขอแฟนสาว “หลิว-สิณัฐปภรณ์ เพิ่มพูนพัฒนา” เตรียมจูงมือเข้าสู่ประตูวิวาห์ สร้างครอบครัวแสนอบอุ่นด้วยกัน
ฝันที่เป็นจริงของชายหนุ่มผู้รักทะเลและสายลม
จากเด็กหนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกันที่ไม่ได้มีอาชีพในฝัน รู้เพียงแต่สนใจด้าน International Business แต่เพราะมหาวิทยาลัยยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ไม่มีสาขาวิชานี้ เขาเลยเลือกเรียนแบบ Dual Degree คือ เรียนด้านเอเชียศึกษาซึ่งเรียนเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของทวีปเอเชีย โดยเน้นศึกษาประเทศจีน อินเดีย และญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการเรียนด้านธุรกิจ
“เดิมผมไม่เคยมีฝันว่าอยากจะทำธุรกิจ วาดภาพอนาคตตัวเองไว้แค่ว่า อยากอยู่ในสายงานที่เกี่ยวข้องกับการประสานงานหรือติดต่อกับต่างประเทศ ตอนช่วงที่เรียนจบ ผมคิดจะเรียนต่อ แต่อีกใจก็อยากกลับบ้าน เพราะผมไปอยู่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 5 อยู่มานานกว่า 9 ปี ก็รู้สึกคิดถึงเมืองไทย” แมทธิวเปิดฉากเล่าถึงชีวิตวัยใส
ในช่วงที่เขาตัดสินใจเดินทางกลับมาเมืองไทยนี้เอง เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณพ่อ (พลเรือเอกสุริยา ณ นคร) มีความคิดที่จะเริ่มต้นธุรกิจใหม่ นั่นคือการทำท่าจอดเรือยอชต์ขึ้นมา
“ครอบครัวเรามีที่ดินอยู่ที่กระบี่ แต่เดิมเราให้เช่าทำนากุ้ง แต่พอคนเช่าเลิกเช่า พื้นที่ตรงนั้นก็ถูกทิ้งไว้เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ ตอนหลังคุณพ่อเห็นโอกาสทางธุรกิจ จึงคิดที่จะพัฒนาท่าจอดเรือยอชต์ขึ้นมา ผมเลยตัดสินใจเข้ามาช่วย ซึ่งเราถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกธุรกิจนี้ในจังหวัดกระบี่เลยก็ว่าได้ เพราะตอนนั้นถ้าพูดถึงท่าเรือยอชต์ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ภูเก็ตมากกว่า....
ทั้งที่จริงๆ แล้วกระบี่เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการทำท่าจอดเรือยอชต์ไม่แพ้กัน เรามีจุดเด่นทั้งเรื่องของที่ตั้ง เพราะอยู่ในเขตหลบมรสุมตลอดปี มีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงาม เช่น เกาะห้อง เกาะพีพี อ่าวนาง เป็นต้น”
หลังจากมีโจทย์ในใจชัดเจน ภารกิจต่อไปคือ การค้นคว้าหาความรู้ เพราะการสร้างท่าเรือยอชต์เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างไกลตัว แมทธิวยอมรับว่า ถึงตอนนั้นจะชอบกิจกรรมทางน้ำ แต่ก็ไม่เคยสัมผัสเรือยอชต์ ไม่รู้จักกับเรือยอชต์อย่างแท้จริง
“แรกๆ ผมเข้าไปศึกษาและลงไปทำความเข้าใจกับธุรกิจเรือยอชต์อย่างจริงจัง เน้นการอ่านหนังสือ ศึกษาจากอินเตอร์เน็ต และพูดคุบกับที่ปรึกษาเยอะมาก ซึ่งเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญการสร้างมารีน่าที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง กว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างแบบวันนี้ไม่ง่ายเลย” แมทธิวย้อนวันวานไปสู่จุดเริ่มต้นเมื่อ 7 ปีแล้ว ซึ่งธุรกิจในวันนั้นเริ่มต้นจาก เราค่อยๆ ศึกษาและเรียนรู้ทุกแง่มุมของธุรกิจมารีน่า เผชิญกับอุปสรรคมากมาย ตั้งแต่เรื่องวิศวกรรม “เรามีเวลาจำกัดในการทำงาน แต่ต้องขุดพื้นที่นากุ้ง 70 ไร่ จำได้ว่าต้องขุดดินออกเยอะมาก เพื่อทำท่าจอดเรือ จนมาถึงขั้นตอนการดีไซน์ก็ไม่ง่ายเลย เราเน้นคุณภาพและดีไซด์สวยงาม กว่าจะหาอุปกรณ์ที่จะมาใช้ในท่าเรือได้ ต้องค้นคว้าหาข้อมูลเยอะมาก เพราะ อุปกรณ์ส่วนใหญ่ที่เราใช้ไม่ผลิตในประเทศไทย”
ผู้บริหารหนุ่มยอมรับด้วยว่า กว่าจะมานั่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของท่าเรือยอชต์ Port Takolaเต็มตัว ต้องเผชิญกับนับร้อยเหตุผลที่ชวนให้ท้อบ้างแต่ไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจ เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาและครอบครัวมีกำลังที่จะทำต่อ คือ ความเชื่อที่ว่าหากทำสำเร็จโครงการนี้จะช่วยพัฒนาจังหวัดกระบี่ให้ดีขึ้น เพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยว สร้างงานสร้างอาชีพให้คนในพื้นที่ ไม่เฉพาะอาชีพบริการแต่ยังรวมถึงช่างฝีมือ ที่สามารถซ่อมเรือได้
“โครงการท่าเรือยอชต์ Port Takola เป็นความฝันคุณพ่อ ครอบครัว และผม ทุกครั้งที่เจอปัญหาหรือความท้าทาย เราจะคอยให้กำลังใจกันเสมอผมดีใจที่วันนี้เรามาถึงจุดนี้ได้ วันที่เราสามารถเปิดให้บริการได้”
ถามว่าอะไรคือจุดเด่นของท่าเรือยอชต์ของเขา ผู้บริหารหนุ่มตอบได้ฉับไวเพราะข้อมูลในหัวแน่นปึ้ก “หนึ่งคือ เรื่องโลเกชั่น เราตั้งอยู่ในจุดที่สะดวกมากๆ ใกล้แหล่งท่องเที่ยวอย่างอ่าวนาง เกาะห้อง อยู่ไม่ห่างจากตัวเมือง และ สนามบินกระบี่ สอง สภาพแวดล้อม เราเป็นมารีนาที่ล้อมรอบด้วยสวนสวย ซึ่งเป็นสวนของคุณทวดที่เราอนุรักษ์ไว้ เวลาลูกค้ามาใช้บริการจะสัมผัสได้ถึงความร่มรื่น ชวนผ่อนคลายอย่างแท้จริง สามารถเรียกได้ว่า Port Takola เป็น Marina In The Garden เจ้าแรกในไทย
“เป้าหมายของเราจากนี้คือ เราต้องการเป็นจุดหมายปลายทางของทะเลฝั่งอันดามัน เป็นท่าเรือที่นักเดินเรือนึกถึงหากจะแวะมากระบี่และอ่าวพังงา ถามว่าการพัฒนาท่าเรือยอชต์ดึงนักท่องเที่ยวเข้ามา จะเป็นการรบกวนธรรมชาติหรือไม่ ผมคิดว่านักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมความงามของธรรมชาติ เขาต้องมีความชื่นชอบและรักธรรมชาติเป็นทุนเดิม จึงเเป็นกลุ่มคนอนุรักษ์ธรรมชาติอยู่แล้ว ส่วนเรื่องจิตสำนึกผมว่าเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันปลูกฝังต่อไป”
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารหนุ่มอนาคตไกล แสดงความเชื่อมั่นว่า โอกาสทางธุรกิจของท่าเรือยอชต์ยังไปได้อีกไกล ตอนนี้ยังอยู่ในจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะนอกจากประเทศไทยจะมีจุดเด่นด้านยุทธศาสตร์ในฐานะที่เป็นฮับของภูมิภาค มีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่มีความสวยงามมากมาย ที่ติดอันดับต้นๆ ของโลกแล้ว กลุ่มคนที่เป็นเจ้าของเรือยอชต์ในเอเชียยังมีปริมาณเพิ่มขึ้นด้วย แต่อุตสาหกรรมเรือยอชต์ต้องได้รับการสนับสนุนทางนโยบายและกฎหมาย ถึงจะสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้
“การล่องเรือยอชต์เป็นงานอดิเรกของคนที่ชอบกิจกรรมทางน้ำ เรือยอชต์ไม่ใช่กิจกรรมของคนรวย ไฮโซหรูหราอย่างเดียว แต่มันเป็นวัฒนธรรมของการเล่นเรือที่มีหลายกลุ่ม โดยคนที่ชอบอาจจะเริ่มเล่นตั้งแต่เรือลำเล็ก เรือใบ เรือมอเตอร์มาก่อน จนพอมีรายได้มากขึ้นค่อยขยับขึ้นสู่เรือยอชต์หลังจากได้เข้ามาคลุกคลี ผมถึงได้เข้าใจว่าเสน่ห์ของการแล่นเรือคือ นอกจากจะรู้สึกผ่อนคลาย ยังเป็นโอกาสดีที่จะได้ใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง นอกจากนี้ ยังได้เรียนรู้หลายอย่างจากธรรมชาติ
เพราะเวลาแล่นเรือ เราต้องเจอกับสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดา ทั้งสภาพอากาศ คลื่นลม เราต้องมีสติ และมีสมาธิ รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวล้อม ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตราย สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ธรรมชาติสอนเรายิ่งโลกสมัยนี้หมุนเร็วเท่าไหร่ การได้พาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติ ทำให้เราได้มีสติ หยุดคิดและเข้าใจตัวเองมากขึ้น” แมทธิวเผยถึงช่วงเวลาแห่งความประทับใจที่ได้พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นและสายลม
เปิดหัวใจสีชมพูเผยความรักที่ลงตัว
หลังจากชวนคุยเรื่องงานมาพักใหญ่ ถือโอกาสชวนหนุ่มหล่อพักจากเรื่องงาน มาคุยสบายๆ ถึงไลฟ์สไตล์วันว่างของผู้บริหารหนุ่มกันบ้าง ไม่น่าเชื่อว่า คำถามธรรมดานี้กลับทำเอาแมทธิวถึงกับนิ่งนึกไปสักพัก
จน หลิว-สิณัฐปภรณ์ เพิ่มพูนพัฒนา ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด แฟนสาวเวิร์กกิงวูแมนคนเก่งที่เพิ่งปลีกตัวจากงาน ตามมาร่วมวงสนทนาที่หลัง เข้ามาช่วยตอบแทนว่า "เขาเป็นคนทุ่มเทให้กับงานมากค่ะงานมากค่ะ ทำงานแทบจะ 7 วัน 24 ชั่วโมงเต็มเลย เขาเป็นคนจริงจังกับการทำงานมากสไตล์การทำงานของเขาจะเป็นแบบผสมผสานระหว่างตะวันออกกับตะวันตก เวลาทีมเจอปัญหาหรือติดขัดตรงไหนจะเน้นการพูดคุย แชร์ปัญหาแชร์ไอเดียกัน เขาจะเน้นการทำงานเป็นทีมเวิร์กมาก"
หลังจากนั่งอมยิ้ม ปล่อยให้แฟนสาวนิยามสไตล์การทำงานของตัวเองอย่างออกรส ถึงทีแมทธิวเฉลยถึงไลฟ์สไตล์วันว่างของตัวเองบ้าง "ตอนนี้ผมพยายามบาลานซ์การทำงานกับชีวิตส่วนตัวมากขึ้น เพราะตอนนี้บริษัทของเราเริ่มมีทีมงานเข้ามาช่วย ผมโชคดีที่มีทีมที่ดี เมื่อไหร่ที่ว่างจากการทำงาน ผมก็จะหาเวลามาเจอหลิว (ยิ้ม) ด้วยความที่เราทำงานคนละที่ ผมอยู่กระบี่ เขาอยู่กรุงเทพฯ ถ้ามีเวลาเราจะพยายามใช้เวลาด้วยกัน โชคดีที่เรามีความชอบคล้ายๆ กัน ชอบทะเล ชอบไปพิพิธภัณฑ์ ชอบเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ดูบ้านชมวังเก่า แล้วก็ชอบดูหนังเหมือนกัน เลยไม่มีปัญหา"
ออกตัวมาแรงจนทำให้บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยความรักแบบนี้ ชวนให้สงสัยไม่ได้ว่า เรื่องราวความรักของทั้งคู่นั้นเริ่มต้นมาอย่างไร งานนี้ฝ่ายชายขอเป็นคนตอบ
"เราเจอกันครั้งแรกในงานแข่งเรือใบที่ภูเก็ต ตอนนั้นผมลงแข่งในฐานะทีมไทยทีมเดียว และยังคว้ารางวัลชนะเลิศมาครองได้สำเร็จ ตอนนั้นหลิวเขาไปทำงานที่นั่น รู้จักกันเพราะเพื่อนรุ่นพี่ของผมแนะนำให้รู้จัก ตอนเจอกันครั้งแรกผมบอกไม่ถูกนะ ว่ารักแรกพบหรือเปล่า แค่รู้สึกว่าอยากทำความรู้จักเขามากขึ้น เลยพยายามชวนเขาคุย"
“ตอนนั้นเขาดูเป็นผู้ชายคุยเก่ง เฮฮามาก แต่หลิวเองกลับเป็นฝ่ายไม่ค่อยพูด ถามคำตอบคำ ทั้งที่จริงๆ หลิวเป็นคนคุยเก่งนะ แต่ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักเขาเลย ก็จะนิ่งๆ หน่อย ส่วนเขาก็พยายามชวนคุย ถามนั่นนี่ ก็คิดว่าผู้ชายคนนี้ต้องเฟรนด์ลี่มาก พูดเก่ง แต่ที่ไหนได้พอคบกันไป ถึงได้รู้ว่าที่จริงเขาเป็นคนสุขุมมาก ไม่ค่อยพูด เป็นฝ่ายฟังมากกว่า ส่วนใหญ่คนชวนคุยจะเป็นหลิวมากกว่า เลยกลายเป็นว่าเราสลับคาแรกเตอร์กัน(ยิ้ม)” สาวหลิวเสริมเรื่องราวจุดเริ่มต้นของความรัก ซึ่งหากจะเรียกว่าเป็นรักแรกพบก็คงไม่ผิด เพราะถึงแม้ทั้งคู่จะไม่ยอมรับตรงๆ แต่หากฝ่ายชายไม่คิดอยากสานสัมพันธ์ เรื่องราวความรักทั้งหมดก็คงไม่บังเกิด
จากวันแรกที่รู้จักกัน ผ่านมาร่วม 4 ปีมาจนวันนี้ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะสร้างครอบครัวร่วมกัน แมทธิวบอกว่าประทับใจฝ่ายหญิงที่เป็นคนรักครอบครัว คอยเป็นกำลังใจซัพพอร์ตเสมอ
"ตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอเขา และทำความรู้จักมาเรื่อยๆ ผมสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักครอบครัว ใส่ใจคนใกล้ชิด เป็นคนที่ละเอียดอ่อนอ่อนโยนและจิตใจดีมากๆ" แมทธิวเผยความในใจจนทำเอาฝ่ายหญิงออกอาการเขิน เลยถือโอกาสเผยความในใจที่มีต่อฝ่ายชายบัางว่า "เขาเป็นผู้ชายสุขุม ใจดี มีความเป็นผู้ใหญ่ ทำให้เรามั่นใจว่าเขาจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีได้ หลิวโชคดีที่มาเจอผู้ชายเพอร์เฟกต์อย่างเขา ทั้งที่เราก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เพอร์เฟกต์ ขอบคุณเขาที่เข้ามาในชีวิตเราและรักในตัวเราที่เป็นเรา อีกทั้งคอยให้คำปรึกษาและซัพพอร์ตเราในทุกๆ เรื่องค่ะ"
จากนี้ ทั้งคู่วางแผนชีวิตหลังแต่งงานว่าหลิวจะเปลี่ยนสเตตัสจากเวิร์กกิงวูแมน มาสวมบทแม่บ้านเต็มตัว พร้อมเดินหน้าปั๊มทายาททันที
"หลิวฝันมาตลอดว่าวันหนึ่งจะได้เจอผู้ชายที่ใช่ ได้สร้างครอบครัว หลิวไม่เสียดายที่ต้องทิ้งชีวิตในเมือง ลาออกจากงาน ย้ายไปอยู่กระบี่ ไปใช้ชีวิตเป็นแม่บ้าน หลิวอยากทำหน้าที่ตรงนี้ การได้ดูแลลูกอย่างเต็มที่ และดูแลสามีซึ่งเป็นผู้นำของครอบครัวของเรา หลิวว่ามันคุ้มค่ามากเลยนะคะ (ยิ้ม)”
ด้านแมทธิว หลังจากนั่งอมยิ้มฟังว่าที่เจ้าสาวอยู่นาน ถือโอกาสออกตัวก่อนว่า “ผมก็ไม่ใช่ผู้ชายที่เพอร์เฟกต์ บางครั้งก็บ้างานมากไป ผมดีใจที่วันนั้นหลิวตัดสินใจคบกับผม อดทน อยู่เคียงข้างผมมาตลอด และยอมแต่งงานกับผม ผมยังจำโมเมนต์ที่ขอแต่งงานได้ ผมคุกเข่าขอเขาแต่งงานที่สนามบินตอนที่เขาไปเยี่ยมผมที่กระบี่ ตอนแรกผมวาดภาพในหัวว่าเขาต้องซึ้งกับโมเมนต์นี้แต่ความเป็นจริงคือ เขารีบให้ผมลุกขึ้นแล้วลากขึ้นรถ เพราะบอกว่าอายคนอื่น
ผมว่าการเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานครั้งนั้นน่าจะเป็นครั้งเดียวที่ผมทำเซอร์ไพรส์เขาสำเร็จ เขาจับไม่ได้(ยิ้ม) เพราะที่ผ่านมาจะเซอร์ไพรส์เขาทีไรเขารู้ตัวก่อนทุกที ไม่เคยสำเร็จเลย เรื่องนี้หลิวเขาไวมาก ตอนขอนั่น ยังไม่มีแหวนเลยนะ คือพอตัดสินใจแล้วก็รีบลุยเลย พูดก่อน ขอก่อน เพราะกลัวเตรียมนั่นนี่ เดี๋ยวเขาจับได้ก่อน เลยจู่โจมตอนเขาลงเครื่องเลยแบบไม่ให้ทันตั้งตัว” แมทธิวที่ตลอดการสัมภาษณ์ไม่ค่อยเผยให้เห็นรอยยิ้มกว้าง แต่พอพูดถึงเรื่องนี้กลับเล่าอย่างออกรสและอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ฝ่ายถูกเซอร์ไพรส์ร่วมเล่าให้ฟังว่า “เขามาขอตอนนั้นเซอร์ไพรส์จริง คือขอกลางสนามบิน คือพอเราก้าวออกมาจากประตู เขาก็มาคุกเข่าหน้าเราตรงทางเดินออกมาเลย คือข้างๆ เป็นพวกไกด์ คนขับรถมาถือป้ายชื่อรอรับนักท่องเที่ยวเลยค่ะ เราก็เลยอายสิ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะมาไม้นี้ เพราะปกติเขาจะทำอะไรหลิวรู้ก่อนตลอด อย่างตอนเขาจะแอบไปเลือกแหวนให้เรา ก็หลุดพิรุธจนทำให้เราจับได้
คือแมทเขาเป็นคนตรงๆ ง่ายๆ ไม่ซับซ่อนแล้วก็ไม่เคยปิดอะไร ดังนั้น พอเขามีอะไรแปลกไปนิดเดียวเราก็รู้แล้ว ช่วงนั้นคือเวลาเขามากรุงเทพฯ เขาจะแอบไปเลือกดูแหวน แล้วบอกกับเราว่ามีธุระ เราก็งงว่าธุระบ่อยจัง แล้วก็ไม่บอกว่าธุระอะไร ซึ่งด้วยความที่เราไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน ปกติเวลาเขามากรุงเทพฯ เขาจะให้เวลากับหลิวเต็มที่ คือถ้าไม่ไปประชุม ไปทำงาน ก็จะมาหาเราตลอด เราก็เริ่มสงสัย พอถามมากเข้า ซักเข้า เขาก็เลยต้องสารภาพ หลิวก็เลยบอกไม่ต้องเซอร์ไพรส์ละ ไปเลือกด้วยกันเลย จะได้อันที่ถูกใจเราจริงๆ (หัวเราะ)”
ตลอดบทสนทนาเราจะเห็นถึงความน่ารักของทั้งคู่ เห็นประกายรักในรอยยิ้มและสายตาที่มองกันและกัน จนอดถามถึงแผนฮันนีมูนทิ้งท้ายไม่ได้
งานนี้ว่าที่เจ้าสาวรีบออกตัวว่า “ยังไม่ได้ว่างแผนค่ะ ตอนนี้เอาเรื่องงานแต่งให้เรียบร้อยก่อน ยังอยู่ในช่วงเตรียมงานกันหัวหมุนอยู่เลย โชคดีที่ได้คุณแม่แมทกับน้องชายแมทเข้ามาช่วยดูแลให้มาช่วยดูแลให้ รายละเอียดเยอะแยะเลยค่ะ และหลิวไม่ได้ซีเรียสกับธรรมเนียมที่แต่งแล้วต้องไปฮันนีมูนเลย อีกอย่างคือปีหน้า ธุรกิจของแมทน่าจะยุ่งมาก ดังนั้น หลิวคิดว่าเราจะเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้ อาจจะรอมีเจ้าตัวเล็กแล้วค่อยหอบไปเที่ยวด้วยกันก็ได้ (หัวเราะ)
แต่เรื่องธุรกิจมันคืออนาคต คือความฝันความตั้งใจของเขา ที่เราที่ต้องให้ความสำคัญก่อน หลิวพร้อมจะเป็นหลังบ้านช่วยซัปพอร์ตเขาให้มากที่สุดค่ะ” หลิวกล่าวทิ้งท้ายสั้นๆ แต่สะท้อนถึงความรักและความเข้าใจที่ทั้งคู่มีต่อกันแบบไม่ต้องมีคำบรรยาย และนี่คงเป็นเหตุผลสำคัญที่แม้จะอยู่กันคนละที่ ห่างเป็นหลายร้อยกิโลเมตร แต่เส้นทางความรักของทั้งคู่ก็ทอดยาวมาอย่างมั่นคงจนถึงประตูวิวาห์แบบนี้


