>>เซเลบออนไลน์พาไปคุยกับกูรู พิม-พัฒนียา อุชชิน เมนเทอร์เรื่องความรักความสัมพันธ์ พี่เลี้ยงที่คอยให้คำแนะนำกับสาวๆ ในเรื่องการวางตัว ทางเพจ "Mentor Pim-สมการความรัก" ในเรื่องความรักและความสัมพันธ์ของคนยุค Gen ME
คนเราสร้างทัศนคติและตีแผ่ความเชื่อด้านต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย รวมถึงทัศนคติในเรื่องความรัก ในอดีตอัตราการหย่าร้างไม่ได้สูงเท่าปัจจุบัน แต่ก็ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าสถาบันครอบครัวสมัยใดมีความสุขราบรื่นกว่ากัน
ผู้หญิงสมัยก่อนไม่ได้เป็นที่ยอมรับให้เข้ารับการศึกษาสูงๆ หรือไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในแวดวงการทำงาน ทำให้ไม่มีโอกาสมีหน้าที่การงานสูงๆ หรือได้รับค่าตอบแทนงามๆ เฉกเช่นผู้หญิงยุคปัจจุบัน ในอดีตผู้หญิงจึงยอมทนอยู่ในความรักความสัมพันธ์กับคู่ครองที่คิดว่าไม่ควรจะแต่งงานด้วยตั้งแต่แรก อีกทั้งความเชื่อเรื่องการหย่าร้างซึ่งยังไม่เป็นที่ยอมรับ ในวัฒนธรรมของหลายประเทศทั่วโลก หรือแม้แต่บางศาสนาในเวลานั้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ในอดีตนั้น ผู้หญิงหลายคนจำใจที่จะ “อดทนและประนีประนอม” ในเรื่องของความรักและความสัมพันธ์มากกว่าหญิงสาวยุคปัจจุบัน จึงทำให้ความสัมพันธ์นั้นผ่านมาได้โดยไม่ต้องเลิกรา
ข้อดีของการอดทนและประนีประนอม คือกุญแจสำคัญของการรักษาความรักความสัมพันธ์ให้ยั่งยืน แต่เนื่องจากปัจจุบันคนถูกเลี้ยงและสั่งสอนมาว่า “เราคือคนที่พิเศษ” ภายใต้ความตั้งใจดีของคนในยุคคุณตาคุณยาย หรือยุคเบบี้บูมเมอร์ของเรา เพื่อส่งเสริมให้คนรุ่นปัจจุบันได้เรียนรู้ที่จะสร้างความนับถือในตนเองหรือ “Self-Esteem” ตั้งแต่ยังเล็ก แต่การตีความหมายของคำๆ นี้ อาจผิดเพี้ยนไปจากความตั้งใจเดิม กลายเป็นการส่งเสริมให้หลายๆ คนในปัจจุบันกลายเป็น “หลงตัวเอง” แทน
Generation ME เป็นเจนเนอเรชันที่คนมีความสามารถมาก และประสบความสำเร็จเร็ว เกิดระหว่างปี ค.ศ.1980-2000 อาจมีความแตกต่างกันทางวัฒนธรรมและประเพณีทั่วโลก แต่ด้วยเพราะยุคโลกาภิวัฒน์ของเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงคนทั้งโลกเข้าด้วยกัน คนเจนเนอเรชันนี้จึงมีความคล้ายในเรื่องของความคิดและทัศนคติที่มีต่อตัวเองอยู่
แล้วมันมีผลกระทบอย่างไรในความรักและความสัมพันธ์ ที่ผ่านมามักได้ยินหลายต่อคนทั้งชายและหญิงเอ่ยว่า “ฉันไม่เห็นต้องแคร์เลย ถ้ามันไม่ดีก็แค่เลิก”
แม้ว่าพิมจะเกิดในปี 1985 และถือว่าเป็นหนึ่งใน Gen ME แต่ก็มีความเห็นที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง พิมเชื่อว่าการแสดงให้คนอื่นรับรู้ว่า เรามีความนับถือในตนเองและรู้จักรักตัวเองให้เป็น คือการสอนให้ผู้คนรอบข้างปฏิบัติกับเราแบบนั้นเช่นเดียวกัน อีกทั้งการรักตัวเองยังเป็นพื้นฐานของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในอนาคตกับคู่รักได้ แต่ถ้าเรามัวแต่ยึดถือในอัตตาของตัวเองมากเกินไป เราอาจลืมไปว่านั่นคือสาเหตุที่เราอาจจะพลาดโอกาสที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีให้กลายเป็นรักแท้ได้ เอาง่ายๆ คือ เรามองว่าเราดีกว่าอีกฝ่าย เราจะไม่ทนกับความยากลำบากและมองว่าอุปสรรคคือความโชคร้าย
เมื่อไม่พอใจคนรักก็คิดแต่จะเลิกราด้วยความหวังว่า จะไปหาคนที่ดีกว่านี้มาแทนที่ โดยที่อาจจะไม่ได้มีความพยายามหรืออดทนมากพอที่จะแก้ปัญหา หรือรักษาความรักนั้นไว้ เราอาจร้องหาความรักความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ ทั้งๆ ที่ตัวเราเองยังไม่สมบูรณ์แบบ เราพร้อมที่จะทิ้งสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและวิ่งแจ้นไปหาสิ่งอื่น ที่เราคิดว่ามันอาจจะดีกว่าเดิม แต่สุดท้ายเรากลับพบว่าสิ่งที่เราเคยมีมันดีอยู่แล้ว
พิมไม่ได้บอกว่าเราควรยอมก้มหน้าก้มตาทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายข่มเหงเราทั้งกายและใจ แต่หมายถึงการสร้างพื้นฐานความรักและความสัมพันธ์จากความเข้าใจ ความซื่อสัตย์ การประนีประนอม ความเห็นอกเห็นใจและสื่อสารต่อกันด้วยความเอื้ออาทรอย่างแท้จริง แทนการนึกถึงแต่ว่าเราจะได้อะไรจากคู่รักบ้าง นี่คือปัญหาใหญ่ทางด้านความรักของคนในยุคปัจจุบันที่ขวางกั้นไม่ให้คนยุค Gen ME ได้พบเจอกับรักแท้
และพิมเชื่อว่าถ้าเราสามารถสร้างสมดุลได้ระหว่างการนับถือตนเอง และการรักอีกฝ่ายด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วนั้น ความรักที่มีก็จะไม่ต้องเป็นเพียงความรักที่ลักกะปิดลักกะเปิดรักๆ เลิกๆ แบบที่ว่า เพื่อนๆ ฟังจนเบื่อหน่าย เราเองก็จะกลายเป็นคนที่กุมความรักดีๆ อย่างที่เราต้องการได้อย่างนานเท่านาน