xs
xsm
sm
md
lg

คุยทุกเรื่องกับ “สมใจ ไรส์” ศิลปินสีน้ำระดับอาร์ตตัวแม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>คุณเชื่อหรือไม่ว่า การพบกันของคนเรา เป็นเรื่องของโชคชะตาและพรหมลิขิต ส่วนเรื่องราวต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไรอยู่ที่ “คนลิขิต” เช่นเดียวกับบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟครั้งนี้ เกิดขึ้นเพราะพรหมลิขิตชักพาให้ได้พบกับ “คุณสมใจ ไรส์” สาวสังคมที่ห่างหายจากแวดวงสังคมไปพักใหญ่ เพื่อใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่เพราะความรู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก ทำให้คุณสมใจซึ่งเลือกถอยห่างจากการใช้ชีวิตใต้สปอตไลต์และการถูกสัมภาษณ์มาพักใหญ่ตัดสินใจตอบเซย์เยสที่จะเปิดใจเพื่ออัปเดตถึงหลากหลายเรื่องราวในชีวิตของศิลปินในวัย 60 ปลายๆ แบบไม่มีกั๊กอีกครั้ง

ค้นพบความสุขกับชีวิตเนิบๆ

นัดหมายในครั้งนี้ เธอเลือกเปิดบ้านในซอยสุขุมวิท 49 ที่ร่มรื่นด้วยสวนสวยเขียวขจี ภายในเรือนกระจกที่เธอดัดแปลงเป็นแกลเลอรีเล็กๆ เพื่อโชว์ผลงานภาพวาดสีน้ำที่แต่ละภาพล้วนแฝงไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกลุ่มลึกจนชวนให้ต้องหยุดมอง ในฐานะเจ้าบ้าน หลังจากปล่อยให้ชื่นชมผลงานศิลปะพอเป็นน้ำจิ้ม

คุณสมใจเริ่มเปิดฉากการสนทนาด้วยการออกตัวก่อนว่า ชีวิตของเธอทุกวันนี้ไม่หวือหวา หากแต่แสนเรียบง่าย เพราะมาถึงวัยที่เรียกว่าเป็นคุณย่าที่มีหลาน 3 คนแล้ว ตารางชีวิตทุกวันนี้ ถ้าไม่เดินทางไปเยี่ยมลูกชาย 2 คนและหลานที่สหรัฐอเมริกา ก็ติดตามสามีไปเยี่ยมญาติที่เยอรมนี ไปแต่ละครั้งกินเวลาเป็นเดือนๆ เพราะด้วยวัยที่ปลดล็อกจากภาระ และความรับผิดชอบทั้งปวง ทำให้ชีวิตไม่จำเป็นต้องเร่งรีบอีกต่อไป และหากว่างเว้นจากการเดินทางเมื่อไหร่ เธอและสามีก็จะใช้ชีวิตเงียบๆ อยู่ที่เมืองไทย บางครั้งถ้าเบื่อหน่ายความแออัดหรือเร่งรีบของกรุงเทพฯ ก็จะเก็บกระเป๋าไปนอนดูพระจันทร์ ฟังเสียงขับกล่อมของธรรมชาติและสรรพสัตว์ที่บ้านที่ปากช่อง

“พี่คิดว่า ความสุขของคนเราไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ตรงนี้” ศิลปินสาวพูดพลางเอามือกุมที่หัวใจ “เราไม่จำเป็นต้องออกเดินทางไปค้นหา หรือไขว่ขวา พี่อาจจะเป็นคนยุคเก่า ที่ยังหลงใหลในวิถีชีวิตแบบเดิมๆ เป็นมนุษย์ไดโนเสาร์ ที่ไม่ปลื้มกับการใช้เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือ อินสตาแกรม พี่ยังรู้สึกว่าถ้าเราคิดถึงใครเราก็ยังอยากได้ยินเสียงเห็นหน้าเขามากกว่าจะแค่ส่งข้อความหากัน พี่อาจจะยังเป็นคนโบราณ เวลาคิดถึงเพื่อนฝูง ก็ยังโทร.หานัดกินข้าว ดื่มกาแฟ จะมีบ้างที่ใช้ Facetime เพื่อคุยกับหลาน อย่างน้อยก็ได้เห็นหน้า ได้คุย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเพราะเราหอมแก้มเขาไม่ได้ (หัวเราะ)”

อย่างไรก็ตาม คุณสมใจไม่ปฏิเสธหรือมองโลกแบบสุดโต่งว่า คนที่เลือกเปิดประตูให้เทคโนโลยีเข้ามาในชีวิตเป็นคนที่ผิด เพราะเธอเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกเปิดรับความสะดวกสบายเข้ามาในชีวิต เพียงแต่ต้องไม่ปล่อยให้เทคโนโลยีเข้ามากลืนกินชีวิต ต้องให้เทคโนโลยียกระดับคุณภาพชีวิตของเราให้ดีขึ้น

ชีวิตที่ค้นพบความสุขจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี้เองอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ระยะหลังมานี้ ชื่อของคุณสมใจ ไรส์ เฟดหายไปจากแวดวงสังคม ไม่ค่อยปรากฏตัวในงานสังคมเหมือนเคย “พี่ว่าชีวิตคนเราก็เหมือนรถไฟ แต่ก่อนเราอาจจะเป็นหัวรถจักร แต่พอเวลาผ่านไป อายุมากขึ้น จากที่เคยยืนกางแขนเราก็อาจจะต้องหุบแขน (ซึ่งเราเลือกหุบเองนะ ไม่ได้มีใครบอกให้หุบ) เพื่อเปิดทางให้เด็กๆ รุ่นใหม่ซึ่งมีความน่าสนใจได้มีพื้นที่ในสังคมของตัวเองบ้าง

ทุกวันนี้เรามีความสุขกับชีวิตแบบนี้ ได้ดูแลตัวเอง ทั้งว่ายน้ำ และเล่นเทนนิส เพราะเราเชื่อว่าถ้าเราอยากดูแลคุณแม่ สามี ลูก และหลาน ไปนานๆ เราต้องเริ่มจากการดูแลตัวเองให้มีร่างกายที่แข็งแรงก่อน พี่คิดว่า คนเราอายุมาก ไม่ได้หมายความว่าต้องเคาต์ดาวน์ แต่ต้องถามตัวเองเสมอว่า มีอะไรที่เรายังค้างคาไม่ได้ทำ หรือ มีอะไรที่จะทำเพื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้บ้าง”

โลกศิลปะยังสวยงามเสมอ

ส่วนงานที่รักอย่างการวาดรูป ศิลปินสาวยอมรับว่าระยะหลังวาดรูปน้อยลงมาก ส่วนหนึ่งอาจเพราะยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ความเจริญเข้ามาแทนที่ ทำให้สมัยนี้จะหาวิวสวยๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานได้น้อยลง ไม่ใช่เฉพาะแต่เมืองไทย แต่รวมถึงอีกหลายประเทศในเอเชียก็ประสบปัญหาเดียวกัน พื้นที่สวยๆ ถูกแทนที่ด้วยความแออัด อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเธอโลดแล่นในวงการสีน้ำมานานถึง 40 ปี วิวสวยๆ ก็ถูกใช้ไปหมดแล้ว

สำหรับแฟนๆ ที่คิดถึงการจัดแสดงผลงานของคุณสมใจ เธอออกตัวว่า ด้วยความเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ จึงทำให้ทำงานร่วมกับคนอื่นยาก ที่ผ่านมาจึงชอบจัดแสดงผลงานเดี่ยว เพราะเธอเป็นคนที่ค่อนข้างลงรายละเอียด บางครั้งเตรียมงานมาจนถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว แต่พอเปิดไฟฉายไปที่รูป เห็นรอยนิ้วมือ ก็ทนไม่ได้ต้องไปเช็ดทำความสะอาด

“คือคนอื่นอาจจะเห็นอะไร เป็น ก ข ค ง แต่พี่เห็นเป็น ก.1 ก.1.1 เพราะฉะนั้นเพื่อความสบายใจ เวลาจัดแสดงผลงาน พี่จึงชอบจัดคนเดียว จุดประสงค์ในการจัดแสดงงานของพี่คือ เพื่อโชว์ผลงานศิลปะ อนุรักษ์วัฒนธรรม ส่วนผลพลอยได้คือ หารายได้เข้าการกุศล พี่ว่าสมัยนี้ถ้าจะจัดงานก็ยากนะ เพราะเทคโนโลยีที่ย่อโลก ทำให้อะไรก็ง่ายขึ้น เวลาใครนึกอยากจะดูภาพสวยๆ ก็แค่เปิด Google ไม่จำเป็นต้องมาพิพิธภัณฑ์อีกแล้ว

ที่สำคัญเมืองไทยยังค่อนข้างมีปัญหาเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา บางครั้งพี่ก็สับสนนะ คือ เรารู้สึกปลื้มที่มีคนมาดูผลงาน มาชื่นชมผลงานนะ ถึงบางครั้งผลงานเราจะโดนก๊อบปี้ (หัวเราะ) แต่ขณะเดียวกันเราก็ยังคิดไม่ตกว่า จะปกป้องลูกค้าที่ยอมควักเงินจ่ายเพื่อซื้อภาพของเราอย่างไร พี่ว่าบางครั้งการทำงานศิลปะในเชิงพาณิชย์ก็เป็นเรื่องที่อึดอัดพอสมควร”

พอจูงมือเราค่อยๆ ก้าวเข้าไปในโลกศิลปะของเธอทีละน้อย ดูเหมือนคุณสมใจจะยิ่งอิน และเริ่มบอกเล่าอย่างออกรสต่อว่า ผลงานจากปลายพู่กันของเธอทุกชิ้น ล้วนบรรจงสร้างสรรค์จากอินเนอร์ล้วนๆ การวาดภาพด้วยสีน้ำ ไม่ใช่เรื่องง่าย แตกต่างจากการวาดภาพด้วยสีชนิดอื่นๆ ศิลปินต้องมีวินัย เข้าใจธรรมชาติของน้ำ ขณะเดียวกันผู้ที่ชื่นชมก็ต้องเข้าใจในเสน่ห์ของภาพวาดสีน้ำ สีและพิกเมนต์ของภาพอาจจะไม่ได้คมชัดเหมือนภาพวาดสีน้ำมัน หรือ อะคริลิก แต่ต้องค่อยๆ ดู ค่อยๆ ซึมซับความงาม

“ถามว่ากว่าจะได้ผลงานแต่ละชิ้นที่เสร็จสมบูรณ์ออกมาใช้เวลานานไหม ตอบไม่ได้ขึ้นอยู่กับอารมณ์ พี่ไม่ได้บังคับตัวเองว่า 3 วัน 4 วันต้องเสร็จ เรานั่งวาดไปเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกล้าหรือไม่นิ่งก็ไม่ฝืน จะพาตัวเองไปทำกิจกรรมอย่างอื่น พอนิ่งแล้วค่อยกลับมาใหม่ พี่ไม่เห็นด้วยกับศิลปินที่ขังตัวเองอยู่ในห้อง 6-7 วัน เพื่อตะบี้ตะบันสร้างผลงาน เพราะคนเราไม่ใช่เครื่องจักร ต้องมีเหนื่อยมีล้า จะบังคับให้นั่งทำงานตลอดเวลา แต่ความรู้สึก อารมณ์ไม่ได้อินกับมันก็ไม่มีประโยชน์

ทุกวันนี้ตัวพี่เองอย่างที่บอกวัตถุดิบที่จะมาใช้ในการวาดรูปน้อยลง บางครั้งพี่ก็ต้องหยิบเอาวัตถุดิบจากความทรงจำเก่าๆ มาเป็นแรงบันดาลใจในการวาด จนบางครั้งพอเด็กรุ่นใหม่มาเห็นผลงานอาจจะไม่อิน เพราะภาพความทรงจำแบบที่เรามี เขาไม่เคยเห็น และไม่มีให้เห็นอีกแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นตลอดชีวิตของพี่ก็ไม่เคยห่างงานศิลปะ บางครั้งเวลาเดินทางแล้วเห็นท้องฟ้าสวยๆ ก็รู้สึกอยากวาดภาพ ตอนนี้พี่เริ่มหันมาวาดภาพแนวอิมเพรสชันนิสต์จำพวกดอกไม้มากขึ้น”

เล่ามาถึงตรงนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้เรารู้จักกับตัวตนของเธอมากขึ้น ศิลปินคนเก่งเลยถือโอกาสพาย้อนวันวานไปถึงเส้นทางอันยาวไกลบนถนนที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งนี้

“พี่ฝันว่าอยากเป็นศิลปินตั้งแต่เด็ก ต้องขอบคุณคุณแม่ที่ตอนเด็กส่งเราเข้าโรงเรียนจีน ทำให้ได้ฝึกใช้พู่กันจีนตั้งแต่ตอนนั้น เดิมพี่ชอบวาดรูปสีน้ำมัน แต่ด้วยข้อจำกัดทั้งเรื่องกลิ่นของสี บางครั้งวาดไปก็เลอะเทอะ เลยลองเปลี่ยนแนวมาใช้สีน้ำ ปรากฏว่ารู้สึกถูกโฉลกกับน้ำมาก เพราะส่วนตัวพี่เชื่อว่าน้ำเป็นสิ่งมงคล หากนำภาพสีน้ำมาประดับในบ้านก็ช่วยเสริมฮวงจุ้ยได้”

นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เธอสั่งสมประสบการณ์ในการวาดภาพสีน้ำ “ซิกเนเจอร์ในผลงานของพี่ได้มาจากเอกลักษณ์ของสามศิลปินโปรด นั่นคือ โมเนต์, แวนโก๊ะ และเรย์โนลส์ จำได้ว่าตอนไปฝรั่งเศสพี่ไม่ไปชอปปิ้งนะ เข้าพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ตลอด เพื่อไปดูผลงานของจิตรกรเอก ศึกษาและจดจำเทคนิคของพวกเขามากลั่นกรองออกมาเป็นสไตล์ของเรา จะเห็นว่า ผลงานของพี่จะมีมุมมองที่แตกต่าง เพราะพี่ศึกษาจากผลงานของโมเนต์ซึ่งเขามีวิธีเลือกมุมมองภาพที่สวย ส่วนแวนโก๊ะพี่ชอบเทคนิคการแต้มสีของเขา ขณะที่เรย์โนลส์ พี่ชอบเทคนิคการใช้สีที่ไม่เยอะ แต่สามารถผสมผสานจนเกิดเป็นสีใหม่ที่ลงตัว”

นอกจากนี้ คุณสมใจยังยกความดีความชอบให้เพศสภาพที่เป็นหญิงว่า มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผลงานของเธอมีความโดดเด่น “แม้ในแง่ความแข็งแรง น้ำหนักของพู่กัน เราจะสู้ศิลปินชายไม่ได้ แต่ความเป็นหญิงทำให้เรามีความละเอียดอ่อน เวลามองไปที่ประตู 1 บาน เราเห็นรายละเอียดบางอย่างที่คนอื่นไม่เห็น ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ชิ้นงานของเรามีเสน่ห์ มีกลิ่นอายของความโรแมนติก กุ๊กกิ๊ก เพราะพี่เองก็เป็นคนโรแมนติกเหมือนกัน (ยิ้ม) ให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่บอกว่า พี่เชื่อว่าน้ำเป็นสิ่งมงคล พี่ให้ความสำคัญกับน้ำมาก เพราะเราเองก็ใช้น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำงานศิลปะ เพราะฉะนั้น ลอยกระทงทุกปีไม่ว่าอยู่ที่ไหนพี่ต้องกลับมาเมืองไทยเพื่อลอยกระทง ถือเป็นการขอบคุณพระแม่คงคา นอกจากนี้พี่ยังชอบน้ำฝน เวลาไปปากช่อง พี่จะรองน้ำฝนไว้อาบเลยนะ ว่างๆ พี่ก็นอนชมจันทร์ ฟังเสียงบรรเลงจากธรรมชาติและสัตว์ บางครั้งเห็นหิ่งห้อย พี่ก็ยังทำเหมือนเด็กๆ จับหิ่งห้อยมาไว้ในขวด แค่ 2-3 นาทีก็ปล่อยไป”

ด้วยความที่รักธรรมชาติ และรู้สึกว่าธรรมชาติรอบตัวเป็นเพื่อนคนสำคัญนี้เอง ทำให้หลายครั้งที่สมใจเลือกใช้ต้นไม้ใหญ่เป็นที่พักใจ ปลอบประโลมจิตใจยามอ่อนล้า

“เวลาที่ท้อ เบื่อหน่าย หรือรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่า แทนที่จะบ่นหรือเอาความทุกข์ไปแชร์ให้ใคร พี่จะหาต้นไม้ใหญ่สักต้น จากนั้นถอดรองเท้าเพื่อให้เท้าสัมผัสผืนดิน แล้วโอบต้นไม้ ให้หัวใจได้สัมผัสกับลำต้น จากนั้นหลับตา สวบนิ่ง จินตนาการว่าสองขาของเราคือรากต้นไม้มีหน้าที่ดูดพลังจากผืนดิน ส่วนลำตัวและศีรษะของเราเหมือนกิ่งก้านที่จะส่งพลังจากรากไปยังกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ต่อไป เชื่อไหม ทำเพียงแค่นี้ เราจะรู้สึกว่าตัวเองมีพลัง พร้อมจะสู้อีกครั้ง ทุกวันนี้พี่ก็ยังทำบ่อยๆ นะ พี่รู้สึกว่าต้นไม้เป็นเพื่อน” คุณสมใจบอกเล่าด้วยแววตาเป็นประกาย พร้อมเปรียบเปรยอย่างเห็นภาพว่า “คนเราก็แค่นี้ เหนือหัวขึ้นไปก็ไม่มีอะไร เมื่อเทียบกับต้นไม้ใหญ่มีกิ่งก้านสาขามากมาย บางครั้งก็ผลิใบและร่วงโรย แต่ต้นไม้ยังยืนหยัด เพราะฉะนั้นตัวเราแค่นี้ทำไมต้องท้อแท้และสิ้นหวัง”

ที่สุดของชีวิตศิลปิน

ในวันที่ชีวิตเดินทางมาเฉียดเลข 7 สมใจ ยอมรับว่า พอใจและมีความสุขกับชีวิต นอกจากจะได้เดินในเส้นทางศิลปะที่รักแล้ว เส้นทางนี้ยังมอบโอกาสครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตให้กับเธอ นั่นคือ การได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แม้เหตุการณ์จะผ่านมานับสิบปี แต่เมื่อย้อนนึกถึง ภาพความทรงจำเก่าๆ ในครั้งนั้นก็ยังกระจ่างในใจ

“ตอนนั้นบริษัทฯของสามีพี่ได้เข้าเฝ้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล ซึ่งในฐานะภรรยาพี่ก็ได้เข้าเฝ้าฯ ด้วย จำได้ว่าตอนนั้นเข้าเฝ้าฯ แบบยุโรป เลยได้นั่งบนเก้าอี้ ตัวพี่เองได้แต่นั่งก้มหน้า และพยายามทำตัวให้เล็กที่สุด ในเวลานั้น พี่สัมผัสได้ถึงน้ำพระทัยของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรชาวไทย พระองค์ท่านรับสั่งถามเป็นภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการปลูกมันสำปะหลังในหลายเรื่อง หลังจากนั้นเธอได้ถวายพาน ส.ค.ส. แต่เวลาที่ได้อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของพระองค์ท่าน รู้สึกมีความสุขและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก พอพระองค์ทรงเมตตาทรงรับสั่งมาว่า ‘วาดรูปมานานแล้วสินะ’ เลยตื้นตันไม่คิดว่าจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ที่แสนอ่อนโยนและไพเราะ จึงได้แต่นิ่ง พอได้สติ จึงตอบออกไปว่า “เยส เพคะ”

เพราะก่อนหน้านั้นพระองค์รับสั่งเป็นภาษาอังกฤษตลอด จากนั้น พระองค์ท่านรับสั่งถามอีกว่า “ใช้เวลาวาดภาพนี้นานไหม” (ตอนนั้นเรานำภาพชาวนาใส่กรอบไปถวายด้วย) ทั้งที่เบื้องหลังภาพนี้มีเรื่องราวมากมาย แต่ด้วยความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นกลับลืมทุกสิ่งทุกอย่างแล้วตอบไปว่า "ไม่นาน เพคะ" พระองค์ท่านก็ไม่ได้ทรงรับสั่งอะไรอีก ทอดพระเนตรภาพแล้วก็เสด็จฯ กลับ จนทุกวันนี้นึกย้อนไปก็ยังเสียใจอยู่เลย แต่ก็อดภูมิใจไม่ได้นะ ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ และถวายผลงาน”

ตลอดชีวิตการเป็นศิลปินที่ได้สร้างสรรค์งานศิลปะจนประสบความสำเร็จมาจนทุกวันนี้ คุณสมใจถ่ายทอดความรู้สึกตื้นตันในใจว่า ต้องขอบคุณที่ได้เกิดในผืนแผ่นดินไทยภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร

“แม้เราจะมีความรู้ในการใช้พู่กัน รู้เทคนิคในการสร้างสรรค์งานศิลปะ แต่ผลงานที่ดีคงเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าขาดวัตถุดิบดีๆ เหมือนพ่อครัวจะปรุงอาหารได้ต้องมีวัตถุดิบที่ดี ต้องขอบคุณวิวสวยๆ ในประเทศไทย สีสันสวยๆ ของผ้าซิ่น ผ้าขาวม้า พ่อค้าแม่ค้า ที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของเรา ถามว่าทุกวันนี้ ถ้าพี่ไม่เป็นศิลปิน พี่จะทำอะไร พี่คงเป็นเกษตรกร เป็นชาวนา บ้านของสมใจต้องมีผืนนา ตามคอนเซ็ปต์ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีต้นไม้ใหญ่ให้กอด มีบ้านดินที่ผนังรอบบ้านสามารถใช้วาดรูปได้ มีเปลผ้าขาวม้า และมีนาฬิกาแดด” คุณสมใจถ่ายทอดถึงบ้านในฝันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พร้อมกล่าวทิ้งท้ายถึงคติประจำใจในการใช้ชีวิตตลอดมาและตลอดไป

“สิ่งที่พี่สอนลูกเสมอ คือ "Let us never rest, till our good is better and better is best." เมื่อเราทำอะไรได้ดีแล้วเราไม่ควรหยุดยั้งหรือชะล่าใจ จงพัฒนาไป จากดีเป็นดีขึ้นและดีขึ้นเป็นดีที่สุด ชีวิตพี่มีในหลวง รัชกาลที่ 9 เป็นแรงบันดาลใจ เป้าหมายของพระองค์ท่านอาจจะใหญ่กว่าเรามาก เพราะทรงพัฒนาประเทศ แต่ในฐานะคนเล็กๆ อย่างเรา ต้องเริ่มต้นจากการพัฒนาตัวเอง พัฒนาครอบครัว เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับสังคม”

กำลังโหลดความคิดเห็น