xs
xsm
sm
md
lg

สองบทบาท “พลอย ปิ่นแสง” ชิงชัยบนหลังม้า&สนามธุรกิจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>ถึงจะหลงใหลในการเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก แต่สำหรับสปอร์ตเกิร์ลอย่าง “พลอย ปิ่นแสง” กลับมองว่าการออกกำลังกายเป็นยาขม แต่สุดท้ายใครจะคิดว่า เมื่อเจอการออกกำลังกายที่ใช่อย่างการปั่นจักรยานในร่ม เธอจะตกหลุมรักอย่างจัง ถึงขั้นรวมกลุ่มกับก๊วนเพื่อนซี้ มาสร้างอาณาจักรเพื่อคนรักการออกกำลังกาย อย่าง "TRIBE" อินดอร์ไซคลิงสตูดิโอ

“เริ่มขี่ม้าตอน 4 ขวบ ตั้งแต่ยังพูดภาษาอังกฤษไม่เป็น (ยิ้ม) และไม่ชอบการวิ่งหรือเข้ายิม เพราะน่าเบื่อ จนได้ไปลองสตูดิโอปั่นจักรยานของเพื่อนที่สิงคโปร์แล้วชอบมาก เลยตัดสินใจชวนเพื่อนซี้อย่าง จอย-ณัฐภาณุ์ ศรียุกต์สิริ และ หลวง-พสุ ลิปตพัลลภ ซึ่งหลงใหลในการปั่นจักรยานแบบอินดอร์ไซคลิงเหมือนกัน มาเริ่มโปรเจกต์บูทีคยิมภายใต้ชื่อเก๋ๆ ว่าTRIBE (ไทร์ป)"

“ตอนที่คิดว่าจะเปิดTRIBEสตูดิโอที่เป็นอินดอร์ไซคลิงในเมืองไทยยังไม่มีเลย ขณะที่เทรนด์นี้มาแรงมากในต่างประเทศ ด้วยความที่ไม่อยากเร่งเปิดทั้งที่ยังไม่พร้อมเลยเสียเวลาพักใหญ่ ตอนนั้นพลอยตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาคุมโปรเจกต์นี้ ช่วงก่อนเปิดเวลาไปต่างประเทศจะไปทดลองเข้าคลาสปั่นในสตูดิโอจักรยานชั้นนำทั่วโลก เพื่อเปรียบเทียบหาข้อดี-ข้อเสียของแต่ละแห่ง แล้วนำมาปรับใช้โดยไปมามากกว่าสิบแห่ง ลองเรียนกับครูมาไม่ต่ำกว่า 50 คน แม้จะเป็นคลาสเดิม แต่พลอยจะพยายามทดลองเรียนกับครูหลายๆ คน”

นอกจากจะทุ่มสุดตัวเพื่อให้รู้ลึกรู้จริงในสิ่งที่ทำแล้ว การหาโลเกชันที่ลงตัวก็สำคัญที่สุด จนสุดท้ายมาปักหมุดที่อาคารเพรสซิเดนท์ ทาวเวอร์ ราชดำริ เพราะใกล้ทั้งตึกออฟฟิศ ศูนย์การค้า เดินทางสะดวกไม่ว่าจะมารถไฟฟ้าหรือขับรถเพราะใกล้ทางด่วน

“ในส่วนการทำงาน เราแบ่งหน้าที่กันตามความถนัด อย่างหลวงถนัดเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ดูเรื่องงบประมาณ จอยจบอินทีเรีย จะดูงานดีไซน์ แบรนดิงต่างๆ ส่วนพลอยดูโอเปอเรชัน และเข้ามาที่สตูดิโอบ่อยสุด เพราะว่างสุด (หัวเราะ) และยังเป็นเทรนเนอร์เองด้วย พลอยไปเทคคอร์สเพื่อเป็นเทรนเนอร์โดยเฉพาะ ช่วงที่เทรน 3 เดือน โหดพอสมควร วันละ 6-7 ชม. ช่วงนั้นน้ำหนักหายไป 16 กก. จนใครๆ ก็ทัก” พลอยเล่าอย่างอารมณ์ดี ช่วงนั้นเธอเหมือนได้ใช้ตัวเองเป็นกระบอกเสียงโฆษณาให้ TRIBEว่าดีจริงไปในตัว

แม้จะเข้าคลาสปั่นมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่พอมาสวมบทเทรนเนอร์หน้าใหม่ แม้จะมีดีกรีนักกีฬาทีมชาติไทย แต่พลอยยังบอกว่ายากและท้าทายสุดๆ

“พลอยปั่นมาก็เยอะ แรงดีแล้วนะ แต่พอมาเป็นเทรนเนอร์รู้เลยว่าเหนื่อยยิ่งกว่า เพราะขณะที่ขาต้องปั่น ปากต้องพูด สมองก็ต้องคิด คือต้องปลุกเร้าให้คลาสสนุก แถมยังเป็นดีเจเลือกเพลงที่จะใช้ เพราะคอนเซ็ปต์ของที่นี่คือ เพลงจะเปลี่ยนไปตามสไตล์เทรนเนอร์ มีทั้งป๊อบ แจ๊ซ ฮิปฮอป เพื่อให้คลาสไม่น่าเบื่อ แต่ละคลาสใช้เวลา 45 นาที เบิร์นได้ถึง 500-800 แคลอรี ทั้งยังได้ออกกำลังแบบเฮดทูโทเวิร์กเอาต์ คือไม่ใช่แค่ปั่น แต่ได้ยกเวตหรือทำโยคะระหว่างปั่นด้วย รับรองว่าได้โทเทิลบอดีจริงๆ”

ผู้บริหารสาวสุดเฮลท์ตียอมรับว่า การสวมบท Motivator ที่คอยกระตุ้นให้นักปั่นในคลาสซึ่งกำลังอ่อนล้าจวนเจียนจะหมดแรง และอยากยอมแพ้ ลุกขึ้นมาอีกครั้งนั้นยากสุดๆ

พลอยเล่าถึงซิกเนเจอร์การสอนในแบบเทรนเนอร์ว่า “คลาสของพลอยจะเน้น emotional หน่อยๆ ประโยคที่พลอยใช้เป็นประจำคือ จะให้กำลังใจนักปั่นด้วยการบอกว่า คุณอยากรู้สึกอย่างไรเมื่อเดินออกจากคลาส อยากรู้สึกว่าทำเต็มที่สุดๆ หรือแค่มาเล่นเฉยๆ บางครั้งก็จะพยายามกระตุ้นสมาชิกว่า คุณอย่าลืมว่าเราแข็งแรงมากกว่าที่คิดนะ”

หลังจากทำธุรกิจได้ 6 เดือน สาวเก่งในวัย 26 ปี ซึ่งมีความฝันว่าอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองมาตลอด แต่ยังไม่เคยมีภาพที่ชัดเจนในใจ ยอมรับว่าTRIBEคืออีกหนึ่งบททดสอบที่เหนื่อยแต่สนุก เป็นห้องเรียนที่เรียนไม่รู้จบ จากนี้พลอยมองว่าTRIBE ยังมีอนาคตที่สดใส เพราะเธอและหุ้นส่วนตั้งใจปลุกปั้นให้เป็นไลฟ์สไตล์แบรนด์ ทุกวันนี้ได้แตกไลน์คลาสปั่นจักรยาน ไปสู่คลาสโยคะ และบาร์คลาสที่ผสมผสานการเต้นบัลเลต์ พิลาทิส โยคะ และเพลงที่สนุกสนานเพื่อสร้างบรรยากาศที่มีสีสันเข้าด้วยกัน ยังมีแบรนด์ชุดออกกำลังกายสำหรับผู้หญิง แต่กำลังขยายไปจับกลุ่มผู้ชายมากขึ้น

แม้ว่าเธอจะทุ่มสุดตัวกับธุรกิจใหม่ แต่อีกหนึ่งบทบาทที่เธอรักและไม่คิดจะทิ้งคือ การเป็นนักกีฬาขี่ม้าโปโลทีมชาติ ซึ่งเธอฝันว่าจะต้องเป็นนักกีฬาขี่ม้าโปโลหญิงที่เก่งที่สุดในเอเชียให้ได้ภายในอายุ 40 ปี

“ถามว่าเป้าหมายนี้อีกไกลมั้ย ไม่รู้นะคะ รู้แต่ว่าชาตินี้ทำได้” พลอยตอบอย่างมุ่งมั่นพร้อมคลี่ยิ้ม ก่อนอธิบายว่า “นักกีฬาโปโลหญิงในเอเชียมีไม่มากนัก เพราะโปโลเป็นกีฬาที่ค่อนข้างรุนแรง อันตรายแต่สนุก และพลอยชอบเพราะขี่ม้ามาตั้งแต่เด็ก ม้าเหมือนเพื่อนสนิทที่รู้ใจผูกพันกันมานาน ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียวตั้งแต่เด็กก็เข้าแคมป์ขี่ม้าแล้ว เสาร์-อาทิตย์ก็ไปคอกม้า หัดถักเปียยังหัดถักจากหางม้าเลย”

ตลอดชีวิตการเป็นนักกีฬาเธอบอกว่า “การเล่นกีฬาสอนอะไรหลายอย่าง แต่ก่อนตั้งเป้าว่าต้องชนะเท่านั้น พอแพ้ทีเหมือนโลกถล่มลงตรงหน้า ครั้งที่ผิดหวังและเจ็บปวดที่สุด คือตอนที่หลุดโผทีมชาติชุดสู้ศึกซีเกมส์ 2007” แต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พลอยหันมาเล่นโปโล และเบนเข็มมาเป็นนักกีฬาขี่ม้าโปโลทีมชาติแทน ซึ่งในเดือน ส.ค.ที่จะถึงนี้ เธอจะลงชิงชัยในศึกซีเกมส์ครั้งที่ 29 ที่มาเลเซีย

ถามถึงไลฟ์สไตล์วันว่าง เธอแทบไม่มี เพราะจะต้องดูแลธุรกิจแล้วยังช่วยงานคุณพ่อ และต้องหาเวลาฟิตซ้อมร่างกายอยู่เสมอ “ถึงไม่มีวันหยุด แต่ก็มีความสุขนะคะ เพราะทุกครั้งที่ได้เข้ามาในสตูดิโอปั่น พอไฟมืดลงพลอยจะรู้สึกเหมือนหลุดไปอีกโลก ทิ้งเรื่องทุกอย่างไว้นอกห้องได้อยู่กับตัวเองจริงๆ นี่คือความสุข”

ไม่เพียงแต่คลาสปั่นจักรยานจะเป็นพื้นที่สงบทางใจ แต่พลอยยังยอมรับว่า หลังจากออกกำลังกายอย่างจริงจังควบคู่ไปกับการเล่นกีฬาไปด้วย ทำให้เธอคล่องตัวขึ้น อึดขึ้น เรียกว่าเป็นการลงทุนกับตัวเองที่คุ้มค่าเพราะได้ประโยชน์ 2 เด้ง” พลอยกล่าวทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น