>>เป็นธรรมดาของเหล่าช่างภาพ เวลาอยู่หลังเลนส์ช่างมีความสุขราวกับชั่วโมงต้องมนต์ แต่พอต้องมาสวมบทนายแบบหน้ากล้อง กลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เช่นเดียวกับ ฟี่-อนัฆ นวราช ทายาทหนุ่มมาดเซอร์แห่งอาณาจักรสามพราน ริเวอร์ไซด์ ผู้หลงใหลในการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ แต่พอต้องมารับบทนายแบบจำเป็น เขาถึงกับยอมรับแต่โดยดีว่า “ไม่ถนัดและไม่ชอบเลยครับเวลาต้องอยู่หน้ากล้อง ที่โพสได้บ้าง ก็อาศัยให้ช่างภาพช่วยจัดท่าให้ แล้วก็ทำตาม” ผู้บริหารหนุ่มบอกเล่าอย่างอารมณ์ดีก่อนจะนั่งพักเหนื่อยเพื่อเปิดโอกาสให้ทำความรู้จักกับเขามากขึ้น
ปัจจุบันนอกจากฟี่จะนั่งแท่นเป็นจีเอ็มหนุ่มทายาทรุ่นที่สาม โรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์แล้ว เขายังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ “ปฐม” (Patom) ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและเจ้าของคาเฟ่สุดชิกใจกลางเมืองอย่าง Patom Organic Living ควบคู่ไปกับการเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ และปลายปีนี้ยังจะกลับมาสวมบทอาจารย์หนุ่มอีกครั้ง
“ถ้ามีใครมาถามว่าตอนนี้ผมทำงานอะไร ผมคงต้องหยุดคิดก่อนว่า ตอนนี้คนที่เข้ามาคุยกับผมเป็นใคร เพื่อจะได้ตอบถูกว่าผมทำงานอะไร (ยิ้ม) สำหรับผมตอนนี้ผมมีความสุขกับทุกบทบาทที่ทำอยู่ เวลา 7 วันของผม ผมจัดสรรให้กับทุกงานที่ผมรัก รวมทั้งไม่ลืมแบ่งเวลาให้ครอบครัว”
ก่อนจะเฉลยว่ามีเคล็ดลับการจัดสรรเวลาอย่างไร ฟี่ พาย้อนวันวานไปถึงเรื่องราวชีวิตก่อนจะลงตัวดั่งเช่นวันนี้ว่า หลังจากเรียนจบปริญญาโทด้านการถ่ายรูปที่ Pratt Institute จากสหรัฐอเมริกาเขาตัดสินใจเดินทางกลับมาประเทศไทยหลังจากห่างบ้านไปนานถึง 18 ปีจะกลับมาเมืองไทยเพียงปีละครั้ง ช่วงแรกๆที่กลับมาเขายังไม่ได้เข้ามาสานต่อธุรกิจของครอบครัว เพราะยังรักในการถ่ายภาพ จึงเริ่มต้นด้วยการเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ และเป็นอาจารย์พิเศษให้กับคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
“โปรเจกต์แรกที่ผมทำคือ ผมรับหน้าที่ถ่ายภาพสต๊อกให้กับพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เพื่อนำมาจัดแสดงเป็นนิทรรศการภาพถ่าย “อดีตในปัจจุบัน” ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการเดินทางไปตามเส้นทางเบื้องพระยุคลบาท เพื่อเก็บข้อมูล บันทึกภาพบุคคลและสถานที่ต่างๆ รวมถึงการทำงานของสมาชิกศิลปาชีพที่ได้รับพระราชทานความช่วยเหลือมากว่า 40 ปี”
ขณะที่กำลังสนุกกับงาน ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ของครอบครัว ฟี่มองว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องกลับมาช่วยสานต่อธุรกิจของครอบครัวเสียทีแม้ว่าใจลึกๆจะไม่ได้อินกับธุรกิจโรงแรมนักก็ตาม ในช่วงเริ่มแรก เขานำความถนัดของตัวเองเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องงานสื่อประชาสัมพันธ์ การทำโฆษณา พร้อมปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความเป็นไทยแบบโมเดิร์นขึ้น แต่หลังจากช่วยไปช่วยมา ปรากฏว่าขอบเขตงานก็ขยายกว้างขึ้น และกลายเป็นการก้าวเข้ามาบริหารงานเต็มตัวร่วมกับพี่ชายและญาติ
“ช่วงที่ผมเข้ามาช่วย เป็นช่วงที่พี่ชายผม ซึ่งสนใจด้านสุขภาพมากเริ่มมีการพัฒนาสามพรานโมเดล มีการส่งเสริมกลุ่มเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ให้ปลูกวัตถุดิบพืช ผัก ผลไม้อินทรีย์ให้แก่โรงแรมอยู่แล้ว เราจึงเกิดไอเดียว่า น่าจะนำมาต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ออแกนิกเพื่อใช้ในโรงแรมของเรา เราเริ่มจากการพัฒนากลิ่นกุหลาบมอญ ซึ่งเราปลูกเองในสวนสามพรานนำมาค้นคว้า วิจัย มีการตั้งโรงงานเล็กๆ ของเราเองเพื่อผลิตแชมพู สบู่เองที่มีกลิ่นเฉพาะของเราเองปรากฏว่าทำออกมาแล้วได้การตอบรับค่อนข้างดี ลูกค้าที่มาพักที่โรงแรมก็ชอบ”
จากจุดเริ่มต้นที่หวังจะมีผลิตภัณฑ์ดีๆ ให้แขกที่มาพัก กลายเป็นช่องทางให้เริ่มเห็นโอกาสทางธุรกิจและคิดจะขยับขยายธุรกิจของครอบครัวให้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นและคนเมืองมากขึ้น จึงได้พัฒนากลายเป็นที่มาของแบรนด์ปฐม (Patom) โดยในตอนเริ่มต้น แบรนด์ของเราวางขายเฉพาะที่โรงแรมเท่านั้น แต่ต่อมาก็เริ่มหาช่องทางที่จะขยับขยายมากขึ้น
“ที่ตั้งชื่อว่า ปฐม เพราะสื่อถึงถิ่นกำเนิดของเราคือ จ.นครปฐม นอกจากนี้ ความหมายของคำ ยังสื่อถึงการเริ่มต้น และจุดกำเนิด ซึ่งเราต้องการสื่อว่า เราเป็นแบรนด์ที่มีจุดกำเนิดมาจากต้นน้ำจริงๆ เพราะแหล่งวัตถุดิบของเรามาจากเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่”
จากจุดเริ่มต้นวันนั้น มาถึงวันนี้แบรนด์ปฐมได้เดินทางไกลจาก อ.สามพราน จ.นครปฐม มาเอาใจคนรักสุขภาพถึงกรุงเทพฯแล้ว โดยประจำการรอต้อนรับทุกคนอยู่ที่ Patom Organic Living คาเฟ่สุดร่มรื่นใน ซ.ทองหล่อ 23 ที่ชวนสดชื่นตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา ซึ่งผู้บริหารหนุ่มใช้ที่ดินของคุณยายที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาแปลงโฉมเป็นคาเฟ่สุดชิกแห่งใหม่ของคนเมืองให้ได้สัมผัสกับหลากหลายผลิตภัณฑ์ออแกนิก อาทิ เจลอาบน้ำกุหลาบมอญ น้ำมันมะพร้าวบำรุงเส้นผม ลิปบาล์ม ยาสีฟัน และชาออแกนิก ซึ่งเป็นผลงานของเกษตรกรทั้ง 11 กลุ่มที่ทำงานผ่านโครงการสามพรานโมเดลภายใต้มูลนิธิสังคมสุขใจ
นอกจากนี้ยังมีอาหารกล่อง Organic Express ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. นำผัก ผลไม้ และข้าวอินทรีย์ จากกลุ่มเกษตรกรมาแปรรูปเป็นอาหารปรุงสดใหม่ทุกวันหลากหลายเมนู รวมทั้งยังมีผลไม้คั้นสดตามฤดูกาลวางจำหน่ายอีกด้วย
“ตัวผมเองเวลาทำอะไร ชอบเริ่มต้นจากเล็กๆ เริ่มจากอะไรที่มีคอนเซ็ปต์ มีที่มาที่ไป อย่างตอนที่เริ่มต้นทำแบรนด์ปฐม เราก็เริ่มจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ด้วยการทำงานร่วมกับเกษตรกรในพื้นที่ พอต่อยอดมาเป็นคาเฟ่ เราก็ไม่ได้คิดแค่ว่า ทำคาเฟ่เก๋ๆ มีจุดขายคือพื้นที่ร่มรื่นให้คนมาถ่ายรูปเล่น แต่เรานำเสนอสิ่งดีๆสุขภาพที่ดีให้กับคนเมือง ขณะเดียวกันก็ได้ส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมทั้งยังเป็นการเชื่อมโยงสวนสามพรานกับคนเมือง ให้รู้สึกว่าใกล้ชิดคนเมืองมากขึ้น ไม่ใช่แค่สถานที่ทางวัฒนธรรมของคนยุคก่อน”
ถามถึงความท้าทายกับการก้าวเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว ฟี่ยอมรับว่า ท้าทายแน่นอน เรื่องความเก่งของผู้บริหารเจน 1 และ 2 ไม่ต้องพูดถึง เพราะถ้าไม่เก่งจริง ธุรกิจคงเดินมาไม่ได้ถึง 50 ปี ในฐานะเจน 3 ที่เข้ามาบริหารสานต่อ เราต้องทำให้ดีที่สุด เราอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อต่อยอดไปสู่สิ่งที่ดีกว่า นอกจากการปรับภาพลักษณ์ ทำอะไรใหม่ๆ เหมือนเป็นการคืนชีพให้สวนสามพรานอีกครั้งแล้ว ยังมีการนำระบบเข้าไปใส่ในองค์กรมากขึ้น
“การทำธุรกิจไม่มีสูตรสำเร็จ และไม่มีกลยุทธ์ไหนจะยั่งยืน สิ่งที่รุ่นเราทำในวันนี้ก็ไม่ใช่ดีที่สุด และจะคงอยู่ตลอดไป เมื่อถึงเวลาที่รุ่นต่อไปเข้ามาบริหาร เขาอาจจะมองว่าสิ่งที่เราทำอยู่ล้าสมัยใช้ไม่ได้ก็ได้ แต่ในช่วงของเรา เราทำให้ดีที่สุด และพร้อมจะส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป“
ฟี่ ยอมรับว่า ทุกวันนี้แม้จะอินกับบทบาทนักธุรกิจมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ทิ้งงานที่รักอย่างการเป็นช่างภาพ เพราะยังหลงใหลในเสน่ห์ของการถ่ายภาพที่สามารถเป็นตัวแทนบอกเล่าเรื่องราวต่างๆได้เหมือนกับที่ตาเห็นมากที่สุด
“ผมไม่เคยคิดมาก่อนนะว่าจะเป็นช่างภาพ ตั้งแต่เด็กผมชอบศิลปะก็จริง แต่ก็วาดรูปไม่เก่ง จนกระทั่งได้มีโอกาสเข้าคลาสเรียนถ่ายรูปตอนเรียนปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์การทูตที่ American University กรุงวอซิงตัน ดี.ซี.ผมถึงได้ค้นพบตัวเองว่าชอบการถ่ายภาพ และได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการเป็นช่างภาพตั้งแต่อยู่ที่นิวยอร์ก และตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทด้านถ่ายรูปโดยตรง เพราะอยากเป็นครู อยากถ่ายทอดความรู้ที่ผมมี และเรียนรู้มุมมองใหม่ๆจากนักเรียนของผมเหมือนกัน”
ผู้บริหารหนุ่มกล่าวด้วยแววตาเป็นประกายว่า เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงหลักสูตรของทางมหาวิทยาลัยศิลปากร ทำให้ช่วงนี้เขาต้องพักบทบาทการเป็นอาจารย์ไว้ชั่วคราว กระทั่งปลายปีนี้เขาจึงจะได้กลับไปสวมบทอาจารย์อีกครั้ง
“ผมชอบเป็นครู เพราะผมชอบเวลาได้เห็นแววตาของนักศึกษาเวลาที่เขาเล่าถึงเรื่องราวเบื้องหลังภาพถ่ายของเขา เพราะเวลาสอนผมไม่จำกัดว่าคุณจะถ่ายรูปอะไรมา แต่คุณต้องบอกให้ได้ว่าทำไมถึงถ่ายรูปนี้มา ซึ่งบางครั้งการฟังมุมมองเหล่านี้ ก็เหมือนเป็นการได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันไปในตัว”
อย่างไรก็ตาม แม้หลากหลายบทบาทที่เขาทำอยู่ จะแทบกินเวลาทั้งหมด 7 วันของเขา นี่ยังไม่รวมสถานะการเป็นคุณพ่อลูกสองของลูกชายและลูกสาววัยกำลังน่ารัก และแก่นซ่าที่สุด แต่ฟี่ยืนยันว่า ไม่ใช่ปัญหา ตราบที่ยังบริหารทุกบทบาทได้ลงตัว
“ผมโชคดีที่ทุกงานที่ทำ เราบริหารเวลาได้เอง อย่างที่บอกงานที่โรงแรม ด้วยความเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ เราพยายามใส่ระบบเข้าไป เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ โดยที่ผู้บริหารไม่ต้องเข้าไปนั่งเฝ้าตลอด เช่นเดียวกับตัวแบรนด์ปฐมที่เริ่มอยู่ตัว จะมีในส่วนคาเฟ่ที่ยังค่อนข้างใหม่ เพิ่งเริ่มต้นได้เพียง 3 เดือน ผมก็จะให้เวลาค่อนข้างมาก ส่วนงานช่างภาพและอาจารย์ ก็ไม่ใช่ปัญหา สำหรับผม ครอบครัวมาเป็นอันดับ 1 ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน แต่เวลาให้ครอบครัวก็ยังต้องมี ยิ่งผมกับภรรยาเลือกที่จะเลี้ยงลูกเอง โดยไม่มีพี่เลี้ยง ยิ่งต้องรับบทหนัก”
เห็นเป็นผู้บริหารมาดเซอร์ ดูใจดีแบบนี้ อดถามไม่ได้ว่า เมื่อสวมบทคุณพ่อเขาเป็นคุณพ่อสไตล์ไหน อนัฆ ตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า “ดุครับ ทั้งผมและภรรยาจะเป็นสายดุทั้งคู่ เพราะถ้าคนนึงดุอีกคนหนึ่งใจดี ยิ้มให้ลูก ลูกก็เข้าหา รู้ว่ามีคนให้ท้าย เพราะฉะนั้นต้องดุแพ็กคู่ มีตีนะครับ เวลาที่เรียกให้หยุดแล้วไม่หยุด(หัวเราะ) แต่เวลาที่ดุหรือทำโทษเขาแล้ว ผมก็จะอธิบายให้เขาฟัง” คุณพ่อลูกสองบอกเล่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะทิ้งท้ายอย่างน่าประทับใจ
“สำหรับผม ชีวิตทุกวันนี้ของผมเต็มแล้วนะ ได้มีครอบครัวที่อบอุ่น ได้เข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัวและยังได้ทำงานที่รัก จากนี้ผมก็ไม่ได้วาดภาพว่าอยากจะทำอะไรไปมากมายกว่านี้ แต่ถ้าสำหรับแบรนด์ปฐมผมก็หวังว่าจะได้ขยายตลาดไปต่างประเทศ เพราะก่อนหน้านี้เราเริ่มไปลองออกร้านที่ฮ่องกง และญี่ปุ่น ก็ได้ผลตอบรับค่อนข้างดีเลยทีเดียว”