>>ลั่นระฆังวิวาห์อำลาสถานะโสดมาสู่การเป็น “คู่ชีวิต” ไปหมาดๆ สำหรับทายาทสองตระกูลดังของแวดวงสังคมเมืองไทย “เบนซ์-รัฐพงษ์ รัตนหิรัญญา” ลูกชายคนเล็กของ “ทรงศักดิ์-สุรีย์ รัตนหิรัญญา” ดีกรีผู้บริหารหนุ่มแห่งบริษัทไทยสตีล อิมปอร์ต และสาวสังคมหน้าหวาน “พอลลี่-พรพรรณ สิทธินววิธ” ทายาทคนสวยของ “วิเชียร-อภิรดา สิทธินววิธ” ซึ่งกำลังสนุกกับการโลดแล่นในวงการบันเทิง พร้อมวางแผนผันตัวเองมาทำงานเบื้องหลัง ควบคู่กับมองหาโอกาสสร้างธุรกิจส่วนตัว
หลังจากจูงมือกันไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ถึงอียิปต์ คู่รักข้าวใหม่ปลามันก็ใจดีเปิดเรือนหอสุดหรูย่านสาทรต้อนรับเดือนแห่งความรัก ให้ทีมงาน Celeb Online ได้ไปเยือนพร้อมพูดคุยถึงเรื่องราวความรักของทั้งคู่แบบเจาะลึกก่อนใคร งานนี้แม้ช่วงเวลาคบหาดูใจกันจะไม่นาน แต่เบื้องหลังการบ่มเพาะความรักของทั้งคู่กว่าจะมาถึงวันนี้กลับมีเรื่องราวให้ชวนลุ้นตลอด ฟังไปก็ชวนให้นึกถึงพล็อตซีรีส์เกาหลีที่น่าติดตามไม่เบา เพราะครบรสทั้งมันส์ ฮา ซึ้ง และฟินจนชวนจิกหมอนกันเลยทีเดียว
ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ
หลังจากตากล้องให้สัญญาณว่า เก็บภาพหวานๆ ของทั้งคู่เรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่คู่รักคนดังจะพาไปย้อนวันวานแสนหวาน ตอนที่พบกันครั้งแรกเมื่อ 4 ปีก่อน การพบกันราวกับชะตากำหนดไว้นั้น เกิดขึ้นขณะที่ต่างฝ่ายต่างไปกินข้าวกับกลุ่มเพื่อนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง บังเอิญว่าโลกใบนี้ดันกลมกว่าที่คิดเมื่อเพื่อนของทั้งคู่เป็นคนกันเอง รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เลยเป็นสะพานเชื่อมให้ทั้งคู่ได้ทำความรู้จักกันไปด้วย
“ผมกับพอลลี่มี Mutual Friend กันพอดี พอดีวันนั้นพอลลี่เดินมาทักทายกับเพื่อนที่โต๊ะผม คุยไปคุยมา เพื่อนผมก็ลุกไปทักทายเพื่อนน้องเขาที่โต๊ะ เลยมีจังหวะที่เหลือแค่เราสองคนที่โต๊ะ ผมก็ชวนเขาคุยถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย แต่สงสัยผมจะถามมากไป จำได้ว่าครั้งนั้น พอลลี่ยังแซวผมกลับว่า ผมถามเหมือนกับว่าเขามาสมัครงาน (ยิ้ม) ครั้งแรกที่เจอกัน ถึงน้องเขาจะสวย น่ารัก แต่ผมยังไม่ได้คิดอะไรกับน้องเขานะ คิดว่าเป็นเพื่อนใหม่คนหนึ่ง”
ระหว่างฟังสามีย้อนความรักถึงครั้งแรกที่เจอกันพอลลี่ถือโอกาสเสริมว่า “ครั้งนั้นที่เจอกัน พอลลี่ยังจำไม่ได้เลย จนพี่เบนซ์มาเล่าให้ฟังตอนหลังว่าเคยเจอกัน(ยิ้ม)”
แม้ความบังเอิญครั้งนั้น ยังไม่อาจทำให้ความรู้สึกดีๆ ก่อตัวขึ้นในใจทั้งคู่ แต่ราวกับกามเทพเล่นกลไม่เลิก ใครจะคิดว่าวันหนึ่ง “หนูใหม่-ตะวันนา ธารา” ดีไซเนอร์ชื่อดังที่พอลลี่เคยเป็นแม่สื่อแนะนำรุ่นพี่ให้ จนทั้งคู่ปลูกต้นรักและได้แต่งงานกัน จะกลับตาลปัตรมาสวมบทแม่สื่อให้พอลลี่และเบนซ์
“พี่หนูใหม่จะพูดเสมอว่า ถ้าเจอผู้ชายดีๆ จะแนะนำให้พอลลี่ เพราะเขาก็อยากให้เราเจอคนดีๆเหมือนกัน ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็พยายามแนะนำมาหลายคนนะ จนมาถึงพี่เบนซ์ พี่หนูใหม่มาบอกว่า คนนี้ดีนะ หน้าตาก็ใช้ได้ หน้าที่การงานก็โอเค นิสัยดีน่าจะลองไปทำความรู้จักดู พอลลี่ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าไปก็ไป พอลลี่ก็เลยชวนเพื่อนไปด้วยคนหนึ่ง จำได้ว่าวันนั้นทั้งพี่เบนซ์และพอลลี่ชิลมาก ใส่เสื้อยืดมาทั้งคู่
ตอนที่ไปเจอเขาก็ชวนคุยเรื่องหนัง เรื่องวิ่งจ๊อกกิ้ง ลามมาจนถึงเรื่องแฟนเก่าของเขา ตอนที่เขาเล่าถึงแฟนเก่า พอลลี่คิดสองอย่าง หนึ่งคือ เขายังไม่ลืมแฟนเก่า กับสอง ผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เปิดเผยมาก รักใครรักจริง ไม่ปิดบัง แต่ตอนนั้นด้วยความที่เรายังเด็ก ความคิดที่ว่าเขายังไม่ลืมแฟนเก่าแล่นเข้ามาในหัวเร็วกว่า คิดไปก็เริ่มฉุนว่า เขาไม่ให้เกียรติเราเลย มาเจอเราแต่มานั่งพูดถึงแฟนเก่า เพราะฉะนั้นพอกินข้าวเสร็จเราก็แยกย้าย
พอลลี่ไม่รู้สึกสปาร์กอะไรเลย เพราะความรู้สึกฉุนส่วนหนึ่ง บวกกับพอลลี่รู้สึกว่าความสนใจเราก็ไม่ได้ใกล้เคียงกัน เขายังดูเข้ากับเพื่อนพอลลี่ได้ดีกว่าด้วยซ้ำ พอแยกกันแล้วพอลลี่ยังแซวเพื่อนเลยว่า ถ้าเราเจอคนดีพอลลี่ไม่หวงกับเพื่อนนะ ถ้าเพื่อนจะสานต่อกับพี่เขา แต่ที่ขำคือ พอลลี่ลืมไปว่าเพื่อนก็มีแฟนแล้ว (ยิ้ม)”
จากวันนั้น เส้นทางของพอลลี่และเบนซ์ ยิ่งดูเหมือนเป็นเส้นขนานไม่มีทางบรรจบกันได้ แต่ตลอดเวลาพอลลี่ยังได้ข่าวของอีกฝ่ายผ่านเพื่อนสาวที่ยังติดต่อกับฝ่ายชายอยู่ จนช่วงปลายปี พอลลี่เกิดนึกถึงชายหนุ่มที่เจอกันตั้งแต่ต้นปีคนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะพอดีกลุ่มเพื่อนวางแผนจะไปเที่ยวแกลเลอรีไนต์กัน เลยเอ่ยปากให้เพื่อนสาวชวนเบนซ์มาด้วย เพราะจำได้ว่าเขาชอบศิลปะ หลังจากไม่ได้เจอกันมาร่วมปี การพบกันในครั้งนั้น กลับทำให้ความรู้สึกของฝ่ายหญิงเริ่มสั่นคลอน
“คืนนั้น พี่เบนซ์มาหลังสุดในกลุ่ม เขามาแบบมึนเบาๆ (ใช่ๆ วันนั้นผมไปดื่มไวน์กับเพื่อนมาก่อน ฝ่ายสามีที่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ รีบเสริม) ด้วยความเมา วันนั้นพี่เบนซ์เลยปรากฏตัวในแนวใหม่เลย จากผู้ชายที่ดูนิ่งๆ กลายเป็นคนตลก เฮฮา ซึ่งส่วนตัวพอลลี่ชอบคนตลกอยู่แล้ว วันนั้นเราเลยประทับใจพี่เขาในมุมที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนและคืนนั้นเป็นครั้งแรกที่พอลลี่รู้สึกว่า ผู้ชายคนนี้น่ารักจัง”
หลังจากคืนนั้น ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้งผ่านแม่สื่ออย่างหนูใหม่ แต่เป็นการพบกันแบบเพื่อน ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง ซ้ำร้ายหลังจากวันนั้น ทั้งคู่ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยเป็นเวลา 3 ปี
ความรักค่อยๆ ก่อตัวในใจ
อย่างไรก็ตาม ขึ้นชื่อว่าคู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วจากกัน เพราะนอกจากกามเทพจะแผลงศรให้ทั้งคู่มาพบกันยังมีอีกหนึ่งบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยรดน้ำ พรวนดินให้ต้นรักของทั้งคู่ผลิบาน งานนี้ต้องยกความดีความชอบให้หนูใหม่ เพราะผ่านไป 3 ปี เธอยังไม่ละความพยายาม เมื่อเห็นว่าทั้งคู่อยู่ในสเตตัสโสด เลยตัดสินใจเริ่มต้นภารกิจแม่สื่ออีกครั้ง
พอลลี่ ยอมรับว่า ตอนแรกที่หนูใหม่มาบอกให้เธอทำความรู้จักกับผู้ชายคนนี้อีกครั้ง เธอปฏิเสธ เพราะคิดว่า คนเราถ้าจะคลิกกันก็คลิกกันไปแล้ว แต่สุดท้ายด้วยวาทศิลป์ของหนูใหม่เธอก็ใจอ่อน และ ตัดสินใจไปพบกับฝ่ายชายอีกครั้ง ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นที่บ้านแม่สื่อมือทอง
“วันนั้นพอไปถึงบ้านพี่ใหม่ แล้วเจอพี่เบนซ์แปลกมากที่พอลลี่รู้สึกได้ว่าตัวเองเขิน ยิ่งพอไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา เวลาเขาชวนคุยเราก็รู้สึกเกร็ง (จริงครับ ผมก็รู้สึกว่าน้องเขาเกร็ง เบนซ์ที่ตอนนี้นั่งกุมมือกับภรรยาคนสวย ระหว่างที่ฟังเธอเล่าถึงวินาทีที่หัวใจเริ่มออกอาการไม่ปกติกล่าวเสริม) ยิ่งพอตอนพอลลี่จะกลับแล้วพี่เบนซ์เดินมาส่งที่รถ พอลลี่เลยแอบเข้าข้างตัวเองว่า พี่เขาต้องมีใจให้แน่ๆ พอขึ้นรถเท่านั้นแหละ ใจร้อนรีบโทรศัพท์หาพี่หนูใหม่เลย พี่หนูใหม่ต้องบอกให้พอลลี่ใจเย็นๆ ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน เพราะตอนนี้อยู่กับพี่เบนซ์ พอลลี่ก็โอเคๆ แต่รอไม่ถึงพรุ่งนี้หรอก 5 ทุ่มก็โทร.หาแล้ว โทร.ไปปรึกษาเลยว่าพี่เบนซ์ชอบพอลลี่มั้ย พี่หนูใหม่ก็บอกแค่ว่าพี่เขาก็โอเคนะ แต่ถ้าจะถึงขั้นชอบ อาจต้องใช้เวลาทำความรู้จักกันมากกว่านี้ เพราะตอนนั้นพี่เบนซ์ก็เพิ่งผิดหวังจากความรักมา”
เมื่อหัวใจเริ่มเต้นเป็นจังหวะรัก ขณะที่ฝ่ายชายก็ยังสงวนท่าที ภารกิจสำคัญจึงตกอยู่ที่หนูใหม่ ต้องกระตุ้นให้ฝ่ายชายทำอะไรสักอย่าง
“วันนั้นผมว่างๆ นั่งเล่นฮาร์ปอยู่ที่บ้าน หนูใหม่ก็โทรศัพท์มาถามว่าผมทำอะไรอยู่ ผมก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไร เขาก็บอกว่า พอลลี่ก็ว่างๆ เหมือนกัน (ยิ้ม) ผมก็เลยตัดสินใจลองไลน์ไปหาน้องเขาดู”
“ตอนพี่เบนซ์ไลน์มา ดีใจนะ แต่เราก็ต้องสงวนท่าที มีฟอร์ม เขาถามอะไรมา เราก็ตอบสั้นๆ หลังจากแชตนั้นปรากฏว่าพี่เบนซ์ก็หายไปอีก จนพอลลี่ต้องโทร.หาพี่หนูใหม่อีกครั้ง บอกว่า อยากนัดเจอพี่เขามาคุยให้รู้เรื่อง ถ้าใช่ก็ไปต่อ ไม่ใช่ก็ผ่านไป เพราะพอลลี่รู้สึกว่า ที่ผ่านมาเรายังไม่มีโอกาสได้เจอ ทำความรู้จักกันแบบจริงจัง ตอนนั้นพี่หนูใหม่ต้องห้ามทัพ กลัวพอลลี่ออกตัวแรง บอกว่าจะจัดการให้ หลังจากนั้นพี่เบนซ์ก็ไลน์มานัดกินข้าว”
“ผมไลน์ไปชวนน้องเขากินข้าวก่อนที่หนูใหม่จะมาบอกนะ เพราะผมจำได้ว่า ตอนที่เขาโทร.มาบอกให้ผมลองชวนพอลลี่ไปกินข้าว ผมตอบเขาไปว่า ก็ชวนไปแล้ว(ยิ้ม)”
ขณะที่ทุกอย่างกำลังจะลงล็อกไปได้สวย แต่ด้วยความที่ฝ่ายชายเพิ่งผิดหวังกับความรักมา เมื่อคิดจะมีรักครั้งใหม่ก็อยากทำให้ดีกว่าที่ผ่านมา เขาตัดสินใจฉีกกรอบการปลูกต้นรักแบบเดิมๆ เปลี่ยนจากเดตแรกที่หรูหรา ชวนมาร้านสุกี้ งานนี้เล่นเอาฝ่ายหญิงถึงกับไปไม่เป็น
“พอลลี่ก็งงนะ เดตแรกนัดไปร้านสุกี้ (หัวเราะ) แต่ยังไม่ทันได้ไป พอใกล้วันนัด ปรากฏพอลลี่หน้าบวม เลยไลน์ไปขอเปลี่ยนร้านเป็นร้านที่มืดๆ แต่ไม่ได้บอกนะว่าเพราะอะไร พี่เบนซ์เลยเลือกร้าน Dining in the dark (หัวเราะ) กินแบบมืดสนิทจริงๆ”
“พอน้องเขาไลน์มา ผมคิดว่าน้องเขาคงไม่อยากให้คนอื่นเห็น เพราะตอนนั้นเขาเริ่มเป็นนักแสดง แล้ว เลยจองร้านนี้ ปรากฏว่าวันนัดร้านดันปิดเราเลยไปกินอาหารญี่ปุ่น และต่อด้วยก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่แทน วันนั้นผมประทับใจเขานะ ถึงเราจะต่างกันในหลายเรื่อง แต่เราคุยกันรู้เรื่อง และสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนที่รับฟัง เขาฟังอย่างจริงใจ ฟังด้วยความอยากรู้จริงๆ ผมสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนที่จิตใจดี”
การพบกันแบบมาราธอนที่กินเวลาตั้งแต่ 2 ทุ่มถึงตี 3 ด้วยเคมีที่เข้ากันอย่างประหลาด ทำให้ฝ่ายชายเริ่มสั่นไหว ส่วนฝ่ายหญิงก็เริ่มมั่นใจว่าอีกฝ่ายมีใจ แต่จนแล้วจนรอดฝ่ายชายก็เกิดล่องหนอีกครั้ง ไม่แม้แต่จะติดต่อทางไลน์หรือโทรศัพท์
“พอลลี่ก็งงเหมือนกันนะว่าเพราะอะไร จนมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่พี่เบนซ์ไม่โทรศัพท์มา แต่พอลลี่ดันไปกดบล็อกเบอร์พี่เบนซ์ไม่รู้ตัว เขาเลยโทรศัพท์มาไม่ติด หลังจากได้มาคุยกัน เราก็ค่อยๆ ทำความรู้จักกันมากขึ้น เราคลิกกันเร็วมากคบกันได้ 3 เดือนเราก็เริ่มวางแผนที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน มีครั้งหนึ่งเราไปทำงานที่ญี่ปุ่นด้วยกัน พี่เบนซ์ก็เซอร์ไพรส์ด้วยการคุกเข่าขอแต่งงานกลางแยกชิบูย่าเลย แต่ตอนนั้น เขาก็ยังดูทีเล่นทีจริง ยังไม่ได้มีแหวนหรืออะไร จนกลับมากรุงเทพฯ เราเลยคุยกันจริงจัง มีการมาทาบทามกับผู้ใหญ่แต่พอลลี่ก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะเซอร์ไพรส์อะไรอีก จนวันหนึ่งเขาชวนไปเที่ยวแกลเลอรีไนต์ที่เราเคยไปด้วยกัน พาเราเดินเล่นไปจนสุดทาง ก็เห็นมีแต่รูปเรากับเขาโชว์อยู่ ได้ยินแต่ว่าเขาขอพอลลี่แต่งงาน จากนั้นพอลลี่ก็หูดับไปเลย (หัวเราะ)”
“มีคนบอกผมว่า เวลาจะขอผู้หญิงแต่งงานให้เตรียมคำพูดดีๆ ประโยคซึ้งๆ ไป ผมก็ทำการบ้านไปอย่างดี แต่พอมาเจอกับตัวเองผมว่า แผนนี้ไม่เวิร์กเท่าไหร่ เพราะพูดอะไรไป พอลลี่ก็หูดับอยู่ดี (หัวเราะ) ถามว่าทำไมเลือกขอแต่งงานที่นี่ เพราะผมรู้สึกว่าที่นี่เป็นที่ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเข้ากันได้ เรามีบางอย่างที่ใกล้เคียงกัน”
ทุกอย่างระหว่างเรา “มันคงเป็นความรัก”
จากที่รู้จักกันมา ใช้เวลาบ่มต้นรักเพียงไม่กี่เดือน ถามว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ซึ่งผ่านบทเรียนความรักมาหลายครั้ง มั่นใจกับรักครั้งนี้ จนตัดสินใจใช้อีกครึ่งชีวิตร่วมกัน
คำถามนี้ ฝ่ายชายชิงตอบก่อนว่า “พอลลี่ทำให้ผมเชื่อว่าเขาเข้าใจการมีความรัก และเป็นผู้หญิงที่พร้อมจะสร้างครอบครัว ถ้าเจอคนที่ใช่ ผมว่าหนึ่งในปัญหาของคู่รักบางคู่คือ ฝ่ายหนึ่งไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะลงหลักปักฐานเพื่อสร้างครอบครัว แต่พอลลี่ไม่ใช่แบบนั้น อีกอย่างคือ พอลลี่ทำให้ผมรู้สึกว่า เขาพร้อมจะเป็นพลังให้ผมในวันที่ผมอ่อนแอ ผมเห็นพลังในแววตาเขา ที่สื่อความหมายว่า พี่เบนซ์จะอ่อนแอบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะพอลลี่พร้อมจะเป็นพลังให้”
หลังจากฟังคำตอบที่หวานจนกองทัพมดแทบจะยกทัพบุกเรือนหอหลังงาม ก็ถึงคราฝ่ายหญิงได้บอกเล่าความในใจ “พอลลี่ไม่ได้มีสเปกผู้ชายที่ชอบ แต่ก่อนจะคบหากับผู้ชายคนไหน เราก็จะมีเช็กลิสต์บางอย่างในใจ สำหรับพี่เบนซ์ ทั้งหน้าตา บุคลิก ความคิดความอ่านของเขา ถือว่าสอบผ่านมาตรฐานของพอลลี่ แต่หลังจากคบหาดูใจกันไปได้ 3 เดือน องค์ประกอบภายนอกที่เราใช้ประเมินเขา 3 ข้อนี้กลับกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่พอลลี่มอง พอลลี่ประทับใจในความเป็นผู้ชายอบอุ่นของเขา เขาเป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนที่มีหลายบุคลิกในคนเดียว ทั้งมุมที่จริงจัง มุ้งมิ้ง และตลก ซึ่งเรารักในทุกมุมที่เขาเป็น ที่สำคัญพอลลี่สัมผัสได้ว่าพี่เบนซ์เอ็นดูเรา เขารักเราและพร้อมที่จะให้อภัยเราเสมอ” พอลลี่ถ่ายทอดความรู้สึกพร้อมกระชับมือที่กุมกับสามีด้วยความรัก
เกือบ 2 เดือนเต็มที่ทั้งคู่อัปเกรดจากสถานะคนรักมาสู่คู่ชีวิต ฝ่ายชายยอมรับว่า ทุกอย่างดีกว่าที่คิดไว้ เพราะนับตั้งแต่คบกันได้ไม่นาน เราต่างรู้ใจตัวเองว่าเราอยากใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เราก็ต้องทำให้ถูกต้อง จนมาถึงวันนี้ เรามีความสุขมากที่ได้ทำตามหัวใจตัวเอง”
เบนซ์บอกว่า ทุกวันนี้ เขาและพอลลี่จะอยู่ที่เรือนหอนี้ประมาณสัปดาห์ละ 3-4 วัน สลับกับการไปนอนค้างที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ด้วย ส่วนแผนปั๊มทายาท คาดว่าจะเป็นปีหน้า ซึ่งเจ้าตัววางแผนว่า อยากมีเจ้าตัวเล็กมาวิ่งเล่นในบ้านสัก 2 คน และจะปลื้มสุดๆ ถ้าได้ลูกสาวทั้งคู่เพราะชอบเด็กผู้หญิงเป็นทุนเดิม หลังจากดื่มด่ำเรื่องราวความรักของทั้งคู่จนอิ่มเอมไปทั้งหัวใจ และเชื่อเหลือเกินว่า กามเทพทำหน้าที่จับคู่ได้อย่างไร้ที่ติ เพราะตลอดเวลาร่วมชั่วโมง ทั้งคู่ไม่ได้แค่ทำให้เราเห็น แต่ยังทำให้เราสัมผัสถึงความรักที่มีให้แก่กัน สิ่งที่ทำให้ความรักครั้งนี้ของทั้งคู่ออกมาสวยงามเช่นนี้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะทั้งคู่เลือกที่จะเรียนรู้และนำบทเรียนความรักครั้งเก่ามาสร้างรักครั้งใหม่ให้ดีที่สุด
“ผมใช้ประสบการณ์ความรักมาสอนตัวเองว่า เวลาที่จะชอบหรือรักใคร อย่าชอบในสิ่งที่เขาเหมือนหรือคล้ายกับความชอบของเรา อย่าคิดว่าการที่คนเราจะอยู่ด้วยกันได้เพราะเรามีอะไรที่เหมือนกัน บางคู่จบความรักด้วยเหตุผลว่าเราต่างกันเกินไป ความจริงแล้วความคล้ายกัน ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดอะไรเลย แต่เป็นเพียงแค่สิ่งที่ทำให้คนสองคนมีกิจกรรมที่จะใช้เวลาร่วมกันได้มากขึ้นเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าความรักของเราจะไปรอด
เพราะฉะนั้น แทนที่จะมองแบบเดิม ผมเลือกมองสิ่งที่ผมไม่ชอบ หรือ สิ่งที่เราต่างกัน จากนั้นมาพิจารณาว่าเรารับได้หรือไม่ เพราะตราบใดเรามองหรือชอบเขาตามสิ่งที่เราชอบ นั่นแปลว่าเรากำลังชอบหรือรักตัวเอง แต่สิ่งที่ควรจะเป็นคือ เราต้องชอบในสิ่งที่เขาต่าง หรือ รับในสิ่งที่เราไม่ชอบได้ นั่นต่างหาก แปลว่าเรารักเขา” เบนซ์กล่าวด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความศรัทธาในความรัก
ขณะที่สาวห้าวเสริมว่า ทุกความรักที่จบลง นอกจากความเสียใจ สิ่งที่ได้มาคือ การเรียนรู้ถึงข้อเสียของตัวเอง ได้เห็นด้านที่ไม่ดีของตัวเราแล้วนำมาปรับปรุง ถึงจะแก้ไม่ได้ 100% แต่อย่างน้อยเราก็เป็นคนที่ดีขึ้น
“แต่ก่อนพอลลี่เป็นคนตรงมาก คิดอะไรก็พูดออกมา แต่พอโตขึ้น มาเจอกับพี่เบนซ์ ทำให้เรารู้ว่า บางครั้งจะพูดอะไร ก็ต้องถนอมน้ำใจคนที่อยู่ใกล้ตัวให้มาก คิดก่อนพูด อย่างน้อยคำพูดของเราจะได้ไม่ไปทำร้ายความรู้สึกของคนที่เรารัก” พอลลี่กล่าวทิ้งท้าย
ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ สิ่งที่ทั้งคู่เชื่อเหลือเกินว่าเป็นพลังสำคัญ คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ หากแต่ “มันคงเป็นความรัก”