>>ภาพรอยยิ้มสดใสของ “ปรางค์-อภินรา ศรีกาญจนา” ทายาทคนโตของบ้าน “ศรีกาญจนา” ยามที่เธอพูดคุยและบอกเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตที่เปลี่ยนไปตามสเต็ปของวัยยังคงทรงพลังและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เสมอ อาจเพราะความที่เธอเป็นสาวคิดบวก และมองโลกในมุมที่สวยงามเสมอ ทำให้ตลอดเวลาที่เธอพาเราท่องไปในโลกของเธอ เราจึงรู้สึกสบายใจ และได้รับแรงบันดาลใจติดมือเป็นของฝากกลับมามากมาย
ถึงแม้จะเกิดมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจหลากหลาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเส้นทางชีวิตของเธอจะต้องถูกขีดไว้ให้เดินตามเส้นทางแห่งความสำเร็จที่ครอบครัวปูไว้เบื้องหน้า หากแต่ทุกย่างก้าวของชีวิต เธอคิดและไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่จะก้าวเดินไป ทุกวันนี้ปรางค์สาวสวยร่างเล็ก เจ้าของใบหน้าสดใสเข้ามารับหน้าที่รองประธานสายงานฝ่ายพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) ช่วยคุณพ่อ (จุลพยัพ ศรีกาญจนา) สานต่อธุรกิจของครอบครัว ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ควบคู่ไปกับการเป็นหนึ่งในผู้บริหารของสตาร์ทอัพเพื่อสังคมอย่าง “U Drink I Drive” (ยูดริงก์ ไอไดรฟ์) ผู้ให้บริการส่งคนขับรถมืออาชีพไปทำหน้าที่สารถีรับส่งผู้ขับขี่ที่ไปดื่มสังสรรค์ในงานปาร์ตี้ หรืองานเลี้ยงสังสรรค์ถึงบ้าน เพื่อช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนจากสาเหตุเมาแล้วขับ
ผู้บริหารสาวเก่งในวัย 27 ปี พาย้อนวันวานไปถึงจุดเริ่มต้นก่อนจะก้าวมาสู่การสานต่อธุรกิจประกันภัยของครอบครัวว่า เธอมีความตั้งใจแน่วแน่ว่าอยากเลือกเรียนต่อปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ ประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าเธอจะพูด-เขียนภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลยก็ตาม ปรางค์บอกว่าเหตุผลที่เป็นแรงผลักดันให้เธอตัดสินใจช่นนั้น เพราะเธอมีความชื่นชอบในการเรียนภาษาเป็นทุนเดิมบวกกับมีความเชื่อส่วนตัวว่า ภาษาจะช่วยทลายกำแพงพรมแดนที่กั้นมิตรภาพของคนเราได้ ดังนั้นเพื่อจะเปิดโลกอันกว้างใหญ่ เธอต้องเรียนรู้ภาษาที่ 3
“ตอนนั้นปรางค์คิดแบบเด็กอายุ 18 ที่มีความกล้าบ้าบิ่นอยากจะใช้ภาษาเปิดโลกกว้าง เลยปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ว่าอยากไปเรียนที่ญี่ปุ่น (ทั้งที่ปรางค์พูดหรือสื่อสารภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลย) ซึ่งปรางค์ก็โชคดีมาก ที่คุณพ่อคุณแม่ท่านให้การสนับสนุน ท่านไม่เคยปิดโอกาสลูก ด้วยคำว่าเป็นไปไม่ได้ สำหรับปรางค์ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตเหมือนกันนะ เราต้องไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในที่ที่เราอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ พูดภาษาเขาไม่ได้ ต้องปรับตัวและเรียนรู้หลายอย่าง ที่สำคัญยังเป็นการฝึกให้เรารู้จักดูแลตัวเองเป็นครั้งแรกหลังจากที่เราเติบโตมาในครอบครัวที่ปกป้องเรามาตลอด”
หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ปรางค์ตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทด้านมนุษยศาสตร์และสังคมที่ London School Of Economic & Political ที่อังกฤษ จากนั้นจึงกลับมาหางานที่เมืองไทย ในเวลานั้นปรางค์บอกกับตัวเองว่าจะลองทำงานนอกบ้านเพื่อเก็บประสบการณ์ให้มากที่สุด เพราะเธอเชื่อว่าการไปเป็นลูกน้องคนอื่นก่อนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการที่เราโดนคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวตำหนิ ทำให้เรามีแรงส่งที่อยากจะพัฒนาตัวเองมากกว่า
“ข้อดีของการไปทำงานในบริษัทที่ไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว คือ เราจะได้เรียนรู้และอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่ทุกคนตั้งใจจะดีต่อเรา เพราะเขาเลื่อมใสและเคารพคุณพ่อคุณแม่เราอยู่แล้ว จนความรักความเมตตาที่มีแผ่มาถึงเราด้วย”
ด้วยเหตุนี้หลังจากเรียนจบเธอจึงเริ่มต้นทำงานที่บริษัทของญี่ปุ่นเป็นเวลา 1 ปี เพื่อสั่งสมประสบการณ์ ก่อนตัดสินใจเข้ามาช่วยงานที่บริษัทประกันภัย สายงานที่เธอไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสมาทำ แต่เพราะมองเห็นโอกาสจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เธอจึงไม่รีรอที่จะคว้าโอกาสอย่างไม่ลังเลว่าตัวเองไม่ได้เรียนจบด้านธุรกิจมาแล้วจะเป็นอุปสรรคกับการทำงาน เพราะเธอเห็นตัวอย่างของสาวเก่งอย่างคุณแม่ (ยูกิ ศรีกาญจนา) ที่แม้ไม่ได้เรียนจบสายตรงกับงานที่ทำ แต่เพราะอาศัยการเรียนรู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้งจนสามารถเป็นผู้บริหารสาวเก่งของเพนดูลัมได้เช่นกัน
“จนถึงวันนี้ 3 ปีแล้วที่ปรางค์เข้ามาช่วยงานคุณพ่อ ปรางค์ยังจำได้แม่นยำว่าโจทย์แรกที่คุณพ่อมอบให้ปรางค์คือ จะทำอย่างไรให้ประกันไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่อ ซึ่งสำหรับปรางค์มองว่า ต้องทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีราคาที่เซ็กซี่ จับต้องได้ ขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยรูปแบบการสื่อสารที่เข้าถึง พร้อมชูจุดแข็งของเราในเรื่องบริการมาเป็นอาวุธ” สาวร่างเล็ก เจ้าของรอยยิ้มสดใสเล่าด้วยแววตามุ่งมั่น พร้อมเฉลยว่า จากไอเดียตั้งต้นนี้เองนำไปสู่การออกผลิตภัณฑ์ประกันใหม่ๆ ของบริษัท micro-insurance ที่ราคาไม่ถึง 2,000 บาท
3 ปีที่ปรางค์ได้ทำงานกับคุณพ่อ ถือเป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่า เธอได้ซึมซับบทเรียนในการทำธุรกิจเพื่อนำมาปรับใช้มากมาย
“เวลาทำธุรกิจคุณพ่อท่านไม่เคยยกเรื่องเงินขึ้นมาพูด เพราะคุณพ่อบอกเสมอว่า ความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของคนเรา คือ ความสำเร็จของครอบครัว ถ้าครอบครัวไม่มีความสุข ต่อให้หาเงินได้มากเท่าไหร่ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย นอกจากนี้คุณพ่อยังเน้นเรื่องความยุติธรรม และธรรมาภิบาลในการปกครองคน คุณพ่อสอนว่าการเป็นผู้นำที่ดี ไม่ได้วัดที่ความละเอียดเรื่องตัวเลข หรือมีวิสัยทัศน์ที่ดีเท่านั้น แต่ต้องใส่ใจรายละเอียดของลูกน้องด้วย”
นอกจากหลายปีมานี้ ผู้บริหารสาวคนเก่งจะได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาจากคุณพ่อมาแบบครบทุกกระบวนท่าแล้ว เธอยังซึมซับการทำงานจากเวิร์กกิ้งมัมคนเก่งที่ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ในการทำธุรกิจให้ลูกสาวคนนี้เช่นกัน งานนี้ปรางค์คลี่ยิ้มก่อนบอกว่า คุณพ่อและคุณแม่จะแตกต่างกันคนละแนวเลย คุณพ่อจะเป็นเชิงแนะนำสั่งสอน ขณะที่คุณแม่จะเป็นแนวตักเตือน และทำเป็นแบบอย่าง
“คุณแม่ท่านจะเป็นคนตรงๆ มีความยุติธรรมมาก ไม่ว่าจะกับลูกๆ ทั้งสามคนเอง หรือกับพนักงาน เวลาทำงาน คุณแม่ไม่ได้แบ่งแยกว่านี่คือลูกหรือพนักงาน แต่ในเวลางาน ทุกคนคือพนักงานเหมือนกันหมด (ยิ้ม) สำหรับปรางค์คุณแม่เป็นซูเปอร์ฮีโร่ ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ ปรางค์ไม่เคยเห็นคุณแม่เฟลในบทบาทไหน ไม่ว่าจะในฐานะคุณแม่ เพื่อนสนิทของลูก เพื่อนสนิทของสามี หรือการเป็นที่พึ่งของบริษัท ท่านทำทุกบทบาทได้เป็นอย่างดี”
อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้นอกจากปรางค์จะเป็นลูกไม้ใต้ต้นที่ช่วยสานต่อธุรกิจของครอบครัว เธอยังกำลังผจญภัยไปในโลกธุรกิจอีกใบที่เธอสร้างขึ้นด้วสองมือ ในฐานะหนึ่งในผู้บริหารของ “U Drink I Drive” ซึ่งเป็นอีกงานที่ผู้บริหารสาวเก่งยอมรับว่า ทุ่มสุดตัว ใช้เงินเก็บที่มีจากการทำงานปีแรกมาลงทุนกับธุรกิจนี้
“ปรางค์มีฝันอยากทำธุรกิจของตัวเอง และ U Drink I Drive ก็เข้ามาในจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม คือหลังจากปรางค์เข้ามาทำงานที่บริษัทคุณพ่อได้ไม่กี่เดือน ปรางค์มีโอกาสพบกับหนึ่งในหุ้นส่วนของ U Drink I Drive ที่มารอพบคุณลุงที่บริษัท เพื่อหารือเกี่ยวกับรูปแบบประกันที่จะตอบโจทย์กับบริการของ Start up โดยบังเอิญ ปรางค์เองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับบริการนี้มาบ้าง พอยิ่งได้คุยไอเดียกับคนที่ทำจริงๆ เลยยิ่งรู้สึกสนใจ เพราะปรางค์มองว่า นี่แหละคือประกันภัยแห่งอนาคต เราควรจะมีผลิตภัณฑ์ประกันเพื่อป้องกันคนจากอุบัติเหตุ ไม่ใช่รอให้เกิดอุบัติเหตุก่อน แล้วค่อยเข้าไปดูแลแล้วคิดจะซื้อประกัน เพราะจากสถิติ 80% ของคนไทยเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ ในจำนวนนี้อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการเมาแล้วขับ ดังนั้นบริการนี้คือการเปลี่ยนวิธีคิด การใช้ชีวิตของคนให้ปลอดภัยมากขึ้น”
ปรางค์บอกว่า แม้ในช่วงที่เธอตัดสินใจเข้ามา เป็นช่วงที่หุ้นส่วนเดิมของ U Drink I Drive เริ่มถอนตัว บริษัทเหลือเงินไม่กี่พันบาท แต่สัญชาตญาณของปรางค์บอกว่าไอเดียนี้เวิร์ก ดังนั้นแค่ 2 สัปดาห์หลังจากที่เจอกับทีมผู้บริหาร U Drink I Drive ปรางค์ก็ตัดสินใจนำเงินเก็บส่วนตัวที่มีมาลงทุน โดยไม่รบกวนคุณพ่อคุณแม่ และทุ่มเทอย่างเต็มที่กับการนำพาธุรกิจนี้ จนถึงวันนี้ความตั้งใจที่เราพยายามมาทั้งหมดก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง โดยเธอตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปี จะให้ U Drink I Drive กลายเป็นแอปพลิเคชันที่ทุกคนที่เป็นเจ้าของรถยนต์มีติดไว้ในสมาร์ทโฟนให้ได้
ในส่วนของการสานต่อธุรกิจครอบครัว ปรางค์ย้ำว่า เธอยังตั้งใจทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของตัวเองให้ดีที่สุด และตั้งเป้าว่าจะเรียนรู้งานในบริษัทให้ครบทุกแผนก
“ถ้าวันหนึ่งปรางค์จะเดินออกจากที่นี่ไป ปรางค์ต้องมั่นใจว่าได้เรียนรู้งานครบทั้ง 100% เมื่อถึงวันนั้นแล้ว ปรางค์อาจจะกลับมานั่งคุยกับตัวเองอีกครั้งว่า เรายังต้องการอะไรในชีวิต ปรางค์มีความเชื่อว่า คนเรามีชีวิตเดียว แต่สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง เพราะฉะนั้นปรางค์จึงเลือกที่จะไม่ปิดโอกาสในการเรียนรู้ของตัวเอง”
หลังจากพูดคุยกันมาอย่างออกรสร่วมชั่วโมง ผู้บริหารสาวเจ้าของความคิดความอ่านที่สะท้อนถึงความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ยังกล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าประทับใจว่า เธออาจจะโชคดีกว่าคนอีกหลายคน ที่ตัวเองมีสปริงบอร์ดที่ดีดเราไปได้ไกลกว่าคนอื่น เราได้การศึกษาที่ดี ได้ไปเรียนเมืองนอก มีคุณพ่อคุณแม่คอยสอน มีธุรกิจของที่บ้านที่คอยพยุง แต่ปรางค์มองว่า ชีวิตเราจากนี้เป็นช่วงที่ไม่มีสปริงบอร์ดอีกแล้ว เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าในทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาด้วยตัวเอง
“ปรางค์เชื่อว่าคนที่เก่งไม่ใช่คนที่ทำได้ทุกอย่าง แต่เป็นคนที่มีความสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง ที่สำคัญทำแล้วต้องหาตอนจบที่สวยงามให้กับทุกสิ่งที่ลงมือทำ” ผู้บริหารสาวหน้าหวานกล่าวทิ้งท้าย :: Text by FLASH