>>ไลฟ์สไตล์คนเมืองส่วนใหญ่ทำให้เราโดนมลภาวะรอบตัวเล่นงานแบบไม่รู้ตัว และเราไม่สามารถหลบหนีมลภาวะได้เลยถึงแม้จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ภายในอาคาร หลายคนอาจลืมนึกไปว่าพื้นที่ปูพรม และกองเอกสารในออฟฟิศเป็นแหล่งสะสมฝุ่นอันดับต้นๆ อีกทั้งการทำงานอยู่ในห้องปรับอากาศเย็นฉ่ำนอกจากจะเป่าให้ฝุ่นฟุ้งวนเวียนไปทั่วห้องและมาเกาะตามผิวของเราโดยที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแล้ว ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผิวแห้ง และถึงแม้จะไม่ได้ออกแดดกลางแจ้งโดยตรง เราก็ยังได้รับรังสียูวีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้ทุกวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นมลภาวะที่ทำให้ผิวของเราบอบบางแพ้ง่ายในที่สุด
นายแพทย์ นิธิ ตั้งศิริทรัพย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังและศัลยกรรมผิวหนัง กล่าวว่า “จากผลสำรวจพบว่า ผู้หญิงไทยกว่าร้อยละ 61 มีผิวบอบบางแพ้ง่าย ในขณะที่อีกร้อยละ 57 มีผิวแห้งถึงผิวธรรมดา โดยมลภาวะเป็นหนึ่งในสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้ผู้หญิงไทยมีผิวที่บอบบางแพ้ง่าย อีกทั้งผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในเมืองประสบปัญหาผิวแห้งกร้าน หมองคล้ำ เนื่องจากมลภาวะและสภาพแวดล้อมต่างๆ รอบตัว เช่น ฝุ่นละออง ควันพิษ และรังสียูวี เป็นต้น ซึ่งล้วนก่อให้เกิดอนุมูลอิสระมาทำร้ายผิว นอกจากนี้ผิวที่บอบบางแพ้ง่ายมักมีปราการปกป้องผิว (skin barrier) ที่ไม่แข็งแรง รวมถึงมีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่ไม่ดีเท่าผิวที่แข็งแรงอยู่แล้ว จึงทำให้ยิ่งไวต่อการถูกทำร้ายโดยอนุมูลอิสระมากยิ่งขึ้น เกิดเป็นวัฏจักรทำให้ผิวอ่อนแอ บอบบาง แพ้ง่ายมากขึ้นในระยะยาว"
นายแพทย์นิธิ ชี้ถึงไลฟ์สไตล์คนเมืองที่เป็นภัยต่อผิวหน้า และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลปกป้องผิวจากมลภาวะ ดังนี้
แดดแรง กลัวดำ....
ประเทศไทยติดอันดับหนึ่งในสามประเทศที่มีระดับรังสียูวีสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายคนจึงเลือกป้องกันรังสียูวีด้วยครีมกันแดด โดยคิดว่าครีมกันแดดชนิดใดก็เหมือนๆ กัน แต่ที่จริงเราควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB ซึ่งล้วนทำร้ายผิวด้วยกลไกที่ต่างกัน นอกจากนี้ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือ Antioxidant Complex ยังช่วยเสริมกระบวนการต่อกรกับอนุมูลอิสระจากแสงแดดและมลพิษที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ซึ่งล้วนเป็นตัวการร้ายทำลายผิว และเป็นต้นเหตุของริ้วรอยก่อนวัย และความหมองคล้ำ
ยิ่งล้าง ยิ่งสะอาด?.....
การล้างหน้าทำความสะอาดผิวบ่อยเกินไปทำให้ผิวหน้าสูญเสียความชุ่มชื้นเกินสมดุล โดยทำให้ชั้นไขมันปกป้องผิว (skin lipid barrier) ซึ่งประกอบด้วยไขมันตามธรรมชาติที่ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นของชั้นผิวภายนอกถูกทำลายไปด้วย หากเกราะปราการชั้นผิวนี้ถูกทำลายลง ผิวจะสูญเสียความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นผิวที่ขาดน้ำและไวต่อสารก่อการระคายเคือง จึงควรล้างหน้าวันละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่สามารถล้างทำความสะอาดเครื่องสำอาง สารอนุภาคละอองฝุ่นที่ตกค้าง และสิ่งสกปรกต่างๆ ได้หมดจดอย่างอ่อนโยนโดยไม่ทิ้งให้ผิวรู้สึกแห้งตึง
อากาศมันร้อน เลยต้องนอนแอร์.....
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเป็นหนึ่งในพื้นฐานการดูแลผิวที่ดีที่สุด แต่อย่าลืมว่าปัจจุบันเรามักจะเปิดแอร์นอน และเครื่องปรับอากาศมักทำให้อากาศแห้งจนทำให้ผิวของเราสูญเสียความชุ่มชื้นในยามนอนหลับ การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวในเวลากลางคืนจึงสำคัญมาก โดยควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เสริมความแข็งแรงของปราการความชุ่มชื้นให้ผิวเพื่อช่วยป้องกันอนุภาคละอองฝุ่นไม่ให้เกาะติดที่ผิว และฟื้นบำรุงเกราะปราการชั้นผิวให้กลับมาแข็งแรงขึ้น ทำให้ไวต่อการระคายเคืองลดลง ที่สำคัญผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารก่อการระคายเคือง น้ำหอม และสารกันเสีย จำพวกพาราเบน
ชีวิตที่ต้องเร่งรีบ.....
วิถีชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ รวมถึงความเครียดนั้น ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถฟื้นฟูตนเองได้ทันท่วงที แต่ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณอย่าง ฟิสิโอเจล ได้มีการคิดค้น แอดวานซ์ ฟิสิโอเจล ไบโอมิมิค เทคโนโลยี™ ซึ่งเป็นนวัตกรรมด้านผิวพรรณล่าสุดเอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ที่สามารถชดเชยไขมันทางธรรมชาติที่ขาดหายในผิวที่แห้งเป็นพิเศษ คอนเซ็ปท์ของนวัตกรรม ไบโอมิมิค เทคโนโลยี นี้คือการเลียนแบบลักษณะไขมันในโครงสร้างของผิว โดยกลุ่มไขมันเหล่านี้จะเรียงตัวกันเป็นชั้นที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับการเรียงตัวของชั้นไขมันที่พบในเซลล์ผิวชั้นนอกตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ชดเชยไขมันในส่วนที่ขาดหาย พร้อมช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นไว้ให้กับเซลล์ผิวชั้นนอก ทั้งยังปกป้องผิวจากแบคทีเรียหรือปัจจัยจากภายนอกต่างๆ ที่ทำร้ายผิวอีกด้วย
“หัวใจสำคัญของผิวสุขภาพดี คือผิวที่มีความชุ่มชื้นเพียงพอ ยิ่งผิวมีเกราะป้องกันที่แข็งแรง และมีความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีเท่าไหร่ จะยิ่งทำให้มลภาวะและสารก่อการระคายเคืองต่างๆ ผ่านกลไกการปกป้องผิวตามธรรมชาติเข้ามาทำร้ายผิวได้น้อยลง” นายแพทย์นิธิกล่าว :: Text by FLASH