xs
xsm
sm
md
lg

ณัฐปรี พิชัยรณรงค์สงคราม คลื่นลูกใหม่รุ่นที่ 4 แห่งธุรกิจเรือข้ามเจ้าพระยา ผู้พลิกโฉม ‘ท่ามหาราช’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


>>แม้เป็นเพียงคอมมูนิตี้มอลล์เล็กๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ทันทีที่เปิดให้บริการไม่นาน ‘ท่ามหาราช’ กลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยวและเหล่าฮิปสเตอร์ชาวกรุงไปอย่างรวดเร็ว เบื้องหลังความสำเร็จล้วนมาจากความทุ่มเทของ “ปิ๋ม” ณัฐปรี พิชัยรณรงค์สงคราม ลูกสาวของ สุภาพรรณ พิชัยรณรงค์สงคราม หญิงแกร่งผู้คุมหางเสือธุรกิจเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีอายุเก่าแก่มากกว่า 90 ปี หากความเป็นหน้าใหม่ในวงการธุรกิจ ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่จะก้าวเดิน ณัฐปรีต่อยอดธุรกิจของครอบครัวสู่การพัฒนา ‘ริวา อรุณ กรุงเทพฯ’ และ ‘ท่าวังหลัง’

สำหรับชื่อของ “ปิ๋ม” ณัฐปรี พิชัยรณรงค์สงคราม คงเป็นรู้จักกันบ้าง ในฐานะทายาทผู้มีสายเลือดของ 3 ตระกูลดังของเมืองไทยอย่าง สิงหลกะ, มีชูธน, พิชัยรณรงค์สงคราม แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาทั้งในวงสังคม วงการค้าปลีก และแวดวงอสังหาริมทรัพย์ คงได้รู้จักเธออีกบทบาทกับมาดผู้บริหารไฟแรงที่รั้งตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุภัทรา เรียลเอสเตท จำกัด ซึ่งนำที่ดินของบริษัทในเครือมาพัฒนาใหม่ เป็นคอมมูนิตี้มอลล์เล็กๆ ชื่อ ‘ท่ามหาราช’ โดยก่อนหน้านี้เธอเคยชิมลางงานด้านอสังหาริมทรัพย์มาแล้ว จากการพัฒนาบูติกโฮเต็ล ริวา เซอร์ยา (Riva Surya) อีกหนึ่งธุรกิจในเครือของครอบครัว

“ท่ามหาราชคือพื้นที่ที่มีมาดั้งเดิมอยู่แล้ว แต่เราอยากพัฒนาให้มีประโยชน์และสวยงามมากกว่านี้ ทำให้เราหันมาศึกษาอย่างจริงจังว่าควรจะเป็นอะไร จ้างบริษัทวิจัย ลงพื้นที่สัมภาษณ์ ดูโซนนิ่ง รวมถึงปรึกษาบริษัทสถาปัตย์ ศึกษากันอยู่ราว 2 ปี จนตัดสินใจว่าจะทำเป็น ไลฟ์สไตล์ คอมมูนิตี้ รีเทล ริมน้ำ ชูความที่เราเป็นท่าเรือ เพราะบริษัทเราโตมาจากธุรกิจเรือโดยสาร ทำให้ตรงนี้มีท่าเรือด้วย เพราะอย่างที่ทราบแถวนี้ไม่ได้มีที่จอดรถเยอะ เราจึงอยากให้คนมาหาเราโดยทางเรือ” ผู้บริหารสาวเกริ่นถึงจุดเริ่มต้นของโครงการที่มีมูลค่ามากกว่า 500 ล้าน

ด้วยแนวคิดที่ต้องการคงเอกลักษณ์ของพื้นที่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ณัฐปรีคงชื่อเดิมมาใช้เป็นชื่อคอมมูนิตี้มอลล์ เพราะไม่เพียงเป็นชื่อที่ให้ความรู้สึกทรงพลัง ที่มาจากชื่อถนนด้านหน้าโครงการ คือ ถนนมหาราช ซึ่งเป็นชื่อพระราชทาน อีกประการหนึ่งคือต้องการประกาศชื่อเสียงของท่าเรือแห่งนี้ให้เป็นที่รู้จักด้วย

“ท่ามหาราชมีมานานแล้ว แต่ไม่มีคนรู้จัก ทุกคนจะคุ้นเคยกับท่าช้าง ท่าพระจันทร์ มากกว่า เราจึงคิดว่าทำอย่างไรที่จะสร้างสตอรี่ให้ท่ามหาราชโด่งดังเท่ากับท่าช้าง ท่าพระจันทร์ ก็เป็นความท้าทายของเราเหมือนกัน เมื่อก่อนถามแท็กซี่ เขาจะไม่รู้ว่าท่ามหาราชคืออะไร อยู่ตรงไหน แต่ตอนนี้ท่ามหาราชกลายเป็นเดสติเนชั่นที่มีคนรู้จัก แค่นี้เราดีใจแล้วนะ”

ช่วงเวลาไม่ถึง 2 ปีที่เปิดให้บริการ ท่ามหาราชเป็นที่รู้จักและได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าย่อมสร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่ฟูมฟัก แต่ณัฐปรีไม่ได้หยุดความมุ่งมั่นของเธอเพียงแค่นั้น ยังคงต่อยอดความคิด ครีเอตกิจกรรมใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อสร้างสิ่งที่เธอแลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยให้เติบโตไปอย่างมั่นคง นั่นจึงเป็นที่มาของกิจกรรม Tha Maharaj Night Bike Market ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นครั้งที่ 4 แล้ว

“เราเปิดมาได้ปีกว่า นับตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ก็ยังคงเรียนรู้ ถามว่าตอนนี้ก็แฮปปี้ แต่เราคิดว่าต้องไปได้อีก เมื่อก่อนท่ามหาราชอาจดังเรื่องลอยกระทง ช่วงหนึ่งนักศึกษาต้องมาถ่ายรูปรับปริญญาที่นี่ หรือช่วงหนึ่งมาจับโปเกมอน แต่ปิ๋มไม่อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามเทรนด์ เราจึงพยายามหากิจกรรมที่ทุกคนทำร่วมกันได้ สิ่งที่เราครีเอตและรู้สึกภูมิใจก็คืองานเทศกาลจักรยาน ทำให้ที่ผ่านมาเราเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตรงนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มตลาดที่เราพยายามสร้างขึ้น และเราก็ทำได้” ณัฐปรีเล่าถึงกิจกรรมที่ริเริ่มอย่างภูมิภาค

การเข้ามากุมบังเหียนโครงการที่มีมูลค่ามหาศาล ตั้งแต่อายุยังน้อย ยิ่งพื้นเพครอบครัวของณัฐปรี แวดล้อมไปด้วยหญิงเก่ง ไม่ว่าจะเป็นคุณยาย (คุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ) คุณแม่ หรือแม้แต่คุณน้า (ภัทราวดี มีชูธน) แน่นอนย่อมสร้างความกดดันให้กับซีอีโอน้องใหม่คนนี้ แต่ในทางกลับกันเธอยอมรับว่า ‘ครอบครัว’ คือผู้ที่คอยสนับสนุนและช่วยเหลือเธอในทุกด้าน โดยเฉพาะประสบการณ์ที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้

“กดดัน แต่ไม่เครียด เพราะเราทำการบ้านมา เราอยู่ในกระบวนความคิดของมันทุกสเต็ป ฉะนั้นรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ปิ๋มเป็นคนไอเดียเยอะ คุณแม่ก็เช่นกัน ทุกวันนี้คุณแม่ยังทำงานอยู่จึงช่วยแนะปิ๋มในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์และคนที่รู้จักพื้นที่ดี สอนให้มองหลายๆ มุม การดีลกับลูกค้า อย่างตอนปิ๋มจัดงานอีเวนต์ต่างๆ คุณแม่จะแนะนำว่าต้องคุยกับใครบ้าง ต้องประสานงานกับสำนักงานเขต เช็กฝ่ายกฎหมายไหม คำนึงถึงความปลอดภัย”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเติบโตในครอบครัวนักธุรกิจที่มีกิจการหลากหลายและสืบทอดกันมาในหลายเจเนอเรชัน ย่อมได้รับอิทธิพลทางความคิดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ไอเดียที่มาต่อยอดธุรกิจโดยตรง แต่ทุกคำสอนล้วนเป็นเข็มทิศในการสร้างธุรกิจให้ก้าวเดินไป เช่นเดียวกับณัฐปรีที่เล่าถึงสิ่งที่ซึมซับจากรุ่นสู่รุ่นว่า เนื่องจากคุณยายเป็นนักกฎหมาย ท่านจึงเป็นคนรอบคอบมาก นิสัยนี้ได้ถ่ายทอดมาถึงคุณแม่ ที่มีสไตล์การทำงานแบบสเต็ปบายสเต็ปและมักสอนเธอเสมอว่า ก่อนจรดปากกาเซ็นสัญญาต้องอ่านให้ละเอียดก่อน แม้แต่เงินทองก็อย่าได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

“คุณแม่จะพูดตลอดว่าเงินทุกบาททุกสตางค์มีค่าหามายาก ทุกวันนี้ก็ยังพูดอยู่ ทำให้เราเป็นคนรอบคอบ โดยเฉพาะเรื่องบริษัท คุณแม่ทำงานเหมือนอุทิศให้บริษัท แม่จะสอนว่าพนักงานต้องมีความสุขและอย่าไปเอาเปรียบบริษัท ฉะนั้นปิ๋มจะเป็นคนดูแลเรื่องจัดซื้อเอง ทุกอย่างจะผ่านตาปิ๋มหมด ต่อให้เป็นเงิน 300 บาท เพราะเงินเราจะไปไหนต้องรู้ ไม่ถึงกับดูทุกบริษัท เพียงแต่ในส่วนของท่ามหาราช คือเราดูเอง 100%”

เมื่อย้อนกลับมามองตัวเอง ณัฐปรีไม่เคยให้คำจำกัดความว่าทำงานสไตล์ไหน บอกเพียงว่ายืนหยัดได้ทุกวันนี้เพราะมีทีมงานที่ให้ “ใจ” เช่นเดียวกับที่เธอให้ใจพวกเขา ชนิดว่ากัดฟันลุยมาด้วยกันตั้งแต่โครงการท่ามหาราชยังเป็นเพียงโครงร่างในกระดาษ

ตลอดเวลากว่า 6 ปีของการบุกเบิกจนถึงเปิดบริการโครงการท่ามหาราช หลายคนอาจคิดว่าขั้นตอนที่ยากที่สุดคือการก่อสร้าง แต่จากปากของผู้บริหารสาว ช่วงเวลาท้าทายที่สุดคือการหาผู้เช่าในเวลาที่ไม่มีใครรู้จัก ต้องเผชิญกับคำปฏิเสธมากกว่าตอบรับ บางครั้งรวมถึงคำปรามาสในสิ่งที่เธอริเริ่ม แต่ณัฐปรีถือคติคิดบวก เพราะสำหรับธุรกิจทุกคนมีโอกาสเลือก มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธและไม่เชื่อมั่นในตัวเธอ หากสิ่งที่เธอทำได้คือดับเครื่องชนเดินหน้าลุย โดยมีครอบครัวเป็นกำลังใจสำคัญ

“ปิ๋มว่าทุกคนต้องผ่านจุดนี้ ไหนๆ เราก็เรียนปริญญาโทด้านอสังหาฯ มาแล้ว ประสบการณ์ด้านอสังหาฯ ก็พอมี คิดว่าลองดู ช่วงนั้นก็จะหลับหูหลับตาลุย ยกหูโทร.หาร้านค้าเอง อย่างตอนจัดงานจักรยาน ช่วงแรกคือไม่รู้จักใครเลย อาศัยเปิดอินเทอร์เน็ตเสิร์ชกูเกิล เฟซบุ๊ก หาร้านจักรยานในกรุงเทพฯ ทุกอย่างคือโทร.เองหมด มีคนถามทำไมไม่จ้างออแกไนเซอร์ ตอนนั้นคิดแล้วว่าโปรเจกต์นี้ทำยังไงก็ขาดทุน โทรศัพท์เราก็มี ก็ลองโทร.เอง ลองดูสักตั้งจะเสียหายตรงไหน พอลุยกันมาก็โอเค”

กลายเป็นซีอีโอขาลุยไปโดยปริยาย ยิ่งกำลังสนุกกับการทำงาน พลังคลื่นลูกใหม่เช่นเธอ จึงไม่ได้จบแค่โครงการท่ามหาราชเท่านั้น แต่ยังขยายมายังธุรกิจบูติกโฮเต็ล อย่าง ริวา อรุณ กรุงเทพฯ (Riva Arun Bangkok) ธุรกิจในเครือ ภายใต้บริษัท ริวา อรุณ จำกัด เท่านั้นไม่พอยังมีโปรเจกต์พัฒนาพื้นที่ท่าวังหลัง ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท สุภัทรา จำกัด ให้เป็นไลฟ์สไตล์ ชอปปิ้งแห่งใหม่

“จริงๆ เราไม่ได้ตั้งใจทำทั้งหมดในเวลาเดียวกัน เพียงแต่บังเอิญมาในจังหวะเดียวกัน อย่างท่าวังหลังเจอน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ถึงเวลาที่ต้องปรับปรุงพื้นที่ ส่วน ริวา อรุณ เป็นช่วงเวลาที่ผู้เช่าเดิมหมดสัญญาพอดี ทุกอย่างจึงมาพร้อมกันหมด ก็แอบเหนื่อยเหมือนกัน แต่ดีว่าปิ๋มไม่ได้เป็นเซ็นเตอร์ทั้งหมด จะมีเพียงท่ามหาราชเท่านั้นที่ดูแลเองทั้งหมด” ผู้บริหารสาวเล่าถึงโปรเจกต์ที่รับผิดชอบ แม้ไม่ได้กระโดดลงไปจัดการเต็มตัว แต่ก็ทำให้แต่ละวันณัฐปรีต้องวิ่งรอกงานถึง 3 แห่ง

“อาศัยนั่งเรือข้ามฟากและนั่งตุ๊กตุ๊ก (หัวเราะ) จริงๆ โลเกชั่นงานอยู่ใกล้ๆ กัน วันหนึ่งปิ๋มสามารถไปได้ 4 ที่ โดยรู้สึกว่ายังจัดการได้ ก็รู้สึกอะเมซิ่งนะ แต่ส่วนใหญ่ปิ๋มจะอยู่ที่ท่ามหาราช คือถ้าอยู่เมืองไทยก็ทำงาน 7 วัน ถ้าเสาร์-อาทิตย์ไหนอยากพักผ่อนจะดูว่ายุ่งมากไหม”

“เราเป็นเซอร์วิสอินดรัสทรี ไม่ว่าจะเป็นเรือ โรงแรม หรือคอมมูนิตี้มอลล์ ทุกอย่างไม่ใช่ออฟฟิศอาวร์ เราไม่มีวันหยุด พนักงานของปิ๋มคนแรกเริ่มทำงาน 7 โมง คนสุดท้ายออก 4 ทุ่ม ถ้าเป็นส่วนโอเปอเรชัน คือรัน 24 ชั่วโมง ฉะนั้นเราไปเอาเปรียบเขาไม่ได้ ถ้าเราทำได้ก็ทำไป ยิ่งตอนนี้เรามีแรงมีพลังอยู่แทนที่จะอยู่บ้านนอนดูทีวีมาทำงานดีกว่า เพราะนี่เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้น เราพอใจและสนุกที่จะอยู่กับมัน อยากเห็นความเจริญเติบโตว่าจะเป็นอย่างไร”

ทั้งนี้ ริวา อรุณ กรุงเทพฯ ถือเป็นบูติกโฮเต็ลที่ต่อยอดความสำเร็จจาก ริวา เซอร์ยา ซึ่งณัฐปรีเคยร่วมพัฒนา แต่แตกต่างกันด้วยคอนเซ็ปต์ เนื่องจากมีโลเกชั่นเด่นตรงข้ามวัดอรุณราชวราราม ทำให้ ริวา อรุณ คงกลิ่นอายเอกลักษณ์ความเป็นชุมชนจีน-มอญ รูปแบบการตกแต่งจึงออกมาในสไตล์ โมเดิร์น ไชนีส ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา

ขณะที่โครงการวังหลัง แม้จะมีแผนพัฒนาเป็นแหล่งชอปปิ้ง แต่ก็มีการนำเสนอในคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างไปจากโครงการท่ามหาราช โดยณัฐปรีอธิบายว่า ยังคงความเป็นท่าเรือและแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหารอร่อย กินดื่มเที่ยว แต่จะอยู่ในราคาที่ย่อมเยากว่า โดยเฉพาะการสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นท้องถิ่นของย่าน รวมถึงการปรับผังให้มีความสวยงามและสะดวกในการสัญจรที่ดีกว่าเดิม ซึ่งสามารถพิสูจน์สถานที่จริงนี้ได้ปลายปี 2559 นี้

เหล่านี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของตัวตน-แนวคิดของผู้บริหารสาวไฟแรงคนนี้ ที่เชื่อแน่ว่าไม่หยุดไอเดียอยู่เพียงเท่านี้ อนาคตอาจจะครีเอตโปรเจกต์ใหม่ๆ ออกมาเขย่าวงการอีก ซึ่งคงต้องจับตาดูกันต่อไป :: Text by FLASH
กำลังโหลดความคิดเห็น