>>หากเปรียบเทียบเรื่องราวความรักและผูกพันของ “มินี่-โอบอุ้ม จูตระกูล” คุณแม่สุดมั่น กับ “ทิม-ทิมโมตี้ ก๊อสลิ่งค์” ลูกชายสุดเฟี้ยว เป็นภาพยนตร์สักเรื่อง บอกเลยว่าตลอดเวลาร่วม 2 ชั่วโมงที่รับชม คุณผู้ชมจะไม่มีทางผิดหวัง เพราะเรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยอรรถรส ที่ไม่ใช่แค่ความรักฉันแม่ลูก แต่ยังครบรสทั้งโหด มัน ฮา และมุ้งมิ้งสุดๆ เพราะถึงคุณแม่จะออกแนวสายโหด เลี้ยงลูกแบบฝรั่ง ขณะที่ลูกชายก็แฝงไปด้วยความขี้เล่น ซ่านิดๆ ตามประสาวัยรุ่นที่เติบโตในต่างประเทศ แต่เมื่อทั้งคู่โคจรมาพบกัน สองความต่างแต่ลงตัวนี้กลับเป็นอีกหนึ่งคำนิยามของคู่แม่ลูกที่น่าประทับใจ
เป็นที่รู้กันว่า โอบอุ้ม คือ ตัวแทนของเวิร์กกิ้งมัมคนเก่ง ที่ทำงานและเลี้ยงลูกไปด้วย ปัจจุบันเธอเป็นผู้บริหารของควินเทสเซ็นเชียลลี่” หรือ คิว ผู้ให้บริการด้านไลฟ์สไตล์ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษและเข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทยได้กว่า 10 ปีแล้ว ภารกิจหลักของคิว คือ จัดหาสินค้า และบริการทุกอย่างจากทั่วทุกมุมโลกตามใบสั่งที่ลูกค้าต้องการอย่างสุดความสามารถ ดั่งสโลแกนที่ว่า If We can’t do it, it’s unlikely anyone else can!
“เราเรียกตัวเองว่าเลขาส่วนตัวด้านไลฟ์สไตล์ให้กับเมมเบอร์ของเรา ช่วยจัดการในเรื่องต่างๆ ตั้งแต่เรื่องทั่วไป จนถึงบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น ติดต่อประสานงานหาโรงเรียนในต่างประเทศ สำหรับสมาชิกที่ต้องการปูพื้นฐานให้ลูกได้เข้าเรียนในไอวี ลีค ตามหากระเป๋าหายระหว่างการเดินทาง เป็นต้น เราไม่อยากใช้คำว่าไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ แต่เอาเป็นว่า ถ้าเราทำไม่ได้ ก็ไม่มีใครทำให้ได้เช่นกัน กฎของเราคือ ไม่ให้บริการที่เข้าข่าย 3 ไอ ประกอบด้วย 1.Illegal สิ่งผิดกฎหมาย 2.Impossible สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย และ 3.Immoral สิ่งที่ผิดศีลธรรม”
ฟังดูเหมือนจะเป็นงานที่กดดัน แต่มินี่ยอมรับว่า ถึงจะเป็นงานที่ยาก แต่ความท้าทายคือสิ่งที่ชอบ และบวกไปกับงานรองที่เธอรักและมีแพสชั่นที่สุด ถึงแม้เวลาจะไม่ค่อยอำนวย นั่นคือ การทำอาหารเพื่อสุขภาพในชื่อร้าน “Munchies”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่คุณแม่ดูเหมือนจะมีเส้นทางชีวิตของตัวเองที่ลิขิตเองไว้อย่างชัดเจน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างทิม ลูกชายวัย 22 ปี ซึ่งใกล้เรียนจบปริญญาตรีจากอังกฤษในเร็วๆ นี้ ก็กำลังเตรียมพร้อมกับการเดินไปตามเส้นทางชีวิตที่ตัวเองวาดไว้แบบคู่ขนาน ทั้งการทำธุรกิจ และการเป็นตำรวจสากลเช่นกัน
“จริงๆ ผมมีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็นนักการเมืองด้วยอีกอย่าง ตอนที่เรียนไฮสกูลผมเริ่มสนใจทางนี้ ตอนผมมาบอกคุณแม่ว่า ชอบด้านการเมือง จำได้ว่าคุณแม่ไม่ชอบเลย เพราะช่วงนั้นสถานการณ์การเมืองไทยก็ค่อนข้างวุ่นวาย แต่สุดท้ายคุณแม่ท่านก็ให้อิสระ เพราะอยากให้เราทำในสิ่งที่ตัวเองรักและมีแพสชั่น”
“เราเชื่อว่า คนเราต่างมีแพสชั่นของตัวเอง อย่างตัวทิม ตอนเด็กเราเห็นชัดเลยว่า เขามีหัวด้านทำธุรกิจ เวลาพาไปซื้อของ เขาก็ถามว่า อันนี้อะไร เขาซื้อไปขายเพื่อนได้มั้ย ซึ่งในฐานะแม่เราพร้อมจะซัปพอร์ตสิ่งที่เป็นแพสชั่นหรือจุดเด่นของลูกอยู่แล้ว เพราะเราพูดเสมอว่า ถึงจะเป็นแม่ลูกกัน แต่เราต่างคนต่างมีแพสชั่นของตัวเอง ทิมอาจจะโชคดีกว่าเราถ้าแพสชั่นเขาคือการทำธุรกิจ เพราะแทบจะไม่มีกรอบอะไรมากั้น ไม่ว่าเห็นอะไรก็หยิบมาเป็นโอกาสได้หมด
ขณะที่แพสชั่นของเราคือการทำอาหารสุขภาพแก้โรค หรือลดความเสี่ยงของการเป็นโรคประจำตัวต่างๆ เพราะความท้าทายมันมีมากกว่าทำอาหารธรรมดา ซึ่งในที่สุดแล้วก็อาจจะมีกรอบบางอย่างบ้าง” คุณแม่ยังสวยถือโอกาสกล่าวเสริม ก่อนที่จะวกกลับมาเรื่องความฝันของลูกชายว่า “พอโตมา เขากลับสนใจด้านการเมืองด้วย ซึ่งเราก็โอเค ถึงในส่วนตัวแล้วอาจจะไม่ค่อยชอบ แต่ก็คอยให้คำแนะนำเขา โดยเฉพาะเรื่องภาษาไทย ด้วยความที่เขาอยากเล่นการเมือง บวกกับอยากเป็นตำรวจสากลด้วย เพราะฉะนั้นเขาต้องฝึกพูดและเขียนภาษาไทยให้คล่อง”
ทิม ยอมรับว่า ด้วยความที่ใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษตั้งแต่เด็ก มีช่วงที่กลับมาเมืองไทยแค่ 2 ปี แม้ช่วงที่อยู่อังกฤษจะได้ซึมซับภาษาไทยจากคุณแม่ แต่ก็อาศัยว่าฟังออกเฉยๆ ไม่ได้ใช้สื่อสาร เพราะกลัวพูดผิดเลยไม่ค่อยกล้าพูด จนพอรู้ตัวว่าใฝ่ฝันอยากจะทำงานการเมือง เลยต้องตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝน จนทุกวันนี้ก็พูดภาษาไทยดีขึ้นมาก
งานนี้ ระหว่างที่กำลังเล่าอย่างออกรส คุณแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ ต้องแซวว่า “ที่พูดภาษาไทยได้เร็วเพราะมีแฟนเป็นผู้หญิงไทยด้วย” (หัวเราะ)
ส่วนความฝันที่อยากจะเป็นตำรวจสากล ทิมบอกว่า ได้รับแรงบันดาลใจจากคุณยายซึ่งท่านเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิมุทิตา ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่ไม่แสวงหาผลกำไร ตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กไทยด้านการศึกษา และช่วยเหลือให้รอดพ้นจากการค้าประเวณี ซึ่งเขาเองมีโอกาสเข้ามาทำงานอาสา ช่วยเหลือคุณยายด้วย โดยคุณยายก็เคยเปรยๆ ว่า วันหนึ่งก็อยากให้เขามาสานต่อเจตนารมณ์ของท่าน ทำให้เขามองว่าหากได้เป็นตำรวจสากล น่าจะช่วยต่อยอดงานในส่วนนี้ได้มาก
ขณะเดียวกัน นอกจากด้านหนึ่งทิมจะพยายามสานฝันทั้งสองของตัวเองให้เป็นจริง ระหว่างทางที่จะไปถึงเป้าหมาย เขาก็เริ่มสร้างรากฐานให้มั่นคงด้วยการสวมบทนักธุรกิจหน้าใหม่ควบคู่ไปด้วย โดยจะประเดิมธุรกิจแรกในเร็วๆ นี้ ในฐานะผู้ให้บริการติดตั้งจอทีวีบนหลังเบาะรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ 3,000 คัน เพื่อเป็นสื่อโฆษณารูปแบบใหม่ ทิมแย้มว่าน่าจะเริ่มต้นได้เร็วๆ นี้
“เป็นความตั้งใจของผมนะ ที่ก่อนจะก้าวสู่สนามการเมือง ต้องเริ่มต้นจากการเป็นนักธุรกิจ ผมมองว่า นอกจากจะเป็นการสร้างต้นทุนให้ตัวเองแล้ว ยังเป็นการหาประสบการณ์ชีวิต เข้าใจคนทุกชนชั้นในสังคม อีกอย่างที่คุณแม่สอนผมเสมอ คือ ถ้าผมจะเล่นการเมือง ต้องยืนบนลำแข้งของตัวเอง อย่าอาศัยเงินของคนอื่น อย่าเป็นหนี้บุญคุณใคร เพราะจะกลายเป็นเงื่อนไขกำหนดให้ผมทำตามนโยบายที่อยากทำไม่ได้อย่างแท้จริง”
อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเป็นคู่แม่ลูกมีเป้าหมายของชีวิตตัวเองที่ชัดเจน แต่พอย้อนถามไปถึงวีรกรรมวัยเด็กของทิม เล่นเอาทั้งคุณแม่มินี่ ขอสลัดคราบสาวมั่น เล่าถึงวีรกรรมสมัยวัยว้าวุ่นของลูกชายอย่างออกรสว่า เป็นช่วงที่ทิมย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยตอนอายุ 15 ปี ซึ่งมินี่ยกให้เป็นช่วงเวลาที่ปวดหัวที่สุดในชีวิตเวิร์กกิ้งมัม
“ตอนนั้นอาจเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเราแปรปรวนทั้งคู่ คือ ของลูกก็กำลังฮอร์โมนพลุ่งพล่าน ส่วนแม่ก็ฮอร์โมนกำลังหดหาย พอมาเจอกัน เลยป่วนยกกำลังสอง ช่วงนั้นเราต้องพยายามใจเย็นเข้าใจลูกให้มาก พยายามเข้าใจเขาให้มากที่สุด แต่หลังจากย้ายมาเรียนที่ไทยได้ 2 ปี เราดูว่าจะสนุกเกินไปหน่อยแล้ว เลยให้กลับไปเข้าโรงเรียนประจำที่อังกฤษใหม่”
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์นี้ก็ยังชัดเจนในใจทิมเหมือนกัน งานนี้เจ้าตัวเลยขอแก้ต่างว่า ช่วงนั้น พอมาอยู่กรุงเทพฯ ชีวิตค่อนข้างอิสระ เลยสนุกกับชีวิตวัยรุ่นที่นี่ อิสระกว่าการอยู่โรงเรียนประจำ ประกอบกับมีแฟนอยู่ที่นี่ เลยทำให้ไม่อยากกลับอังกฤษในตอนนั้น
“แต่สุดท้ายที่ผมกลับ ก็ต่อรองกับคุณแม่ว่า ให้ซื้อตั๋วบินกลับไทยให้ด้วย เพราะเราแค่บินกลับไปสมัครเรียนไว้ก่อน ซึ่งคุณแม่ก็ยอม (ยิ้ม) ถามว่าเด็กๆ แม่ดุไหม สมัยเด็ก ผมว่าแม่ดุมาก คือแม่ไม่ตีนะ แต่แค่ดวงตา น้ำเสียงของคุณแม่ก็ทำให้ผมกลัวแล้ว แต่พอโตมา ผมว่าคุณแม่ใจดีขึ้น จะตามใจในสิ่งที่เห็นด้วยและไม่ได้เป็นความคิดที่ผิด แต่ถ้าไม่เห็นด้วยก็จะไม่พูดถึงอีก”
พอได้ยินคำว่า “ตามใจ” ก็เล่นเอาคุณแม่ที่นั่งฟังคุณลูกเล่าเพลินๆ ถึงกับต้องขัดจังหวะ สวนกลับทันทีว่า “สปอยล์ตามใจตรงไหน” พร้อมรีบอธิบายว่า “ถ้าจะสปอยล์ก็เฉพาะเรื่องที่คิดว่าสมเหตุสมผลเท่านั้น”
ตลอดเวลาที่พูดคุยกับสองแม่ลูก เราสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ที่กลมเกลียวของสองแม่ลูกที่ไม่มีช่องว่างตรงกลางตามประสาคุณแม่ที่มีลูกชายโตเป็นหนุ่ม ในทางกลับกัน ลูกชายเสียอีกที่เป็นฝ่ายเข้าหาคุณแม่ ชอบกุ๊กกิ๊กมุ้งมิ้งกับแม่อยู่ตลอด
“ผมชอบเล่นกับแม่ ยิ่งตอนนี้กลับมาอยู่ไทยถาวรแล้ว ก็จะได้อยู่กับคุณแม่มากขึ้น ถามถึงสิ่งที่ผมประทับใจในตัวคุณแม่ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะ เพราะผมประทับใจคุณแม่ในทุกวัน ผมคิดเล่นๆ ว่า ถ้าผมเป็นแม่คงทนลูกแบบผมไม่ไหว (หัวเราะ) เพราะถ้าผมมีลูกก็คงไม่อยากมีลูกแบบนี้ แต่คุณแม่ก็ยังรัก และสนับสนุนผมทุกอย่าง ผมไม่เคยเห็นใครทำงานหนักเท่าคุณแม่มาก่อน ซึ่งคุณแม่ถือเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจในการทำงานและใช้ชีวิตให้ผมนะ คุณแม่ทำให้ผมอยากขยัน และใช้ทุกเวลาให้คุ้มค่าเหมือนท่าน”
ขณะที่ฝ่ายคุณแม่ ซึ่งนั่งฟังลูกบรรยายความประทับใจที่มีต่อตัวเธอ ก็อดปลื้มใจไม่ได้ แทนที่จะเอ่ยถึงความประทับใจที่มีต่อลูกชายคนนี้ กลับเลือกเผยถึงความรู้สึกที่มีต่อลูกชายคนเดียวว่า ดีใจที่เห็นเขามีชีวิตของเขา รู้ว่าแพสชั่นในชีวิตของตัวเองคืออะไร และพยายามทำตามแพสชั่นของตัวเอง
“สมมติว่าเราต้องเป็นอะไรลงไปวันนี้ หรือ พรุ่งนี้จริงๆ อย่างน้อยเราก็ยังอุ่นใจ เพราะรู้ว่าเขาจะเอาตัวรอด และมีชีวิตอยู่ต่อไปได้” มินี่กล่าวสั้นๆ ทิ้งท้าย แต่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังของผู้เป็นแม่ :: Text by FLASH