xs
xsm
sm
md
lg

อลิสา สิริสันต์ ความรักและความเชื่อ คือแรงผลักดันที่สำคัญของชีวิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>เด็กทุกคนล้วนต้องเคยผ่านด่านคำถามสุดคลาสสิกอย่าง “โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร?” มาแล้วทั้งสิ้น คำตอบของแต่ละคนขึ้นอยู่กับว่าความไร้เดียงสาในวัยเยาว์จะปั้นแต่ง สำหรับ “ลิสา-อลิสา สิริสันต์” เธอกำหนดเส้นทางชีวิตของตัวเองไว้ตั้งแต่วัยเด็กว่าโตขึ้นอยากเป็น “นักธุรกิจหญิง” แม้จะยังไม่รู้ตัวว่าจะโลดแล่นไปในธุรกิจไหน แต่อย่างน้อยชีวิตที่มีเป้าหมายก็ช่วยนำทางให้เธอมาถึงจุดที่ฝันได้อย่างไม่เขว

ปัจจุบันเธอเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท อิไลซ่า คอสเมติกส์ จำกัด ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ Pure Altitude จากประเทศฝรั่งเศส และสถาบันความงามดูแลผิวหน้าครบวงจร อิไลซ่า เฟเชียล สปา ธุรกิจที่เธอบอกว่าขับเคลื่อนด้วยแพสชั่นล้วนๆ เพราะเริ่มต้นจากพนักงานเพียงคนเดียวซึ่งก็คือตัวเธอนั่นเอง!

ผู้บริหารสาวเก่ง ทายาทสาวสวยของ “อนันต์ สิริสันต์” กับ “ศิรินาถ พลบุตร” เล่าถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจความงามที่ตอบโจทย์สาวๆ ยุคใหม่อย่างตรงจุดว่า หลังจากเรียนจบปริญญาตรี จากวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล เธอตัดสินใจเข้ามาช่วยธุรกิจความงามของคุณแม่ แต่ทำได้ 3 ปี เธอก็ตัดสินใจลาออกเพื่อไปเปิดประสบการณ์ ตะลุยโลกแห่งการทำงานในด้านอื่นๆ

“ลิสาเริ่มต้นด้วยการทำงานด้านประชาสัมพันธ์ (พีอาร์) ก่อนจะผันไปทำงานด้านอินทีเรีย การได้ลองทำอะไรใหม่ๆ เป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก แต่ขณะเดียวกันอายุที่มากขึ้นทุกวัน ก็ทำให้ลิสาเริ่มย้อนคิดถึงความฝันในวัยเด็กที่อยากจะทำธุรกิจของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนั้นลิสาตั้งเป้าไว้กับตัวเองว่าต้องทำความฝันนี้ให้สำเร็จก่อนอายุ 30 ปีให้ได้ ซึ่งตอนนั้นลิสาก็อายุ 28 ปีแล้ว (ยิ้ม)”

ช่วงเริ่มต้น ลิสาบอกว่า เธอกำหนดโจทย์ของตัวเองให้แคบลงด้วยการเลือกที่จะมาเอาดีในธุรกิจความงาม เพราะด้วยความที่สนใจด้านความสวยความงามตามประสาผู้หญิงเป็นทุนเดิม ประกอบกับคุณแม่ก็ทำธุรกิจด้านนี้ ทำให้เธอมีโอกาสคลุกคลีกับธุรกิจความงามมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ระหว่างที่ยังทำงานประจำนี้เอง เธอจึงเริ่มมองหาช่องทางทำธุรกิจ ด้วยการเฟ้นหาสกินแคร์คุณภาพดีที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวของผู้หญิงได้อย่างแท้จริงมาจัดจำหน่ายในประเทศไทย

“ลิสาใช้เวลา 2 ปีเต็ม เพื่อศึกษาข้อมูลด้านความงาม มองหาแบรนด์ที่คิดว่าจะตอบโจทย์ปัญหาผิวของผู้หญิงอย่างแท้จริง ผ่านการท่องโลกอินเทอร์เน็ต และการเดินทางออกไปเสาะหา ด้วยการไปร่วมงานบิวตี้แฟร์ใหญ่ๆ ที่ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา อิตาลี แต่หลังๆ ลิสาเริ่มสังเกตว่าผลิตภัณฑ์ที่ดีๆ ก็ไม่ได้มาออกงานแฟร์เสมอไป เลยต้องเริ่มมองหาจากสื่อต่างประเทศ แล้วไปลงพื้นที่ ก่อนที่จะมาลงเอยที่แบรนด์เพียว อัลติจูด (Pure Altitude) จากฝรั่งเศส”

ลิสาย้อนวันวานถึงการค้นพบอันน่าตื่นเต้นของตัวเอง ด้วยแววตาเป็นประกายว่า ตอนนั้นลิสามีตัวเลือกหลายแบรนด์อยู่ในใจ แต่ที่สนใจแบรนด์นี้เป็นพิเศษ เพราะเห็นว่าเป็นแบรนด์ที่สปาตามโรงแรมชั้นนำในฝรั่งเศสเลือกใช้ แถมยังได้ลงสื่อของฝรั่งเศสเยอะ ได้รางวัลการันตีมากมาย ยิ่งพอได้ศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์ ยิ่งพบความน่าสนใจ เพราะแบรนด์นี้โดดเด่นด้วยการเลือกใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติผสานกับศาสตร์การนวดแบบมืออาชีพ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ทรงประสิทธิภาพ

“ลิสา เป็นเจ้าแรกในเอเชียที่เข้าไปติดต่อกับทางแบรนด์เพื่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ตอนแรกทางแบรนด์ก็ยังไม่แน่ใจ เพราะเขาไม่เคยทำตลาดในเอเชียมาก่อน เราใช้เวลาคุยกันเกือบปี ทำบิสซิเนสแพลนไปเสนอ ลิสายังจำได้ว่า ช่วงที่ติดต่อไปแรกๆ จะมีโมเมนต์ที่ต่างฝ่ายต่างเงียบหายไป จนสุดท้ายลิสาทนไม่ไหว ตัดสินใจบินไปฝรั่งเศส บุกเดี่ยวไปถึงสำนักงานใหญ่ของเขา ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขา การเดินทางไปค่อนข้างลำบาก เพื่อแสดงความจริงใจให้เขาเห็นว่าเราสนใจแบรนด์ของเขาจริงๆ ในที่สุดเขาก็ยอมให้เราเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายเป็นรายแรกในเอเชีย หลังจากนั้นถึงเริ่มมีเจ้าอื่นๆ ไปติดต่อมาจำหน่ายในญี่ปุ่น และเกาหลี”

ก้าวแรกที่ว่าต้องใช้ความพยายามแล้ว ยังไม่เท่าเส้นทางที่จะนำพาธุรกิจนี้เดินต่อไป เธอยอมรับว่า แม้จะมีประสบการณ์ในแวดวงความงามติดตัว แต่พอมาเริ่มต้นธุรกิจเต็มตัว ทุกอย่างกลับไม่ง่ายดั่งใจ

“พอลิสาเซ็นสัญญาเรียบร้อย ลิสาก็ไปอยู่ที่ฝรั่งเศส 6 เดือน เพื่อเรียนรู้เจาะลึกเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เรียนการนวดจากผู้เชี่ยวชาญของทางแบรนด์ รวมทั้งไปเทกคอร์สแบบที่เฟเชียลลิสต์ (Facialist) หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวหน้าโดยเฉพาะเรียนกัน จากนั้นก็กลับมาเมืองไทยเพื่อนำพาบริษัทเล็กๆ ที่ลิสาตั้งขึ้นมา โดยมีกำลังสำคัญคือ ตัวลิสาเพียงคนเดียว ซึ่งต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่งานเอกสารขอใบอนุญาต ใบรับรองต่างๆ ไปวอล์กอินตามสปาชั้นนำในโรงแรมต่างๆ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ จากเดิมที่ตั้งใจว่าจะเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ลิสาเริ่มเห็นช่องทางธุรกิจที่ลูกค้าให้ความสนใจ จึงขยายขอบเขตธุรกิจมาสู่งานบริการด้วย”

ปัจจุบัน นอกจากจะจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้ทางโรงแรม ยังเปิดศูนย์ความงามที่สาทร ซอย 1 เพื่อแก้ปัญหาให้สาวๆ ที่มีปัญหาผิวหน้าเฉพาะบุคคลด้วย ลิสาบอกว่า ตัวเธอจะเป็นผู้ดูแลลูกค้าเองทั้งหมด ตั้งแต่การให้คำปรึกษาเพื่อช่วยแก้ปัญหาผิว ตามหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และการนวดหน้า ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญซึ่งลิสามองว่าจะเป็นเทรนด์ความงามที่มาแรงในอนาคต และกำลังเป็นเทรนด์ที่นิยมในต่างประเทศค่อนข้างมาก

“เราทำธุรกิจจากเล็กๆ เพราะอยากใส่ใจกับลูกค้าคนสำคัญที่เข้ามาหาเราทุกคน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมลิสายังไม่ขยายเข้าไปในห้าง เพราะยังขาดกำลังคนที่ได้รับการเทรนจนลิสามั่นใจว่าจะให้คำแนะนำกับลูกค้าได้ เช่นเดียวกับการขายผลิตภัณฑ์ผ่านทางออนไลน์ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม ลิสาก็เลือกไม่ทำ เพราะไม่อยากให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ไปใช้โดยขาดการให้คำปรึกษาที่ถูกต้อง สุดท้ายใช้แล้วเป็นสิว หรือไม่สวยดั่งใจ แต่ในปีหน้า ลิสาตั้งใจว่าอาจจะมีการขยับขยายตามธุรกิจที่เติบโตขึ้น เพราะมาถึงวันนี้แบรนด์ของเราก็เข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว”

สำหรับเป้าหมายจากนี้ ลิสายังถือคติทำธุรกิจแบบไม่เร่งร้อน ค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง สิ่งที่เธอมุ่งหวังเพียงแค่เห็นการเติบโตของธุรกิจในทุกๆ ปีที่ผ่านไป หากแต่เป้าหมายใหญ่ที่เธอหวังในใจคือ “อยากให้ผู้หญิงทุกคนที่อยากมีผิวสวยแบบไม่ต้องพึ่งหมอ นึกถึงอลิสา”

“ตั้งแต่เริ่มมีหลายคนติงว่า ทำไมลิสาต้องลงมานวดหน้า ดูแลลูกค้าเองทุกคน แทนที่จะไปโฟกัสกับการบริหารธุรกิจ ส่วนตัวลิสามองว่า ลิสาอยากเรียนรู้งานในทุกส่วนของธุรกิจ ลิสารู้สึกว่าการนวดหน้าเป็นงานที่น่ายกย่อง เพราะเป็นอาชีพที่ทำให้คุณสามารถเปลี่ยนผิวของลูกค้าจากที่มีปัญหาให้กลับมาดีได้ เพราะฉะนั้นลิสาจึงให้ความสำคัญกับกระบวนการนี้ และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ดูแลลูกค้าด้วยตัวเอง”

เธอมองว่า การทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยทั้งความอดทนและความตั้งใจจริง ต้องมีความรักในสิ่งที่ทำ เพราะไม่เช่นนั้นเวลาที่เจอกับปัญหา ก็จะรู้สึกเบื่อ และเลือกที่จะปิดธุรกิจไปมากกว่าฝ่าฝันเพื่อหาทางออก

“เคยผ่านจุดที่หนัก ร้องไห้ทุกคืนมาแล้ว แต่เพราะแพสชั่นที่มี ทำให้ไม่เคยคิดจะเลิกทำ ลิสาบอกตัวเองเสมอว่าต้องทำให้ได้ สิ่งที่ลิสายึดถือเสมอคือ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เราต้องรู้ลึก รู้จริง เพราะฉะนั้นลิสาจะพยายามหาความรู้ใส่ตัวเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ เข้าร่วมงานสัมมนาต่างๆ”

อย่างไรก็ตาม แม้จะทำงานหนัก 6 วันต่อสัปดาห์ แต่ลิสายังไม่ลืมหันมาดูแลตัวเองด้วยหลักการเดียวกันกับที่เธอให้คำแนะนำกับลูกค้า นั่นคือ ผลิตภัณฑ์อาจจะเป็นตัวช่วยในการฟื้นฟูปัญหาผิวหน้า แต่การใช้ชีวิตที่ดี ทั้งการออกกำลังกาย และดูแลอาหารการกิน ก็เป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้สุขภาพกายและสุขภาพผิวดูดีไปควบคู่กัน

“แม้งานในแต่ละวันจะยุ่งขนาดไหน บางครั้งต้องดูแลลูกค้าถึง 2-3 ทุ่ม แต่หลังเลิกงานลิสาจะแบ่งเวลาให้กับการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะชกมวยหรือเข้ายิมเพื่อเทรนนิ่ง หรือวิ่ง ลิสามองว่าการวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยฝึกสมาธิ เคลียร์สมองให้กับลิสาได้เป็นอย่างดีไปในตัว พร้อมกันนี้ลิสายังดูแลเรื่องอาหารการกินควบคู่ไปด้วย”

ลิสา กล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มทิ้งท้ายว่า วันนี้ความสุขของเธอคือ การได้ตื่นมาทำในสิ่งที่รักในทุกวัน และเธอตั้งใจว่าจะทำธุรกิจนี้ไปตลอดชีวิต อย่างไรตาม เธอกล่าวอย่างติดตลกว่า หากในอนาคตถ้าธุรกิจที่ทำอยู่เริ่มอยู่ตัวแล้ว เธออาจเบนเข็มไปสู่การเป็นเวดดิ้ง แพลนเนอร์ ช่วยเนรมิตงานแต่งงานให้คู่รักได้จดจำช่วงเวลาดีๆ ของชีวิตไว้ตราบนานเท่านานก็เป็นได้

ข้อคิดจากธุรกิจ

“สมัยก่อน ลิสาอาจจะวัตถุนิยมนะ แต่พอมาทำธุรกิจเรารู้เลยว่า เงินแต่ละบาทไม่ได้หามาง่ายๆ ธุรกิจสอนให้ลิสาค่อยๆ เรียนรู้ว่า คนเราไม่จำเป็นต้องมองคุณค่าผ่านวัตถุอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายอย่างให้เราโฟกัส อย่างทุกวันนี้ วันว่างของลิสาอาจไม่ใช่การไปชอปปิ้ง แต่เป็นการนั่งอ่านหนังสือด้านความงามที่สนใจ หรือถ้ามีโอกาสก็จะเดินทางไปต่างประเทศ”

“หลักการทำงานของลิสา คือ ต้องมีวินัยกับตัวเอง รู้ว่าในแต่ละวันเราจะต้องทำอะไรบ้าง ฝึกให้ตัวเองขยันตลอดเวลา บางครั้งถึงแม้จะเหนื่อย จะล้า ก็ต้องเก็บไว้ข้างใน อย่าแสดงออกหรือทำให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยหรือความเครียด” :: Text by FLASH

Special Thanks :: โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ที่เอื้อเฟื้อสถานที่สำหรับถ่ายภาพ โทรศัพท์ 0-2200-9000
กำลังโหลดความคิดเห็น