>>เป็นอีกหนึ่งครอบครัวใหญ่ที่น้อยครั้งจะมีโอกาสเปิดตัวพร้อมกัน สำหรับตระกูลมหาดำรงค์กุล เจ้าของตำนาน “ศรีทองพาณิชย์” และ “โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ” ที่ Celeb Online ได้รับเกียรติทั้งครอบครัวมาอัปเดตชีวิต ทั้งเรื่องหน้าบ้านและหลังบ้าน ประกอบไปด้วยสมาชิก 5 ท่าน ไล่เรียงมาตั้งแต่หัวหน้าครอบครัว อย่าง “คุณกฤษฎา มหาดำรงค์กุล” พร้อมด้วย “คุณแม่วิภาวรรณ” ลูกสาวคนโต “ริน-ศรินญา” ลูกชายคนกลาง “โก้-ศุภกฤต” และน้องนุชสุดท้อง “กิ๊ฟ-ภูริษา”
เริ่มต้นการสนทนาครั้งนี้ที่หัวหน้าครอบครัวกับ “คุณกฤษฎา มหาดำรงค์กุล” ผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน 2 ไลน์ธุรกิจ ทั้งธุรกิจนำเข้านาฬิกาและธุรกิจโรงแรม ซึ่งเป็นแฟมิลี่ บิสซิเนส มาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อของคุณกฤษฎา (ดิลก) รวมไปถึงดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทุนดำรงค์ จำกัด ธุรกิจดูแลอาคารให้เช่าและพร็อพเพอร์ตี้ที่อยู่ในความครอบครองทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ยกตัวอย่างอาคารคุ้นเคยก็เช่น เลอ คองคอร์ด ทาวเวอร์
“บังเอิญเราเติบโตในยุคพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ช่วงเวลาที่ทุกอย่างกำลังบูม จากนั้นมายุคฟองสบู่ ฉะนั้นเราผ่านมาทุกยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย เราจึงต้องรู้จักศึกษา อัปเดต อย่าเอาตัวเราเป็นหลัก ต้องฟังหลายๆ ฝ่าย สิ่งที่ยากคือต้องยอมรับความจริง ถ้ายอมรับได้เราจะปรับตัวเข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ดี เมื่อเจอปัญหาหนักก็จะผ่อนเป็นเบาได้” คุณกฤษฎา เผยถึงหลักการทำธุรกิจที่เขาได้เรียนรู้มาตลอดชีวิต
“สำหรับศรีทองพาณิชย์และโรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ ช่วยกันดูกับภรรยา (วิภาวรรณ) โดยคุณวิภาวรรณดูด้านการตลาด ถ้าพวกฮาร์ดแวร์หรือเครื่องจักร จะเป็นทางผมดู งานหนักๆ ไปทางผู้ชาย ประเภทแอร์ไม่เย็น น้ำไม่ร้อน”
ย่างก้าวที่เติบโต
เมื่อเอ่ยถึง “คุณวิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล” ไม่เพียงทำหน้าที่ศรีภรรยาและคุณแม่เท่านั้น เธอยังเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนควบตำแหน่งกรรมการผู้จัดการโรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ และศรีทองพาณิชย์ ที่แม้ว่าจะดูแลทั้ง 2 ธุรกิจพร้อมกัน แต่ก็ลงงานทุกอย่างอินดีเทล โดยเธอบอกว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจโรงแรมกำลังไปด้วยสวย มียอดลูกค้าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวโซนเอเชีย ชาวจีน 50% รองลงมาเป็นเกาหลีและสิงคโปร์ ล่าสุดเพิ่งรีโนเวตห้องพักใหม่ และกำลังขยายอีกแห่ง โรงแรมเรอเนสซองซ์ พัทยา รีสอร์ต แอนด์ สปา
“ธุรกิจโรงแรมยุคนี้มีผู้บริโภคหน้าใหม่ๆ เข้ามาเยอะ และอายุก็น้อยลงเรื่อยๆ เราเป็นเจ้าของโรงแรมก็ต้องพิจารณาหลายด้าน เพื่อดึงลูกค้าใหม่ๆ ขณะเดียวกันการแข่งขันก็สูง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ความท้าทายก็คือเราจะทำอย่างไรให้ได้ราคาน่าสนใจสำหรับลูกค้า”
60 ปีศรีทองพาณิชย์
สำหรับในไลน์ธุรกิจนำเข้านาฬิกาศรีทองพาณิชย์ ซึ่งคงคุ้นเคยกันดีว่าเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายนาฬิกาข้อมือแบรนด์ดังใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทั้ง CITIZEN, LUMINOX, BULOVA, BALL รวมถึงเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับเครือ watch group อาทิ แบรนด์ RADO, MIDO ปัจจุบันศรีทองพาณิชย์มีตัวแทนจำหน่ายถึง 300 ร้านค้าทั่วประเทศ นับนิ้วไปมาปีนี้ก้าวสู่ปีที่ 60 แล้ว
“ถึงเราจะเป็น บิสซิเนส แฟมิลี่ ที่อยู่ในตลาดมานาน แต่เราพยายามทำแบรนด์ให้เด็กลง เราเปิดรับพนักงานใหม่อายุน้อย เพื่อให้ได้ไอเดียใหม่ๆ ในการทำงาน ให้ความเชื่อมั่นกับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่อายุ 25-40 มีการพัฒนากิจกรรมเพิ่มขึ้นทั้ง FB, IG, เว็บไซต์ เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีผลกับธุรกิจมาก ก่อนที่ลูกค้าจะมาซื้อกับเรา เขาศึกษามาก่อน เผลอๆ รู้มากกว่าเราอีก” วิภาวรรณเกริ่นถึงศรีทองพาณิชย์ที่มีการปรับตัวในยุคโซเชียลมีเดีย
“แต่ส่วนตัวมองว่าธุรกิจนาฬิกาไม่ได้แข่งขันสูง เพราะลูกค้ามีแบรนด์ในใจอยู่แล้ว แต่ละแบรนด์มีการวางรากฐานและกลยุทธ์มาแล้ว เราเป็นตัวแทนนำเข้ามาจำหน่าย ก็เพียงพรีเซนต์นาฬิกาให้ดี นำเข้าคอลเลกชันให้เหมาะกับคนไทย ในราคาที่ใกล้เคียงกับต่างประเทศ ไม่โดดเกินไป ก็จะสู้ได้ รวมถึงบริการหลังการขายเข้ามามีส่วนเยอะ เดี๋ยวนี้สินค้านำเข้าราคาไม่ได้แตกต่างกันมาก คนไทยจึงมักเลือกซื้อนาฬิกาในประเทศไทยมากขึ้น เพราะต้องการบริการหลังการขายที่ดี”
3 ใบไม่เถา รักสัตว์เข้าเส้น
จากเรื่องหน้าบ้านเข้ามาเรื่องในบ้านกันบ้าง กับสมาชิกรุ่นลูกทั้งหมด 3 คน ที่มีคาแรกเตอร์ไม่เหมือนกันเลย ไล่มาตั้งแต่พี่สาวคนโต “ริน-ศรินญา มหาดำรงค์กุล” สาวหน้าหวานพกพาไลฟ์สไตล์โลดโผนโจนทะยาน ว่างเมื่อไรเป็นต้องออกไปดำน้ำ ปีนเขา ขณะที่ลูกชายคนกลาง “โก้-ศุภกฤต มหาดำรงค์กุล” มาแนวหนุ่มวินเทจ ติดบ้าน เพราะได้อิทธิพลมาจากคุณพ่อเต็มๆ คลั่งไคล้ของเก่า สะสมนาฬิกาโบราณ รถคลาสสิก
สุดท้ายคือ “กิ๊ฟ-ภูริษา มหาดำรงค์กุล” น้องนุชสุดท้องกำลังศึกษาอยู่เกรด 7 โรงเรียน Bangkok International Preparatory & Secondary School มีอายุทิ้งห่างจากพี่ๆ 14-16 ปี เรียกว่าเป็นลูกหลงก็ได้ กลับมีความคิดความอ่านเหมือนผู้ใหญ่ มีไอเดียค้าขาย และสนใจการทำอาหาร ถอดแบบคุณแม่มาเต็มๆ หากแต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันทั้งครอบครัว คือ รักสัตว์จริงจัง
คุณวิภาวรรณ : เริ่มมาจากคุณตุ๊ (กฤษฎา) เป็นคนรักสัตว์มาก ตอนรินเด็กๆ จะพาไปเดินจตุจักร ดูแมว หมา อีกัวน่า อะไรแปลกๆ ก็ซื้อกันมาเลี้ยง
คุณกฤษฎา : ตอนเด็กๆ ชอบพารินไปจตุจักร ครั้งหนึ่งไปดูกิ้งก่า คนขายบอกว่าไม่กัดๆ พูดจบปุ๊บ งับนิ้วคนขายเลย (หัวเราะ)
ริน : ช่วงหนึ่งเลี้ยงกิ้งก่าทะเลทราย มันจะมีหนามทั้งตัว เราพาเกาะไหล่ไปเดินเที่ยวจตุจักร ผ่านไปวันหนึ่ง คุณย่าเอาหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์มาให้คุณพ่อดู ถามว่านี่ใช่รูปรินหรือเปล่า? หน้าเหมือนรินมาก มีกิ้งก่าเกาะบนไหล่ คือคงมีช่างภาพมาถ่ายไปทำสกู๊ปสัตว์เลี้ยงอะไรแบบนี้
คุณกฤษฎา : ตอนเลี้ยงกิ้งก่าทะเลทราย จำได้ว่าซื้อเสร็จ เราก็แอบใส่กระเป๋าแล้วไปทานข้าวที่เซ็นทรัล พอทานอาหารไปสักพัก เราไม่ได้สังเกต มันก็โผล่หัวออกมาจากกระเป๋า โต๊ะข้างๆ เห็นเข้า ร้องกรี๊ดเลย
ริน : ที่บ้านปกติรักสัตว์กันอยู่แล้ว ความที่เราบ้านอยู่ใกล้วัด มักจะมีคนเอาหมาใส่ลังมาทิ้งไว้หน้าบ้าน เขาคงเห็นบ้านนี้แล้ว คิดว่าน่าจะอยู่ดีกว่าวัด เราก็เลี้ยงไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้ว ส่วนใหญ่หมาจรจัด หมาไทยจะแข็งแรงสุดๆ เมื่อก่อนเราเลี้ยงเป็นสิบๆ ตัว ทั้งหมาไทย หมาฝรั่ง ตอนนี้เหลืออยู่แค่ 3 ตัวแล้ว
ครอบครัวสุขสันต์ เฮฮาลัลลา
เหล่าสมาชิกมหาดำรงค์กุลต่างแข่งกันย้อนประสบการณ์เลี้ยงสัตว์กันอย่างสนุกสนาน สะท้อนให้เห็นถึงความสนิทสนมกันระหว่างพ่อแม่ลูก ไม่เพียงแค่นั้นยังมีอีกหลายกิจกรรมที่ทุกคนในบ้านมักใช้เวลาร่วมกัน โดยเฉพาะมื้อครอบครัวที่รวมสมาชิกทั้ง 3 รุ่น ตั้งแต่คุณปู่ คุณพ่อ และคุณลูก มานั่งล้อมวงทานมื้อเที่ยงวันเสาร์แลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบกันแทบทุกสัปดาห์ พร้อมถือโอกาสนี้ถ่ายทอดหลักการใช้ชีวิตจากรุ่นสู่รุ่นกันบนโต๊ะอาหาร โดยมีคุณแม่วิภาวรรณลงครัวเองชนิดจัดเต็ม
ด้วยคุณวิภาวรรณชื่นชอบการทำอาหารอยู่แล้ว บ่อยครั้งลูกๆ จึงมักพาเพื่อนๆ มาปาร์ตี้ที่บ้าน จึงยิ่งทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความครื้นเครงอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าลูกๆ จะโตเข้าสู่วัยทำงานกันแล้ว แต่ยังชอบให้คุณแม่ลงครัวทำอาหารอยู่บ่อยๆ ทำเอาคุณแม่เป็นปลื้ม ตามประสาคนชอบทำอาหารก็อยากให้มีคนกิน
“เวลาไปทานอาหารที่ไหนอร่อย จะดูวิธีทำของเขา แล้วนำมาประยุกต์ทำเองที่บ้าน เมื่อก่อนเพื่อนลูกมาปาร์ตี้ที่บ้าน มาที 10 กว่าคน เราก็ทำสปาเกตตีเลี้ยง คือทำได้หมดทั้งอาหารไทย จีน ตะวันตก ส่วนตัวชอบทานอาหารไทยรสแซบ แต่ลูกๆ จะชอบทานสเต๊ก ชอบทำอาหารจนลูกๆ แซวว่าเปิดร้านอาหารกันดีกว่า คือเรามีความสุขกับการทำอาหาร เวลามีเทศกาลเจจะทำขนมจีนน้ำยาเจหม้อใหญ่ๆ เลี้ยงพนักงานที่ศรีทองพาณิชย์ได้ทานกันทั้งออฟฟิศ สนุกดี” คุณวิภาวรรณเล่าถึงความชอบของเธอ ที่กลายเป็นจุดเชื่อมโยงของคนทั้งบ้าน
แต่ความเฮฮาในครอบครัวมหาดำรงค์กุล ยังไม่จบแค่นี้ คุณแม่วิภาวรรณเล่าต่อว่า ความที่รินและโก้ ลูกสาวคนโตและลูกชายคนรองมีอายุห่างจากน้องกิ๊ฟลูกสาวคนเล็กมาก บางทีทำให้คนรอบข้างเข้าใจผิดเป็นประจำ กลายเป็นเรื่องขำขันเล่ากันไม่รู้เบื่อ ครั้งหนึ่งตอนวันเกิดน้องกิ๊ฟที่โรงเรียน พี่โก้อาสาช่วยถือเค้ก เพื่อนๆ ชาวต่างชาติของน้องกิ๊ฟ พลางมองหน้าโก้ และถามว่า Are you gift’s dad? โก้ถึงกับสวนทันควัน No, her brother หรือสมัยรินยังเรียนหนังสือ ไปรับน้องกิ๊ฟที่โรงเรียน ก็ทำเอาคนที่โรงเรียนเข้าใจผิดว่ารินเป็นแม่น้องกิ๊ฟไปซะนั่น
ความรับผิดชอบถ่ายทอดถึงดีเอ็นเอ
นอกจากเรื่องสนุกสนานกระชับความสัมพันธ์แล้ว อีกสิ่งที่แทรกซึมอยู่ในดีเอ็นเอของครอบครัวมหาดำรงค์กุล คือ คำสอนที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ (ดิลก) ที่ไม่ได้เกิดจากคำสอนโดยตรง แต่เกิดจากการทำตัวเป็นแบบอย่างและซึมซับบ่มเพาะทีละเล็กละน้อย จึงไม่แปลกใจที่เด็กในครอบครัวนี้ จะแสดงถึงความเปิดเผย เป็นกันเอง ไม่ถือตัว และรู้จักค่าของเงิน โดยเฉพาะเรื่องความรับผิดชอบ อันเป็นคุณสมบัติที่หาได้ยากในเด็กเจเนอเรชันนี้
“แม่ไม่ได้เลี้ยงลูกเป็นคุณหนู ไม่ให้ติดอยู่ในความฟุ้งเฟ้อ อย่างค่าขนมน้องกิ๊ฟจะมีกำหนดอาทิตย์ละ 300 บาท บางคนบอกว่าทำไมให้น้อยจัง เราว่าเขาทานอาหารโรงเรียนอยู่แล้ว ฉะนั้น 300 บาทนี้ หมดคือหมด เขาต้องบริหารเอง”
“เราสอนให้เขารู้จักคิดเอง เลี้ยงลูกให้รู้จักแยกแยะสิ่งดีและไม่ดี เราเชื่อว่าลูกๆ ตัดสินใจเองได้ ข้อสำคัญคือต้องเรียนรู้การรับผิดชอบ รับผิดชอบต่องานที่ทำ รับผิดชอบในหน้าที่ความเป็นลูก รับผิดชอบต่อตัวเอง รับผิดชอบต่อครอบครัว รับผิดชอบต่อสังคมที่เราอยู่ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องเคารพ” แม่วิภาวรรณเผยถึงสไตล์การเลี้ยงลูกทั้งสาม ที่เคารพทุกการตัดสินใจของลูกๆ อย่างมีเหตุผล
สาวหวานบ้าพลัง
เพราะเบ้าหลอมเป็นอย่างไร ชิ้นงานที่ออกมาก็เป็นเช่นนั้น คำสอนเหล่านี้พิสูจน์ได้จากผู้เป็นทายาทอย่าง “ริน-ศรินญา” ลูกสาวคนโตวัย 28 ที่ภายนอกดูเป็นสาวหวาน หากเธอกลับเป็นสาวแอกทีฟสู้งาน ชอบเรียนรู้ และยึดมั่นในความรับผิดชอบ หลังจากสำเร็จปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจด้านการโรงแรม ที่ Les Roches International School of Hotel Management ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เธอค้นหาเส้นทางของตัวเองจนปัจจุบันดำรงตำแหน่งมาร์เกตติ้ง คอมมูนิเคชั่น แมเนเจอร์ โรงแรม เลอ เมอริเดียน กรุงเทพ
“ส่วนตัวเป็นคนแอกทีฟ เวลาทำอะไรต้องทำให้ดี ไม่ถึงกับเพอร์เฟกชันนิสต์ แต่ไม่ชอบทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ สมัยทำงานใหม่ๆ ร้องไห้กับคุณแม่ทุกวัน หลังๆ ปรับตัวได้แล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองสตรองขึ้น สิ่งที่ได้จากคุณแม่มากที่สุดคือความรับผิดชอบ คุณแม่จะสอนตลอดเวลา เล่นคือเล่น งานคืองาน จริงๆ ปรึกษาคุณแม่ทุกเรื่อง เพราะคุณแม่เป็นคนทำงาน เราถามอะไรไป ไม่เคยไม่ได้คำตอบ รู้สึกสบายใจที่ได้คุยกับเขา อาจเพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เข้มงวดจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้ปล่อยเกินไป ให้พื้นที่กับเราพอสมควร ทำให้เรารู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องปิดปัง”
หลังจากทำงานบนสายงานโรงแรมหลายปี รินพบว่าเลือกงานได้เหมาะกับจริตของเธอ ซึ่งเป็นคนกระตือรือร้น ชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ และรักการเดินทาง
“ถือว่าเป็นประสบการณ์ทำงานที่ดี ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้น ความท้าทายก็มากขึ้น เดี๋ยวนี้โรงแรมแข่งขันสูง ทุกโรงแรมมีโปรโมชันคล้ายๆ กันหมด แต่จะทำอย่างไรให้ดึงลูกค้าได้ ให้เราเป็นเอาต์ออฟเดอะบ็อกซ์ แต่ยังอยู่ในสแตนดาร์ดของโรงแรม ยิ่งตอนนี้โซเชียล มีเดีย กำลังบูม คนทำมาร์เกตติ้งยิ่งต้องไวมากๆ เพราะเทคโนโลยีมันไลฟ์และเร็วก็จริง แต่เราก็ต้องทำงานระวังขึ้น”
ถึงเป็นคนทุ่มเทให้กับงาน แต่รินก็เวิร์กไลฟ์ บาลานซ์ ชนิด Work Hard, Play Hard ว่างเป็นไม่ได้ ต้องเสาะแสวงหาสถานที่เที่ยวฮาร์ดคอร์ ประเภทปีนเขา เดินป่า โดยเฉพาะดำน้ำ กิจกรรมโปรดที่เธอเก็บแต้มแหล่งดำน้ำมีชื่อเสียงไปทั่วเอเชียแล้ว ไม่ว่าจะอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, ลาว รวมถึงไทย อย่างเกาะเต่า, สิมิลัน, ภูเก็ต และล่าสุดมีแผนแบกเป้ไปพิชิตยอดเขาคินาบาลู ประเทศมาเลเซีย กับความสูงกว่า 3,000 เมตร ให้อารมณ์ประหนึ่งแตะขอบฟ้าก็ไม่ปาน
“เวลาทำงานเครียดๆ จะเริ่มเปิดปฏิทินแล้วว่าเมื่อไหร่จะหยุดยาว วางแผนเที่ยวล่วงหน้า อาจเพราะเป็นคนไม่ค่อยกลัวอะไรเท่าไร รินจะเลือกสถานที่เที่ยวที่ให้ความตื่นเต้น เวลาเที่ยวจะรู้สึกเหมือนได้เติมพลังให้กับตัวเอง กลับมาลุยงานต่อได้”
หนุ่มอสังหาฯ หัวใจวินเทจ
ปิดท้ายการสนทนาที่ “โก้-ศุภกฤต” ลูกชายคนกลาง ที่เพิ่งสำเร็จปริญญาโท Coventry University สาขา International hospitality and tourism management จากอังกฤษมาหมาดๆ แต่กลับมาจับงานสายเอเยนซีอสังหาริมทรัพย์ ในตำแหน่ง Negotiator Office Services ในบริษัทอินเตอร์อันดับต้นๆ อย่าง CBRE (Thailand) โดยเขาทำหน้าที่ให้คำปรึกษา เจรจาต่อรองและประสานงานกับลูกค้าทั้งในระดับโกลบอลและผู้ประกอบการ เพื่อตอบความต้องการของลูกค้าที่มองหาพื้นที่เช่าออฟฟิศแตกต่างกันไป
“ตอนเด็กไม่คิดว่าจะมาทำสายนี้ พอโตมาได้เรียนรู้สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่คุยกับคุณปู่คุณย่า ทำให้รู้สึกว่าอสังหาฯ น่าสนใจ สามารถนำมาต่อยอดธุรกิจที่บ้านได้ด้วย ความท้าทายของงานนี้อยู่ที่การเจรจาลูกค้า ต้องใจเย็น เรียนรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร และต้องดูว่าเราเต็มที่หรือยัง ธุรกิจนี้คู่แข่งเยอะ สิ่งที่ยากคือเราจะทำให้ลูกค้าเชื่อใจได้อย่างไรว่าเราหาออฟฟิศที่ดีที่สุดในดีลที่ดีที่สุด” โก้เล่าถึงเนื้องานของเขาอย่างฉะฉาน แสดงถึงพลังพลุ่งพล่านของคนรุ่นใหม่ จนไม่อยากเชื่อว่าหนุ่มคนนี้จะเคยเป็นเด็กเกเรมาก่อน
“ถามว่าเป็นพวก Workaholic ไหม คงไม่ขนาดนั้น คือถ้าอยู่ที่ทำงาน ผมต้องทำให้เสร็จไม่เอากลับบ้าน เป็นคนไม่ชอบค้างอะไรไว้ต้องเคลียร์ให้เสร็จ เพราะรู้สึกว่าพอกลับบ้านคือเวลาพักผ่อน ฉะนั้นเวลาทำงานผมให้ 100% เลย อาจจะเป็นคนเป๊ะๆ ทั้งที่ตอนเด็กไม่มีระเบียบเลย ค่อนข้างแสบด้วยซ้ำ ถึงขั้นโรงเรียนเชิญคุณพ่อคุณแม่ไปพบเลย แต่พอโตความคิดเปลี่ยน รู้สึกว่ามันคือชีวิตเรา ทุกอย่างต้องตั้งใจถึงจะออกมาดี และถ้าคิดแล้วต้องทำด้วย”
หนุ่มโก้ย้อนถึงจุดเปลี่ยนในครั้งนั้นว่า เพราะได้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจและไม่เคยบังคับ สอนให้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่า สิ่งที่ทำนั้นดีหรือไม่ดีกับชีวิต
“ตอนนั้นพ่อแม่ให้เราเรียนรู้เอง โดนเองกับตัว ทำให้รู้สึกว่าเรารู้เร็วกว่าคนอื่น ไม่เหมือนเพื่อนโก้ที่พ่อแม่ห้ามนู่นห้ามนี่ ตอนผมเด็กๆ อายุ 15-16 ก็เที่ยวกลางคืนแล้ว แอบขับรถไปรับเพื่อน คุณแม่ให้ไปเรียนรู้เองเลยว่าดื่มเหล้าไม่ดียังไง เมาขนาดไหน ตอนเด็กจะคิดน้อย พอโตเริ่มคิดเยอะขึ้น ยิ่งเป็นลูกผู้ชายคนเดียว มีพี่น้องก็เริ่มเป็นห่วง เริ่มรักตัวเอง ทำให้คิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้น”
เรียกว่าได้คุณพ่อคุณแม่เป็นเข็มทิศนำทาง ซึ่งโก้ยอมรับว่าซึมซับวิธีคิดหลายอย่างมาจากท่านทั้ง 2 โดยเฉพาะความมีวินัยและขยันขันแข็ง เนื่องจากตั้งแต่เด็กเห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงานมาตลอด ทำให้เรียนรู้ว่าการคุมลูกน้องได้ขนาดนี้ ต้องเกิดจากการสร้างความเชื่อใจ จึงจะพาบริษัทสู้กับอุปสรรคในอนาคตได้
นอกจากมรดกทางความคิดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่โก้ได้มาเต็มๆ คือการเห็นคุณค่าในของเก่า ของโบราณ ซึ่งคงเกิดจากการคลุกคลีและสนิทกับคุณพ่อ
“กับคุณพ่อ เราชอบอะไรเหมือนกัน เรื่องนาฬิกา รถโมเดล รถคลาสสิก ตอนเด็กๆ คุณพ่อจะพาไปดูแข่งประกวดรถโมเดล รถคลาสสิก กลายเป็นทำให้เราชอบเหมือนกัน เวลาคุณพ่อไปซื้อรถเก่ามาสักคัน เราจะช่วยกันดู คุณพ่อทำหน้าที่เป็นช่าง ไปคุยกับอู่ซ่อม เราก็เป็นผู้ติดตาม สนุกดี เป็นกิจกรรมที่เราได้แชร์กัน”
“เสน่ห์สิ่งของเหล่านี้อยู่ที่ไหน ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี อย่างรถเก่าชอบความสวยงามของรูปทรงหน้าตา เป็นเสน่ห์ความวินเทจที่มีรายละเอียดมากกว่ารถสมัยนี้ แต่ถ้าเป็นนาฬิกาหรือรถโมเดล นอกจากสวยงามแล้ว ยังมีสตอรี่ในตัวเอง มีเรื่องราวที่ทำให้คนสมัยนี้ให้ความสำคัญ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่ฮิตเลย แต่กลับมาป็อปปูลาร์ในยุคนี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ไม่มีในรถสมัยใหม่”
ออกแนวหลงใหลขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจ หากเห็นหนุ่มน้อยคนนี้ใส่นาฬิกาโบราณ หรือขับรถคลาสสิก สลับไปมากับคุณพ่ออยู่บ่อยๆ เพราะเป็นกิจกรรมโปรดของพ่อ-ลูกคู่นี้ :: Text by FLASH
นายแบบ & นางแบบ : กฤษฎา, วิภาวรรณ, ศรินญา, ศุภกฤต และภูริษา มหาดำรงค์กุล
สถานที่ : ห้องเพรซิเดนเชียล สวีท โรงแรม สวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0-2694-2222
ประสานงาน : พรรณพิมล แดงรัศมีโสภณ
ช่างภาพ : กมลภัทร พงษ์สุวรรณ