xs
xsm
sm
md
lg

สองหนุ่มหล่อต่างสไตล์ Men’s Health VS Cleo

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


>>ถ้าเปรียบเทียบ “ปาแปง-ณลัฏฐ์ ปรียาภรณ์มารวิช” กับ “ท็อป-ทศพล หมายสุข” เป็นคู่มวย ด้วยดีกรีความหล่อที่สูสี บวกกับโปรไฟล์ของทั้งคู่ ที่แม้จะโดดเด่นมาคนละสาย แต่ก็เรียกว่าไม่มีใครเป็นมวยรอง เพราะมีเข็มขัดแชมป์ค้ำคอทั้งคู่ และเชื่อว่า ถ้าเสียงระฆังดังขึ้นเมื่อไหร่ คงเล่นเอาผู้ชมข้างเวทีเชียร์กันตัวโก่ง เพราะน็อกกันไม่ลง ต้องรอลุ้นผลคะแนนชี้ขาดอย่างเดียว

โชคดีที่ในโลกแห่งความเป็นจริง แม้ทั้งคู่จะตัดสินใจพาตัวเองกระโดดขึ้นสังเวียน ในฐานะหนุ่มหล่อโปรไฟล์ดี แต่เส้นทางของทั้งคู่กลับไม่ได้โคจรมาอยู่บนเวทีเดียวกันให้กรรมการต้องหนักใจ เพราะฟากสปอร์ตแมนตัวพ่ออย่าง “ปาแปง-ณลัฏฐ์” เลือกพาหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มของตัวเองไปเข้าประกวดในเวที Men’s Health Guy Award ส่วนหนุ่มอารมณ์ดี ขี้เล่น อย่าง “ท็อป-ทศพล” ใช้เสน่ห์ที่เปี่ยมล้นในตัวเอง ไปวัดเรตติ้งความฮอตกับการประกวด 50 หนุ่มคลีโอ

Celeb Online ไม่รอช้า ชวนแชมป์จากสองเวทีมาประชันหล่อ พร้อมท้าดวลกันแบบคำถามต่อคำถามซะเลย ถ้าพร้อมแล้ว เริ่ม Battle!

อะไรคือแรงบันดาลใจสู่เวทีประกวด?

ปาแปง : “ผมเป็นแฟนของนิตยสาร Men’s Health อยู่แล้วครับ ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่อังกฤษ เพราะผมชอบอ่านหนังสือแนวสุขภาพ ตอนเรียนอยู่ที่นู่นผมสมัครเป็นสมาชิกรายเดือนเลย พอเรียนจบกลับมาเมืองไทย ผมก็ยังตามอ่านนิตยสารนี้อยู่ จนไปเห็นว่ามีการเปิดรับสมัครหนุ่มเมนเฮลท์ เฟ้นหาคนรักสุขภาพ อยากเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา ที่สำคัญเขาคัดโดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีโปรไฟล์ที่ดี หรือรูปร่างหน้าตาต้องดูดีอยู่แล้ว ผมเห็นว่าน่าสนใจดี เลยลองไปสมัคร พอสมัครไปตามกระบวนการก็จะคัดเลือกจากโปรไฟล์ที่เราส่งไป โชคดีว่าผมติดเข้ามาเรื่อยๆ (หัวเราะ) ในที่สุดทางทีมงานก็โทร.มาบอกว่าผมผ่านเข้ารอบให้มาแคสต์รวม”

ท็อป : “ของผม พอดีทางทีมงานคลีโอ โทรศัพท์หารุ่นพี่ที่ผมรู้จักคนหนึ่ง ถามว่ามีคนรู้จักที่มีบุคลิกออกแนวหนุ่มอารมณ์ดีมั้ย รุ่นพี่คนนี้ก็เลยนึกถึงผม โทรศัพท์มาชวนผม ถามว่าผมสนใจมั้ย ซึ่งด้วยอายุผม 26 ปี ก็แก่แล้วนะ (หัวเราะ) แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์เลยไปลองดู ตอนที่ไป ผมชวนเพื่อนไปอีก 4 คน เท่ากับว่าวันที่เราไปเจอทางทีมงานคลีโอ เราไปกัน 5 คน วันนั้นพวกเราก็คุยสัมภาษณ์กับทางทีมคลีโออารมณ์ประมาณที่เราคุยกันวันนี้แหละครับ ปรากฏว่าวันนั้นพวกเราผ่านเข้ารอบกันไป 3 คน จากนั้นทางทีมงานก็คัดเลือกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งผมติด 1 ใน 50 หนุ่มคลีโอ

จริงๆ การประกวดถือว่าจบแล้ว ทั้ง 50 หนุ่มถือว่าได้ตำแหน่งหนุ่มคลีโอหมด แต่ความพิเศษของเวทีนี้ คือ จะมีการประกาศรางวัลเพิ่มอีก 12 รางวัล เช่น รางวัลสุดยอดหนุ่มหล่อเนี้ยบนำเทรนด์ สุดยอดหนุ่มโรแมนติกสุดเซอร์ หรือสุดยอดหนุ่มฮอตซิกแพก แต่รางวัลใหญ่ที่สุดคือ สุดยอดหนุ่มโสดในฝันแห่งปี 2015 ซึ่งผมได้รางวัลนี้มาครับ”

คิดว่าอะไรในตัวคุณที่ทำให้เอาชนะหนุ่มหล่อ โปรไฟล์ดีคนอื่นๆ มาได้?

ปาแปง : จริงๆ ผมใหม่มากสำหรับวงการนี้นะครับ ผมไม่เคยแคสต์งานมาก่อน ถึงทุกปีที่ผมกลับจากอังกฤษมาเยี่ยมบ้าน จะมีโมเดลลิ่งมาทาบทามให้ผมไปแคสต์งาน แต่ผมไม่เคยไป เพราะผมคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับงานตรงนี้ คิดว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายที่หน้าตาดี แอกติ้งไม่ได้ แต่สำหรับเวทีเมนเฮลท์ อย่างที่บอกว่าเขามองหาสุภาพบุรุษที่มีสุขภาพดี ไม่ได้เฟ้นหานักแสดง ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบออกกำลังอยู่แล้ว จึงสนใจ

ตอนที่มาสมัคร ผมไม่ได้วาดภาพตัวเองว่าต้องเป็นผู้ชนะ วันที่มาสมัคร ผมไปขอลางานกับหัวหน้า พูดติดตลกว่าจะไปแคสต์งาน (ยิ้ม) หัวหน้าก็ยอมให้มา ตอนนั้นก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะทางทีมงานก็ต้องคัดจากประวัติรูปถ่ายของเราก่อน คัดจาก 500 คนมาเหลือ 150 คน แล้วก็ไปเข้าบูทแคมป์อีก 25 คน จากนั้นค่อยคัดเหลือ 12 คนสุดท้าย

ถามว่าอะไรทำให้ผมชนะ ผมมองว่าความเป็นตัวของตัวเอง บวกกับบุคลิกส่วนตัวของผม การตอบคำถาม ซึ่งผมว่ามีความสำคัญมากกว่าบุคลิกภายนอก ผมว่ากรรมการเลือกผม เพราะเขามองว่าผมมีความคิดที่ไม่เหมือนคนอื่น ไม่ได้เฟกเพื่อให้ตัวเองดูดี อีกอย่าง มีคนบอกว่าถ้าผมยิ้มแล้วจะดูดี ถ้าทำหน้าเฉยๆ จะดูซีเรียสไป ซึ่งส่วนตัวผมก็เป็นคนยิ้มง่ายอยู่แล้วครับ

ท็อป : ผมกล้าสาบานเลยนะครับว่า ตั้งแต่มาสมัคร ผมไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะติด 50 หนุ่มคลีโอ หรือถึงขั้นได้รางวัลสุดยอดหนุ่มโสดในฝันแห่งปี 2015 เลย ยิ่งผมเห็นโปรไฟล์ของหนุ่มโสดคนอื่นที่มาดีๆ ทั้งนั้น บางคนเป็นนักบิน โบรกเกอร์ นักแข่งรถ นักแสดง นักร้อง แต่พอสุดท้ายแล้ว ผมได้รางวัลนี้มา ถามว่าอะไรคือเสน่ห์ในตัวผมที่ทำให้ผมได้รางวัลนี้มา ผมคิดว่าความเป็นตัวผมเองนี่แหละ

ถามว่าเราเด่นกว่าคนอื่นมั้ย ไม่เลย ใน 50 หนุ่มคลีโอ ทุกคนมีคาแรกเตอร์ของตัวเองชัดเจน เพียงแต่ว่าใครจะโชว์ความเป็นตัวเองออกมาได้มากที่สุด เพราะบางคนอาจจะมีเสน่ห์ แต่เขาเป็นคนขี้อาย เลยไม่ได้แสดงออกมา

อีกอย่าง อาจจะเพราะผมหน้าเหมือนพี่โจ๊ก โซคูล (กรภพ จันทร์เจริญ) กับพี่แสตมป์ (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) หรือเปล่า (หัวเราะ) เอาจริงๆ ถ้ามองหน้าผมกับหน้าพี่โจ๊กคนละที จะดูคล้าย แต่ถ้ามายืนข้างๆ กัน จะไม่คล้ายเลยนะ หรืออย่างที่ผ่านมาผมเคยไปทานข้าว แล้วมีคนเข้ามาถามว่า ขอโทษนะคะ นี่พี่แสตมป์หรือเปล่า ผมต้องปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่จะเหมือนหรือไม่เหมือนขนาดไหนไม่รู้ ทีมงานคลีโอก็เรียกผมว่า ท็อป โซคูล (หัวเราะ)

เล่าถึงเส้นทางชีวิตของทั้งคู่ก่อนจะมาประกวด?

ปาแปง : ด้วยความที่ผมรักในกีฬามาตั้งแต่เด็ก ผมเคยฝันว่าอยากจะเป็นนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติ แต่ทางบ้านไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ อยากให้ผมโฟกัสด้านการเรียนมากกว่า ดังนั้น ตอนที่ตัดสินใจไปเรียนไฮสคูลที่อังกฤษ ผมเลยเลือกทำตามสิ่งที่แม่ต้องการ และเดินตามความฝันของผมไปพร้อมๆ กัน ด้วยการเข้าเรียนในโรงเรียน Myerscough College ซึ่งเป็นโรงเรียนสายอาชีพอันดับ 1 ของอังกฤษ มีทั้งสาขาเกี่ยวกับฟุตบอล กอล์ฟ พยาบาล พูดง่ายๆ ว่า ใครอยากไปสายอาชีพไหนก็มาเรียน อย่างผมอยากเป็นนักฟุตบอลมาเรียนที่นี่ ก็ชอบมาก เพราะตั้งแต่เช้าเขาจะให้ซ้อมฟุตบอลอย่างจริงจัง เพื่อให้ไปแข่งขันตามลีกต่างๆ พอตกบ่ายค่อยเรียนด้านวิชาการ

พอจบไฮสคูล ผมเลือกเรียนด้าน Football Management ที่ Sheffiled Hallam University เรียนรู้แทบจะทุกอย่างเกี่ยวกับการบริหารจัดการในวงการกีฬา ช่วงที่เรียนผมก็เป็นนักฟุตบอลทีมมหาวิทยาลัยไปด้วย แต่พอเรียนจบ ผมเริ่มเห็นว่าเส้นทางที่จะไปต่อในวงการลีกฟุตบอลต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้น ผมจึงบอกตัวเองว่า ถึงเส้นทางที่อยากไปต่อจะยาก แต่ผมก็อยากทำงานที่ยังได้อยู่ในวงการกีฬา ดังนั้น หลังจากเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 ผมก็กลับมาเมืองไทย และเข้าทำงานด้าน Sport Marketing Coordinator คอยประสานงานกับต่างประเทศเวลาต้องมีโปรเจกต์เกี่ยวกับกีฬาร่วมกัน ตอนนี้ทำมาจะ 1 ปีแล้วครับ

ท็อป : ส่วนผมตอนนี้เป็นพิธีกรและนักแสดง แต่จริงๆ แล้วผมจบสาขาวิศวโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ย้อนกลับไป ผมเริ่มแคสต์งานตั้งแต่ ม.4 ได้มีโอกาสรับงานโฆษณามาเรื่อยๆ จน ม.6 ผมได้เล่นละครเรื่องขบวนการสปอร์ตเรนเจอร์ ของค่ายบรอดคาซท์ ไทย เทเลชั่น ผมเล่นเป็นมนุษย์ไฟฟ้าตัวสีเขียว (หัวเราะ)
ณลัฏฐ์ ปรียาภรณ์มารวิช
พอจะเข้ามหาวิทยาลัย ตอนแรกผมสอบตรงเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) แต่ตอนนั้นคุณแม่ผมไม่สนับสนุนให้เรียน เพราะกลัวจบมาแล้วจะหางานยาก ผมเลยเบนเข็มอยากจะเป็นหมอ เพราะแม่ผมก็เป็นพยาบาล แต่โชคไม่ดีปีที่ผมจะสอบ เป็นปีแรกที่มีการจำกัดเกรดผู้เข้าสอบเป็นแพทย์ และเป็นปีแรกที่รวมการสอบของสถาบันด้านการแพทย์ 11 สถาบันไว้ในวันเดียว ด้วยเหตุนี้ ผมจึงหมดสิทธิ์ที่จะสอบ สุดท้ายเลยมาสอบเข้าที่พระนครเหนือแทน

แต่พอปีต่อมา ปรากฏว่ากฎเรื่องการสอบคณะแพทย์ปีผมเลิกไป เพื่อนผมบางคน ยอมซิ่วมาสอบใหม่ แต่สำหรับผม ด้วยความที่ตอนนั้นคุณแม่ใกล้เกษียณแล้ว ผมต้องเสียเวลา 1 ปี แล้วยังต้องเรียนหมออีก 6 ปี คงเป็นภาระหนักไปกับครอบครัว ผมบอกกับตัวเองเสมอว่า คนเราต้องเดินไปข้างหน้า อย่าเดินถอยหลัง ผมเริ่มตั้งใจเรียนวิศวะต่อ โดยในช่วงปี 1 ปี 2 ผมไม่ได้ไปแคสต์งานเลย เพราะเรียนหนักมาก ต้องสอบให้ผ่านทุกตัว เพราะคณะผมวิชาเรียนจะต่อเนื่องกัน ถ้าวิชาพื้นฐานไม่ผ่าน ก็ลงเรียนวิชาต่อไปไม่ได้ จนกระทั่งขึ้นปี 3 เริ่มเข้าภาค เรียนเบาลง ผมถึงได้กลับมารับงานโฆษณาอีกครั้ง

พอเรียนจบ ตอนแรกผมได้งานที่อิตัลไทย แต่งานสายวิศวะค่อนข้างต้องใช้ความรับผิดชอบสูง ยิ่งเราเป็นจูเนียร์จะมาขาดงานบ่อยๆ ไม่ได้ ด้วยความที่ช่วงนั้นโอกาสในวงการบันเทิงเข้ามาเยอะ ผมเห็นว่าเป็นโอกาสบวกกับความชอบในงานด้านนี้ เลยเลือกที่จะมาโลดแล่นในวงการแทน ซึ่งตอนนั้นคุณแม่ก็โอเคกับการตัดสินใจของเรา
ทศพล หมายสุข
ทุกวันนี้ คุณมองว่า จุดที่ยืนอยู่คือจุดที่ใช่แล้วหรือยัง?

ท็อป : สำหรับผมถ้ามองย้อนกลับไปผมไม่เสียใจกับการตัดสินใจของผมเลยนะ 3 ปีที่ผมเริ่มทำงานมา อย่างน้อยก็ทำให้ผมสามารถซื้อคอนโดมิเนียมใหม่เป็นบ้านหลังใหม่ของผมและแม่ได้ และผมเองก็สนุกกับการทำงานพิธีกร ได้เป็นนักแสดง ละครเรื่องล่าสุด คือ ตี๋ใหญ่ดับดาวโจร ผมรับบทเป็นเด็กออทิสติก ถามว่าชอบมั้ย ท้าทายดี ถ้ามีโอกาสสักครั้งผมก็อยากลองเล่นหนังนะ ได้สวมคาแรกเตอร์แบบดราม่า คงเป็นอะไรที่ท้าทาย

ถามว่าวางแผนจะอยู่ในวงการนี้นานไหม ผมคงตอบไม่ได้ แล้วแต่ผู้ใหญ่จะให้โอกาส แต่ในอนาคตผมวางแผนจะทำธุรกิจของตัวเองแน่ๆ ตอนนี้มีสองอย่างที่ผมอยากทำ คือ ตั้งมูลนิธิ ทุกวันนี้ผมเห็นข่าวเด็กถูกกระทำรุนแรงบ่อยๆ แต่หลังจากเรื่องราวถูกนำเสนอออกมา กลับไม่มีการติดตามข่าวหลังจากนั้นว่าเด็กคนนี้จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร เขาจะเติบโตขึ้นมาในสภาพจิตใจที่มีบาดแผลนี้อย่างไร ซึ่งผมอยากทำมูลนิธิเพื่อเข้าไปเยียวยาบาดแผลทางจิตใจของเด็กๆ เหล่านี้ อีกธุรกิจที่ผมสนใจคือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับกลุ่มผู้สูงอายุ เพราะอย่างที่รู้ว่าตอนนี้สังคมเรากำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเข้าไปเรื่อยๆ

ปาแปง : อย่างที่บอกว่าอาชีพในฝันของผม ถึงจะไม่ได้เป็นนักกีฬา แต่ก็ขอให้ได้โลดแล่นอยู่ในวงการกีฬา ในอนาคตหลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานไป 1-2 ปี ผมวางแผนว่าจะไปเรียนต่อปริญญาโท และยังเดินหน้าที่จะทำงานในแวดวงกีฬา หลังจากเรียนจบปริญญาโทผมอาจสมัครเข้าทำงานกับสโมรสรฟุตบอลในต่างประเทศ หรือทำงานใน Sport Management Company อีกส่วนหนึ่งคือ งานในวงการบันเทิง ถ้ามีโอกาสดีๆ ผ่านเข้ามา ผมก็อาจจะลองดู อย่างตอนนี้ ผมก็เริ่มมีไปเดินแบบบ้าง

ไลฟ์สไตล์วันว่างของทั้งคู่คืออะไร?

ปาแปง : กิจกรรมโปรดของผมคือ อ่านหนังสือ บางครั้งผมก็ไปตามหาร้านอาหารอร่อย ร้านกาแฟบรรยากาศดี สำหรับเอาหนังสือไปนั่งอ่าน นอกจากนั้น ผมจะเข้ายิม อย่างช่วงนี้ไม่ต้องดูแลรูปร่างหนักมากเหมือนช่วงก่อนประกวดที่ต้องเข้ายิมแทบทุกวัน คุมอาหารการกิน ต้องงดของหวาน กินวิตามินเสริม ผมก็ลดลงมาเหลือเข้ายิมสัปดาห์ละ 3-4 วัน

ส่วนกีฬา ผมเล่นได้ทั้ง 7 วัน วันนี้เตะบอล พรุ่งนี้ตีเทนนิส เล่นกอล์ฟ แต่ช่วงหลังๆ พอมาทำงาน ผมก็ไม่ได้เล่นบอล ซ้อมบอลหนักเหมือนเก่าแล้ว จะมีอินเป็นพิเศษก็เวลาดูบอลแมตช์ต่างๆ ผมจะดูละเอียดมาก ไม่ใช่แค่ผมแพ้ชนะ แต่ประหนึ่งแปลงร่างเป็นโค้ชคอยศึกษาว่าผู้เล่นคนไหนเล่นดีหรือไม่ดี

ท็อป : วันว่างของผมตอนนี้ก็ต้องแต่งบ้าน เพราะอย่างที่บอกว่าเพิ่งซื้อคอนโด นอกนั้นก็ไปดูหนัง เตะบอล ว่ายน้ำ เข้าฟิตเนส อีกอย่างคือ ตอนนี้ผมกำลังหัดเล่นเทนนิส เพราะที่คอนโดมิเนียมของผมมีคอร์ตตีเทนนิสด้วย นอกจากกิจกรรมวันว่าง อีกหนึ่งอย่างที่ผมชอบมากๆ และอดใจไม่ไหว เห็นทีไรต้องซื้อคือ กางเกงยีนส์ (ต้องเป็นทรงคลาสสิก ไม่ใช่ทรงเดฟ) แว่นกันแดด และรองเท้า ซึ่งผมซื้อตามความชอบ ไม่เน้นอิงแบรนด์ ส่วนนาฬิกาก็ชอบซื้อแต่ไม่ได้บ่อย เพราะราคาแต่ละเรือนค่อนข้างสูง

ในฐานะที่เป็นสปอร์ตแมนทั้งคู่ คุณมองว่าอะไรคือเสน่ห์ของการเล่นกีฬา?

ปาแปง : ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ท้าทาย และมีการแข่งขัน ด้วยความที่ผมไม่ชอบพบกับความพ่ายแพ้ ฟุตบอลเลยยิ่งเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผมอยากพัฒนาตัวเองไปข้างหน้าตลอด ซึ่งแรงขับนี้ ผมก็เอามาใช้ในชีวิตประจำวันของผมในการทำงานหลายอย่าง ให้เรามีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และยอมแพ้ให้กับอะไรง่ายๆ

เคยมีแมตช์หนึ่งที่ผมจำไม่ลืม และเป็นแมตช์ที่ทำให้ผมเสียใจที่สุด คือ ตอน ม.ปลาย มีการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์ระดับไฮสคูล จากที่ผมได้ลงสนามในฐานะตัวจริงมาตลอด ในแมตช์นั้นโค้ชกลับไม่ให้ผมลง ให้เป็นตัวสำรอง เพราะเห็นว่าที่ผ่านมา Performance ผมแย่ลง ครั้งนั้นผมผิดหวังและเสียใจมาก แต่ผมก็ยอมรับการตัดสินใจและคำตำหนิของโค้ช ทำให้หลังจากนั้น ผมพยายามเต็มที่กับทุกครั้งที่ลงสนาม ผลักดันตัวเองตลอด

จนมาสู่แมตช์ที่ผมภูมิใจที่สุด คือ ผมได้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยม ตามที่เข้าทีมมหาวิทยาลัย ซึ่งรางวัลนี้เขาคัดนักเตะจากทีมละคนเท่านั้น ซึ่งในฐานะนักเรียนเอเชียที่ได้ไปอยู่ในทีมมหาวิทยาลัยและได้รางวัลนี้ถือว่าเป็นอะไรที่ภูมิใจมาก

ท็อป : ผมมองภาพการออกกำลังกายไปไกลกว่าแค่ได้สุขภาพ เพราะกีฬาที่ผมเล่นส่วนใหญ่ นอกจากว่ายน้ำ ต้องมีเพื่อนมาร่วมด้วย ซึ่งเท่ากับว่าการเล่นกีฬาทำให้ผมได้สังคม โดยเฉพาะฟุตบอล สอนให้ผมรู้จักปล่อยวาง ในการเล่นกีฬาสอนอยู่แล้วว่าคนเราต้องรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ในการลงสนามแต่ละครั้ง แน่นอนว่าต้องมีการกระทบกระทั่งกันระหว่างผู้เล่น บางครั้งต้องถูกตำหนิทั้งที่เราเป็นฝ่ายถูก หรือบางทีทีมเราแพ้เพราะเพื่อนร่วมทีมทำผลงานได้ไม่ดี

จะว่าไปทุกเรื่องราวในสนามฟุตบอลนี้ จริงๆ ก็เหมือนสังคมที่เราอยู่ บางครั้งเราก็ต้องใช้ชีวิตอยู่เป็นทีม ต้องมีกระทบกระทั่ง มีปัญหากันบ้างเป็นธรรมดา ซึ่งเราต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ให้ได้ เพราะไม่ว่าในสนามหรือชีวิตจริงก็เพื่อนเราหมด บางคนเล่นกีฬาแล้วจริงจังมาก แพ้ไม่ยอม ซึ่งในฐานะผู้เล่นคนหนึ่งเราต้องเข้าใจว่าไม่มีใครอยากให้เกิดความผิดพลาด ดังนั้นการควบคุมอารมณ์เป็นสิ่งสำคัญ

หลังจากดวลคำถามต่อคำถามมาจนถึงตรงนี้ ให้ทั้งคู่ได้โชว์หมัดเด็ดของแต่ละฝ่ายพอหอมปากหอมคอ เชื่อว่าคงทำให้ใครหลายคนอดตกหลุมรักสองหนุ่มต่างสไตล์ไม่ได้ แต่แทนที่จะมัวเลือกให้ปวดหัว คำตอบของโจทย์นี้ง่ายกว่าที่คิด แค่ลองเปิดใจรับทั้งสองหนุ่มไว้ในฐานะคนหนุ่มหน้าตาดี แถมอนาคตไกลไว้ทั้งคู่ซะเลย

ถอดรหัสหัวใจ สเปกผู้หญิงในฝันของสองหนุ่มผู้ทำสาวๆ หัวใจละลาย

ปาแปง : ก่อนอื่นผมต้องดูที่นิสัยก่อน อย่างน้อยผู้หญิงที่ผมจะชอบต้องเป็นคนที่มีนิสัยเข้ากับคนอื่นง่าย ที่สำคัญเข้ากับครอบครัวผมได้ ส่วนเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก ผมชอบผู้หญิงน่ารัก ยิ้มเก่ง ตัวสูง หุ่นดี คำว่าหุ่นดีของผม ไม่มีกรอบ แต่ขอให้ดูเป็นผู้หญิงสุขภาพดี ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายมากเกินไป แต่แค่รู้จักดูแลตัวเองบ้าง

ท็อป : สำหรับผมไม่มีสเปกนะครับ อย่างน้อยผู้หญิงที่ผมจะชอบต้องเป็นผู้หญิงที่ผมรู้จักมาก่อน สำหรับรักแรกพบ เจอแล้วปิ๊งเลย ผมบอกตัวเองว่า นั่นคือ โมเมนต์ที่เราได้เจอผู้หญิงสวยมากกว่า

สเปกของผม (ทำหน้าหนักใจเล็กน้อย) เขาต้องรักครอบครัวของเขา มีสังคมในส่วนของเขาที่แข็งแรง หมายความว่า ไม่ใช่พอเป็นแฟนกับผมแล้วโลกทั้งใบของเขาคือตัวผม เพราะผมมองว่า ถ้าโลกเดิมของเขาที่ไม่มีผมมีความสุขอยู่แล้ว เมื่อผมเข้าไปเพิ่มในโลกของเขา ผมจะเป็นความสุขอีกส่วนหนึ่ง ไม่จำเป็นที่เขาต้องเปลี่ยนชีวิต มาอยู่ในโลกที่มีแต่เราสองคนตลอดเวลา เพราะผมเคยมีประสบการณ์มีแฟนที่พอเราคบกัน เขาตัดขาดจากเพื่อน ทิ้งทุกอย่างมาอยู่กับผม ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีกับเขา เมื่อไหร่ที่ความรักเราไม่ได้เป็นดั่งหวังหรือเราเบื่อกัน เขาจะเสียใจมาก

ส่วนหน้าตา แคร์มั้ย แน่นอนครับ (ยิ้ม) สำหรับผมขอแค่รวมๆ ดูดี ไม่ต้องสวยมากก็ได้ เพราะผมว่าถึงแม้จะเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดา แต่ถ้าลองได้นั่งมองนานๆ ได้นั่งคุยกันสักพัก ความสวยในตัวผู้หญิงแต่ละคนจะค่อยๆ ปรากฏออกมา ที่สำคัญอีกอย่างคือ บุคลิกท่าทางการแต่งตัวของผู้หญิงที่ผมชอบโดยรวมต้องไปด้วยกันได้ :: Text by FLASH

ขอขอบคุณ โครงการ ดิ เอส อโศก โดย สิงห์ เอสเตท โทรศัพท์ 0-2664-3555 เว็ปไซต์ www.singhaestate.co.th ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายทำ

กำลังโหลดความคิดเห็น