แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย มีชีวิตที่สมบูรณ์ แต่ใครจะรู้บ้างว่า อีกมุมหนึ่งของผู้หญิงเก่งอย่าง เเมค-จุฑาทิพย์ ติยะวัชรพงศ์ ทายาทเจ้าของ LA Bicycle กลับสนใจเรื่องการทำบุญนั่งวิปัสสนา เพื่อขัดเกลาจิตใจยิ่งนัก แม้เส้นทางบุญของแมค จะไม่หวือหวา แต่ก็มีแง่คิดให้ได้ศึกษาและน่าสนใจพอๆ กับชีวิตที่โลดแล่นในสังคมเมืองยุคปัจจุบัน
ที่ห้องทำงานขนาดใหญ่ภายในโรงงานผลิตรถจักรยาน LA เเมค-จุฑาทิพย์ ติยะวัชรพงศ์ ทายาท 1 ใน 5 ของ สุรสิทธิ์ ติยะวัชรพงศ์กำลังขะมักเขม้นกับงานตรงหน้า จนดูเหมือนไม่สนใจกับสิ่งรอบข้าง แต่เมื่อเราเดินเข้าไป เธอก็ไวพอที่ละสายตามองผู้มาเยือนใหม่ก่อนฉีกยิ้มกว้าง แล้วเดินมาเชื้อเชิญให้เรานั่งเพื่อพูดคุยตามที่นัดหมายด้วยสีหน้าสดใสทันที
แมค เริ่มต้นบอกเล่าประวัติอย่างย่อว่าเติบโตมาในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน ที่แม้จะจบจากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้ไปเป็นครูตามแบบแผน เพราะต้องเข้ามาช่วยดูแลธุรกิจของครอบครัวทันที โดยหน้าที่แรกที่ได้รับคือส่วนงานตรวจสอบและพัฒนาองค์กร จากนั้นได้รับมอบหมายงานเพิ่มให้มาเป็นเลขาฯให้สุรสิทธิ์ ผู้เป็นพ่อ และดูแลงานบุคคล ต่อด้วยการไปนั่งตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท แอลเอ อี-ไรด์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ LA Bicycle
การเข้ามารับตำแหน่งดังกล่าว ที่ดูจะเป็นภารกิจที่ใหญ่เกินกำลังสาวร่างบางอย่างเธอ แต่เธอบอกว่าไม่เกินกำลังมากนัก “โชคดีที่แมคได้เพื่อนร่วมงานดี พนักงานทุกคนน่ารักใส่ใจในงานที่รับผิดชอบ มีปัญหาอะไรจะปรึกษาช่วยกันแก้ไข ทุกครั้งที่เรากิจกรรมร่วมกัน ทุกคนจะร่วมงานกันด้วยความกลมเกลียวและพร้อมเพรียงกัน เราจะอยู่กันเหมือนครอบครัว”
น้ำเสียงและแววตายามที่แมคพูดถึงเพื่อนร่วมงานนั้น อ่อนโยนและอาทร ทำให้ผู้เขียนสัมผัสได้ถึงความผ่องใสที่ซ่อนในจิตใจ และรู้สึกสบายใจยิ่งนักยามได้อยู่ใกล้ ทำให้ต้องถามถึงวิธีการฝึกตัวให้อารมณ์สดใส มองโลกในแง่ดีเช่นนี้?? ซึ่งเธอยิ้มก่อนตอบเบาๆว่า ไม่ได้ฝึกอะไร ใช้ชีวิตเหมือนกับผู้หญิงทั่วไปที่มีงานอดิเรกทั้งเล่นกีฬา ท่องเที่ยว ดูหนังฟังเพลง
“ทุกวันถ้ามีเวลาก็ยังทำแบบนี้นะคะ เพราะจะช่วยให้ไม่เครียด นอกจากเที่ยวแล้วเวลาอีกส่วนหนึ่งจะใช้ในการสวดมนต์และนั่งสมาธิ” เมื่อได้ฟังคำตอบของสาวคนนี้ทำให้เราสนใจ พร้อมขอให้เธอขยายความเรื่องการทำบุญของเธอให้ฟัง
เส้นทางบุญของ “แมค” เริ่มต้นตั้งแต่เด็กด้วยการติดตามพ่อ-แม่ไปทำบุญในที่ต่างๆ แต่มาเริ่มรู้จักการวิปัสสนาเมื่อครั้งศึกษาที่จุฬาฯ และเริ่มเห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองจากการเข้าฝึกวิปัสสนา ถึงแม้ชีวิตเธอจะไม่ได้ขาดอะไร แต่การวิปัสสนายิ่งเติมเต็มให้ตัวเธอและเผื่อแผ่ไปยังคนรอบข้าง การวิปัสสนา ฝึกสมาธิ ทำให้เธอมีสติ ใกล้ชิดพุทธศาสนามากขึ้น รวมทั้งหลักธรรมหลายข้อที่เคยอ่านผ่านๆก็ล้วนกระจ่างชัดขึ้น หลังจากนั้น“แมค” จึงชอบศึกษาธรรมะและวิปัสสนาในยามว่าง โดยสถานปฏิบัติธรรมที่ไปประจำคือ ‘ยุวพุทธ’
“ตรงนั้นทำให้รู้ว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่อยู่ที่รูปแบบ ไม่ได้อยู่แค่การสวดมนต์ ขอพรพระ ตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา ความจริงแล้วอยู่ที่ตัวเรา อยู่ข้างในจิตใจต่างหาก การปฏิบัติธรรมคือการฝึกใจ ขณะที่การสวดมนต์นั้นคือการระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ทำให้เรามีสติและสมาธิ รู้จักการปล่อยวางมากขึ้น ทุกคนมีทั้งดีและเสียอยู่ในตัว โมโหหงุดหงิดมีกันทุกคน แต่ถ้าเรามีสติหยุดได้เร็ว หรือมีสติพอที่จะไม่โกรธเลย เรานั้นแหละเป็นคนที่ได้ประโยชน์ที่สุด”
แมค ยังบอกอีกว่า พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ เป็นพระที่เธอให้ความเคารพและศรัทธามากอีกองค์หนึ่ง พระธรรมคำสอนของท่านนวลจันทร์ ไม่สับสน ง่ายต่อการทำความเข้าใจ สะดวกต่อการปฎิบัติ ทำให้เธอจดจำทุกคำสอนเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
นอกจากการนำหลักธรรมมาใช้ดำเนินชีวิตแล้ว ในการทำธุรกิจเธอก็นำมาใช้เช่นกัน แม้จะดูไม่เข้ากันนัก แต่เธอก็อธิบายด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า “ยิ่งทำธุรกิจยิ่งจำเป็นค่ะ การลงทุนทุกอย่างมีปลายทางคือผลกำไร แต่ถ้าเราทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ตรงไปตรงมาไม่เอาเปรียบใคร ผลที่ได้จะมากกว่าแค่กำไรที่เป็นตัวเงินค่ะ”
ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ในเส้นทางบุญโดยไม่หวังผลตอบแทนของเธอนั้น เธอบอกว่าได้ความสบายใจอย่างที่สุด สำหรับปีนี้ก็วางแผนว่าจะไปนั่งวิปัสสนาเพื่อชาร์ตแบตให้ตัวเองอีกอย่างแน่นอน
ฝนสุดท้ายแห่งฤดู โปรยปรายเม็ดลงมาราวเตือนให้รู้ว่า ได้เวลาต้องลากันแล้ว เราจึงขอข้อคิดดีๆมาฝากคนรุ่นใหม่ในเรื่องของธรรมะ “ให้เป็นทางเลือกดีกว่าค่ะ เพราะแต่ละคนจะมีความชอบเป็นของตัวเอง ไม่ต้องถึงขั้นวิปัสสนาอะไรมากมาย แต่การมีสติอยู่กับตัวยังไงก็มีประโยชน์กับการดำเนินชีวิต ทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง แมคว่าการปฎิบัติธรรมไม่ต้องถึงกับหักโหม ค่อยๆสะสมวันละเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว” เเมค-จุฑาทิพย์ ติยะวัชรพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย
เรื่อง เดียว
ภาพ โอ