xs
xsm
sm
md
lg

ไลฟ์สไตล์สุดหรู สู่ธุรกิจสุดรัก ของ ฐิตวัฒน์ วัชโรทัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปิ๊ง-ฐิตวัฒน์ วัชโรทัย  กรรมการผู้จัดการ Blue Voyage
เมื่อการพักผ่อนที่ให้บริการในลักษณะปรนเปรอแบบง่ายๆตลอดเวลา 24 ชั่วโมงกลายเป็นความล้าสมัย จึงไม่น่าแปลกใจที่คนรุ่นใหม่หลายๆคน ไม่เว้นแม้แต่ ปิ๊ง-ฐิตวัฒน์ วัชโรทัย จะหันมาชื่นชอบบริการท่องเที่ยวแบบหรูหราเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อสนองความพิเศษที่แตกต่างไปจากธรรมดา โดยเฉพาะบริการดีๆบนเรือยอร์ชส่วนตัว ยามออกไปท่องโลกกว้างนั้น เป็นสิ่งปิ๊งยอมรับว่าเขาลุ่มหลงและมีความสุขมากๆ จึงต่อยอดความชอบนี้ด้วยการเปิด Blue Voyage ทำธุรกิจเรือยอร์ชให้เช่าโดยหวังให้คนรอบข้างได้ใช้ชีวิตการพักผ่อนที่พิเศษและมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุด
ปิ๊ง-ฐิตวัฒน์ วัชโรทัย กับ ออม-ธัญชนก วัชโรทัย (ชิดชนกนารถ)
 
ปิ๊ง-ฐิตวัฒน์ วัชโรทัย จัดเป็นหนุ่ม Gen C (The Connected Generation) ที่ใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดในแบบฉบับคนรุ่นใหม่ ฉลาดคิด มีชีวิตสะดวกสบายกับไลฟ์สไตล์ที่ลงตัว เขาเป็นลูกชายคนโตของ วัชรกิติ วัชโรทัย ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สำนักพระราชวัง ปัจจุบันแต่งงาน ออม-ธัญชนก วัชโรทัย (ชิดชนกนารถ) มีลูก 1 คน คือ น้องเวนิส

ปิ๊งและครอบครัวเล็กๆ ของเขา แยกตัวออกมาพักกันแบบเรียบง่ายที่คอนโดมีเนียมหรูบนถนนวิทยุ กลางใจเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งเราได้ยึดห้องรับแขกเล็กๆเป็นที่นั่งคุยกันแบบสบายๆ โดยเขาเล่าย้อนถึงอดีตช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาว่า หลังศึกษาจบไฟน์อาร์ต จาก SAIC (School of the Art Institute of Chicago) สหรัฐอเมริกา ก็เดินทางกลับไทยทันที ..ปริญญาที่หอบกลับมานั้น แม้พ่อจะยินดีด้วย แต่ก็ไม่ถึงกับปลื้มนัก เพราะพ่ออยากให้เรียนวิชาที่ให้ความมั่นคงกับชีวิต และเพื่อเป็นการตามใจพ่อ “ปิ๊ง” จึงไปสมัครเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหาร วิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) และก่อนที่จะเรียนจบต้องเข้าสู่โหมดการทำงานที่จริงจัง ปิ๊งก็ใช้เวลาระหว่างนั้น ทำในสิ่งที่เขาชื่นชอบทันที

 
ด้วยความเป็นคนชอบอิสระ ดังนั้น ไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของเขาจึงหมดเวลาไปกับการขี่ม้า และท่องเที่ยวทางทะเล โดยกีฬาขี่ม้านั้น แม้จะขี่มาตั้งแต่เด็ก แต่ถึงทุกวันนี้ก็ยังชื่นชอบ เพราะทุกครั้งที่เจอม้า เหมือนได้เจอเพื่อนที่แรกๆอาจไม่รู้ใจกัน แต่เมื่อได้เจอกันบ่อยๆจนคุ้นเคย การใช้ชีวิตอยู่กับม้าเป็นเหมือนศาสตร์และศิลป์ ยิ่งได้เจอม้าดีที่ถูกใจก็เหมือนเจอเนื้อคู่

ส่วนการท่องเที่ยวทางทะเลนั้น ปิ๊งบอกว่า แรกๆก็เหมือนคนอื่นๆคือชื่นชอบการว่ายน้ำ ดำน้ำดูปะการัง แต่เมื่อโตขึ้นมีโอกาสลงเรือยอร์ชทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ได้เห็นความพิเศษบนเรือ ความเป็นส่วนตัวแล้วชอบมาก ชอบที่มีห้องรับแขก เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งชั้นดี, มีห้องนอนใหญ่ มีห้องน้ำแยกส่วนตัว สิ่งอำนวยความสะดวกครบ เหมือนยกห้องนั่งเล่นไปไว้บนเรือ ก็คิดในใจว่าถ้ามีเงินจะต้องมีไว้ใช้สัก 1 ลำ

เมื่อถึงวันที่มีเงินเก็บมากพอ ก็ตัดสินใจซื้อเรือส่วนตัวให้เป็นของขวัญตัวเองทันที “ผมชอบขับออกไปเที่ยวกันเอง ทุกครั้งที่อยู่บนเรือรู้สึกว่าอิสระ มันไม่มีใครเลยนอกจากผมกับคนรัก มีท้องฟ้า มีทะเลเป็นเพื่อน ถ้ามีคนขับให้ผมชอบนั่งด้านหน้าเรือ เวลาเจอน้ำทะเลใสๆอยากแวะก็แวะ ผ่านเกาะที่ไม่เคยเห็นก็ลองแวะเข้าไปเที่ยว ความพิเศษตรงนี้มันเป็นสิ่งที่เราหาไม่ได้จริงๆครับ”

 
ยามที่เรากำลังพูดถึงเรื่อง “เรือ” คุณแม่ลูกอ่อนออม-ธัญชนก ภรรยาของปิ๊งกล่าวเสริมด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มว่า โชคดีที่ทั้งเธอและสามีชอบเหมือนๆกัน เลยไม่มีใครขัดใจใคร โดยเรือลำแรกของปิ๊งเป็น Cruiser Mini ขนาด 26 ฟุต “บนเรือมีทุกอย่างถ้าไม่อยากทำเองก็มีพนักงานไปช่วยดูแลทั้งเรื่องห้องพักและอาหารการกิน ออกเรือแต่ละครั้งถ้าไม่เช้ากลับเย็น ก็แวะค้างคืนตามเกาะที่เราผ่าน มีครั้งหนึ่งที่สิมิรัน เราออกไปแล้วเพลินมากขับไปเรื่อยๆ นานถึง 3 วันเลยค่ะ”

บุรุษร่างเล็กแต่ใจไม่เล็กอย่างปิ๊งยังบอกอีกว่า เสน่ห์ของการท่องเที่ยวทางเรือที่เขาชื่นชอบมากคือ ทุกครั้งที่ออกเรือ ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะได้ไปเจออะไร หลายๆครั้ง มีโอกาสไปเจอเกาะส่วนตัวซึ่งไม่มีปัญหาอะไร เพราะทุกครั้งที่แวะจะได้รับการต้อนรับที่ดี ทำให้เขาตื่นเต้นที่ได้เจอสถานที่ใหม่ๆ แต่ครั้งไหนที่ไปเจอเกาะร้างไม่มีคน เขาบอกว่าจะตื่นเต้นมาก “เวลาลงไปเดินสำรวจก็ต้องระวังเพราะไม่รู้มีอะไรที่ไม่ปลอดภัยรึเปล่า?? ถึงไม่มีคนมาอยู่ ผมก็คิดและจินตนาการไปเรื่อยๆเหมือนในหนังเลยครับ”

ส่วนครั้งที่ประทับใจและไม่อาจลืมเลยคือ ครั้งที่ออกเรือไปเพียงลำพัง 2 คนได้เจอกับพายุลม-ฝน “จำไม่เคยลืมเลยค่ะ ลมแรงหอบฝนเม็ดใหญ่ๆตกมาแต่ละเม็ดโดนหน้าเจ็บมากๆค่ะ คลื่นก็ซัดแรงเรือโคลงเคลง ออมคิดว่าไม่รอดแล้ว โชคดีปิ๊งใจเย็นค่อยๆบังคับเรือ กลัวก็กลัว หนาวก็หนาว ทุกอย่างตรงนั้นมันวังเวงไปหมด มองออกไปข้างนอกไม่มีเรือซักลำ พอทุกอย่างสงบมันก็ราบเรียบสวยงามเหมือนเดิม (หัวเราะ) เราก็เลยไม่เข็ดค่ะ”

 
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ทั้งสองมีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้มากกว่าเก่า ดังนั้นการออกทะเลในช่วงหลังๆจะเน้นไปที่ความสุข สนุกสนาน มีการชวนเพื่อนไปแชร์ความสุขถ่ายรูปในสื่อออนไลน์ก็มักมีคนมาขอเช่าเรือ ทั้งคู่จึงตัดสินใจนำเรือยอร์ชที่มีออกให้เช่าเป็นลักษณะปากต่อปาก ช่วงหลังหนุ่มปิ๊งและสาวออมจึงทำเป็นธุรกิจให้เรือยอร์ชให้เช่า และก็รับดูแลจัดการเรือให้คนรู้จัก

“พอทำในรูปแบบธุรกิจ ก็มีลูกค้าเยอะขึ้น เราก็ต้องซื้อเรือเพิ่มขึ้น ตอนนี้มีประมาณ 10 กว่าลำแล้ว และก็มีของเพื่อนบางคนที่ให้เราดูแล เขาก็อยากให้เช่าบ้าง เพราะเรือไม่ได้วิ่งก็ต้องเสียค่าที่จอด ค่าดูแลรักษาค่อนข้างแพง เราก็รับจัดการตรงนี้ให้ ค่าเช่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.5-4.5 หมื่นบาทต่อวัน”

 
จากความชอบที่ต่อยอดมาเป็นธุรกิจทำเงิน สามารถจัดสรรเวลาให้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักได้อย่างลงตัว แม้ในวันนี้อาจจะยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน เพราะอัตราค่าบริการไม่แพงมากนัก แต่เหล่านี้คือความสุขของคนทั้งคู่ที่อยากแบ่งปันให้ทุกคนได้สัมผัสความพิเศษที่แตกต่าง

กำลังโหลดความคิดเห็น