>>จะตื่นเต้นแค่ไหนถ้าในงานอีเวนต์ระดับโลกจะคลาคล่ำไปด้วยบาร์เทนเดอร์ หรือมิกโซโลจิสต์นับร้อยชีวิตจากกว่า 48 ประเทศทั่วโลก และปรมาจารย์ด้านค็อกเทลระดับโลกมารวมอยู่ในงานเดียวกัน นั่นก็คืองาน “Diageo Reserve World Class”
ผมเป็นตัวแทนของ Celeb Online และประเทศไทยไปร่วมงาน “Diageo Reserve World Class” เป็นครั้งที่สองเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยครั้งแรกที่ผมไปร่วมงานจัดขึ้นที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล และเมื่อกลางปีที่ผ่านมา จัดขึ้นที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งนับว่าทั้งสองประเทศและสองครั้งที่ผมได้รับเกียรติจาก บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี (ประเทศไทย) จำกัด ให้ไปร่วมงานนั้นแตกต่างและประสบความสำเร็จไม่น้อย
เป็นที่ทราบกันดีว่า “Diageo Reserve World Class” คือเวทีที่มีการรวมตัวของบรรดาบาร์เทนเดอร์ หรือมิกโซโลจิสต์ทั่วโลก ทั้งยังเป็นการรวมกูรูด้านค็อกเทลที่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวทั่วโลกอีกด้วย เพื่อเฟ้นหาสุดยอดมิกโซโลจิสต์ระดับโลกหนึ่งเดียว โดยแต่ละปีจะมีเจ้าภาพหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก
สำหรับปีที่ผ่านมาอังกฤษเป็นเจ้าภาพ มีผู้เข้าร่วมงานแข่งขันกว่า 48 ประเทศ และมีประเทศสมาชิกใหม่ที่มาร่วมด้วยครั้งนั้นเป็นครั้งแรก นั่นคือ อิสราเอล และเปอร์โตริโก ส่วนประเทศไทยคือ 1 ใน 48 ประเทศที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนั้นได้มี “หนึ่ง-รณภร คณิวิชาภรณ์” เป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปร่วมแข่งขันด้วย
และที่สร้างความน่าสนใจไม่น้อยสำหรับปีที่ผ่านมา คือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เอง ที่ประกอบด้วย ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และไทย ได้จับมือกันอบรมและมีการแข่งขันร่วมกัน เพื่อค้นหาสุดยอดบาร์เทนเดอร์ของภูมิภาคและตัวแทนบาร์เทนเดอร์ของแต่ละประเทศ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการจัดแข่งขันร่วมกันระหว่างประเทศภูมิภาคอาเซียน เพื่อเพิ่มยุทธวิธีจากปีก่อนที่จะเฟ้นหาตัวแทนของแต่ละประเทศเฉพาะในประเทศของตัวเองเท่านั้น นับเป็นการผนึกกำลังของผู้แข่งขันแต่ละประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มีทักษะและฝีมือเพื่อไปประลองกันในเวทีระดับโลกนั่นเอง
กฎการแข่งขันมีการแบ่งกลุ่ม เช่น กลุ่ม A กลุ่ม B และกลุ่ม C เป็นต้น จากนั้นให้ผู้แข่งขันทำค็อกเทลตามโจทย์ที่กำหนดขึ้น แล้วคัดผู้ชนะให้เหลือ 16 คน, 12 คน, 8 คน และสุดท้าย คือ แชมป์อันดับหนึ่งของโลก ซึ่งผู้ชนะไม่มีเงินรางวัล แต่จะได้ประสบการณ์ที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้ รวมถึงสิทธิพิเศษและโอกาสใหม่ๆ มากมาย ซึ่งไม่สามารถตีค่าเป็นตัวเงินได้ ส่วนผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่เข้ารอบก็จะถูกจัดอันดับให้อยู่ในชั้นลำดับต่างๆ ของโลก
ซึ่งโจทย์ที่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา และทำเอาผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกคนซีเรียส นั่นก็คือ ต้องแข่งขันสองบาร์ และเอาคะแนนแต่ละคนมารวมกัน แล้วค่อยไปแข่งขันรอบสุดท้ายอีกครั้งแต่ละโจทย์ ซึ่งโจทย์จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เทคนิคการแข่งก็จะเปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ วิสกี้ที่นำมาใช้ จากเดิมเอา “จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิล” (Johnnie Walker Blue Label) มาสร้างสรรค์รูปแบบการเสิร์ฟสวยๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นมอลต์วิสกี้จาก “ซิงเกิลตัน” (Singleton) แล้วโจทย์ที่เพิ่มเติมอีกคือ การนำมาสร้างสรรค์ค็อกเทลที่ต้องนำเสนอควบคู่ไปกับสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสมาประกอบด้วย
โจทย์ต่อไปที่น่าสนใจ คือ “Blend of the World” เป็นการนำเอาวัฒนธรรมของสองโลกมาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อวัดดูว่าผู้แข่งขันจะนำเสนออย่างไร โดยนำเอา “จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิล รีเสิร์ฟ” (Johnnie Walker Gold Label Reserve) มาผสมเพื่อให้ออกมาเป็นค็อกเทลแก้วพิเศษ
สถานที่ในการแข่งขันรอบแรกนั้นต้องบินไปไกลถึงกรุงเอดินเบิร์ก ประเทศสกอตแลนด์ แล้วต้องนั่งรถต่อมาอีกกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อไปยัง “เกลนนิเกิลส์” (Gleneagles) ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการแข่งขันอย่างมาก เพราะเมื่อพูดถึงสกอตแลนด์สถานที่แห่งนี้คือตัวแทนที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง อยู่ท่ามกลางสนามกอล์ฟอันกว้างใหญ่ โดยมีบริษัทแม่ของดิอาจิโอเป็นเจ้าของเพื่อเตรียมไว้รับรองแขกบ้านแขกเมือง แต่คนทั่วไปสามารถมาจองห้องพัก ใช้สนามกอล์ฟ และสนามกีฬาอื่นๆ ได้เพื่อสันทนาการ และพักผ่อนช่วงวันหยุด
ที่เกลนนิเกิลส์ช่วยทำให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันทุกคนได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ พร้อมทั้งฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ในการแข่งขันยังเพียบพร้อม ซึ่งครั้งนั้น “เคเทล วัน วอดก้า” (Ketel One Vodka) รับเป็นเจ้าภาพ โดยลงทุนทำห้องเตรียมตัวให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันด้วย พร้อมด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย มีเหล้าทุกชนิดให้เลือกใช้ เรียกว่ามาตัวเปล่าก็ยังทำได้เลยทีเดียว และบาร์เทนเดอร์แต่ละคนก็มีความพร้อม มาตรฐานสูงขึ้น แต่ละคนเรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่ผ่านมา แล้วนำข้อผิดพลาดครั้งที่แล้วมาปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้สูงขึ้น
ปีที่ผ่านมาเจ้าภาพได้สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการเหมารถไฟขบวนพิเศษ “Orient Express” จากกรุงเอดินเบิร์ก ประเทศสกอตแลนด์ เพื่อมุ่งกลับมายังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยใช้ระยะเวลาในการเดินทางกว่า 7 ชั่วโมง ระหว่างที่ผู้เข้าร่วมการแข่งขัน แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนแต่ละประเทศทั่วโลก ใช้ชีวิตอยู่บนรถไฟ มีการเสิร์ฟอาหารมื้อเที่ยงพร้อมด้วยค็อกเทลรสชาติถูกปาก นับว่าเป็นการนั่งรถไฟขบวนพิเศษที่ประทับใจไม่น้อย
หลายคนใช้เวลานี้สนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันเรื่องค็อกเทลและการแข่งขัน ส่วนผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะต้องทำข้อสอบเก็บคะแนนวัดความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์ไปด้วย เพื่อให้มีความแม่นยำในการเลือกหยิบจับสิ่งของต่างๆ มาผสมค็อกเทล ก่อนจะคั่นด้วยการเสิร์ฟซิงเกิลมอลต์วิสกี้แบรนด์ใหม่ของดิอาจิโอ นั่นคือ “มอร์ตแลก” (Mortlach) อีกด้วย
เมื่อรถไฟขบวนพิเศษวิ่งมาเทียบท่าสถานีคิงส์ ครอส (King’s Cross) ที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในอังกฤษ ก็เริ่มมีการแข่งขันกันต่อ โดยโจทย์นี้คือ “เวิลด์ ออฟ มาตินี” (World of Martini) คือ ให้สร้างสรรค์มาร์ตินีสองสูตร สูตรแรกให้ใช้แรงบันดาลใจจากช่วงปี ค.ศ.1900 เพื่อสะท้อนมุมมองมาร์ตินีว่าเป็นอย่างไรผ่านค็อกเทลที่ผสมขึ้นระหว่างแข่นขัน ตัวที่สองคือ จะทำมาร์ตินีสำหรับโลกอนาคตอย่างไร รูปแบบเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรผ่านค็อกเทลเช่นกัน
ก่อนจะปิดท้าย “Diageo Reserve World Class 2014” ที่อังกฤษประเทศเจ้าภาพ เนรมิตอาคารหลังเก่าริมแม่น้ำเทมส์ ที่มีวิวของทาวเวอร์ บริดจ์ (Tower Bridge) ด้วย จัดงานประกาศรางวัลแชมป์เวิลด์คลาสประจำปี 2014 โดยผู้ที่ชนะใจกรรมการและคว้ารางวัลแชมป์เวิลด์คลาสปีนั้นไปครอง ตกเป็นของ “ชาร์ลส์ โจลี” (Charles Joly) ตัวแทนจากประเทศสหรัฐอเมริกาตามความคาดหมาย เพราะเขามาจากบาร์ที่มีชื่อเสียง “The Aviary” ในชิคาโกเป็นแชมป์ที่รอบรู้ ปราดเปรื่อง คล่องแคล่ว และมีบุคลิกที่เหมาะสมกับตำแหน่งแชมป์เวิลด์คลาสทีเดียว ก่อนจะปิดท้ายด้วยปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ทุกคนต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความประทับใจ และประสบการณ์ตลอดการแข่งขันที่ขอบอกเลยว่าต้องจดจำไปอีกนาน
ส่วน “หนึ่ง รณภร” ตัวแทนประเทศไทยปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้คว้ารางวัลใดมาครอง แต่ในปี 2015 นี้เขาจะยังคงกลับมาอีกครั้ง โดยกำลังลงแข่งขันรอบคัดเลือดตัวแทนประเทศไทย เพื่อไปแข่งขันในเวทีระดับโลกให้ได้ ณ เมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ ในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้
Fact File
World Class คือโครงการแข่งขันบาร์เทนเดอร์ระดับโลกที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับสูงสุดโครงการหนึ่ง ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมบาร์เทนเดอร์ให้มีคุณภาพและส่งเสริมให้บาร์เทนเดอร์มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การสร้างสรรค์เครื่องดื่มชั้นสูง
โดยเริ่มเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 2009 ริเริ่มในสหราชอาณาจักร ครอบคลุมมากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก บาร์เทนเดอร์มืออาชีพจากทั่วโลกเข้าร่วมโครงการกว่า 15,000 คน ซึ่งเปิดตัวโครงการครั้งแรกในประเทศไทยในปี ค.ศ. 2011 ในประเทศไทย มีบาร์เทนเดอร์มืออาชีพให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 250 คน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2011-2014
World Class ในประเทศไทย จัดขึ้นเพื่ออัปเดตเทรนด์เครื่องดื่มและวัฒนธรรมการดื่มในสังคม และมอบความรู้และอบรมมิกโซโลจิสต์ให้พร้อมสำหรับการมอบบริการแก่ลูกค้าด้วยมาตรฐานระดับโลก เสริมสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์เครื่องดื่มและพัฒนาทักษะ พร้อมยกย่องบาร์เทนเดอร์ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนแนวคิดการดื่มอย่างรับผิดชอบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย การอยู่ร่วมกันระหว่างแอลกอฮอล์และสังคมของดิอาจิโอ
Calendar World Class Thailand 2015
21 มกราคม 2015 : เปิดตัวและแนะนำโครงการ World Class อย่างเป็นทางการ
-เปิดรับสมัครและคัดเลือกบาร์เทนเดอร์มืออาชีพผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนสู่รอบคัดเลือก
-การแข่งขันสร้างสรรค์เครื่องดื่มค็อกเทลดั้งเดิม (Classic Cocktail) รอบคัดเลือก
-คัดเลือกบาร์เทนเดอร์ 40 คน ที่มีผลงานโดดเด่นจาก 100 คน เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ
4 กุมภาพันธ์ 2015 : อบรม World Class ครั้งที่ 1
24 กุมภาพันธ์ 2015 : การแข่งขันเพื่อคัดเลือกผู้เข้ารอบ World Class ระดับภูมิภาค รอบกรุงเทพฯ (แบ่งการแข่งขันเป็น 2 รอบ)
9 มีนาคม 2015 : อบรม World Class ครั้งที่ 2 และการคัดเลือกผู้เข้ารอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ
18 มีนาคม 2015 : การแข่งขันเพื่อคัดเลือกผู้เข้ารอบ World Class ระดับภูมิภาค รอบภาคใต้ (แบ่งการแข่งขันเป็น 2 รอบ)
1 เมษายน 2015 : การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ ประจำปี 2015
-การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระหว่างตัวแทนผู้เข้ารอบ 14 คน จากการแข่งขันระดับภูมิภาค รอบกรุงเทพฯ และ 2 คน จากการแข่งขันระดับภูมิภาค รอบภาคใต้
2-3 กรกฎาคม 2015 : การแข่งขัน World Class เพื่อคัดเลือกตัวแทนระดับประเทศ 4 คน เข้าสู่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ใบรับรองจากโครงการ World Class
โรงแรม บาร์ หรือร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ World Class รวมไปถึงมิกโซโลจิสต์และบาร์เทนเดอร์ชาวไทยที่เข้าร่วมการแข่งขัน World Class จะได้รับตำแหน่ง “เวิลด์คลาส” (World Class title) ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าสำหรับประสบการณ์การดื่มเครื่องดื่มชั้นเลิศ และการบริการอันสมบูรณ์แบบ โดยลูกค้าสามารถตามหาเครื่องดื่มค็อกเทลสุดพิเศษจากบาร์เทนเดอร์ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้ตามที่ถูกระบุไว้ในเมนูของร้านต่างๆ ที่ได้รับการรับรองจาก เวิลด์คลาส เป็นที่เรียบร้อยแล้ว :: Text by FLASH