>>หลายคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาสาวหล่อ มาดเท่ พร้อมรอยยิ้มใจดีคนนี้ อย่างในงานสังคมที่เรามักจะเห็นเธอกับ “ดวง-มนตร์ลดา พงษ์พานิช” เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า Monlada ออกงานคู่กันอยู่เป็นประจำ จนบางคนเกิดความสงสัยว่า เธอเป็นใคร? ทีมงาน? เพื่อนสนิท? หรือคนรู้ใจ? วันนี้ Celeb Online มีคำตอบ และจะพาคุณไปรู้จักกับตัวตนและความคิดของสาวหล่อคนนี้กัน
“วรนุช พงศาชลากร” หรือ “จ๋า” นามที่หลายคนคุ้นชินเป็นอย่างดี เพราะเป็นแบรนด์แมเนเจอร์ของ Monlada แบรนด์แฟชั่นสุดเปรี้ยวของ “ดวง มนตร์ลดา” เล่าความเป็นมาให้ฟังว่า “จ๋ากับดวงเป็นเพื่อนสนิทกันมานานกว่า 20 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย โดยจ๋าเรียนจบจากวัฒนาวิทยาลัยแล้วมาต่อที่เตรียมอุดมศึกษา ได้เจอกับดวงตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียน จ๋าอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ที่มาจากโรงเรียนเก่าเป็นกลุ่มใหญ่ พอเห็นเขานั่งเหงาๆ คนเดียว ก็เลยชวนเขามาจอยกลุ่ม ไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน จากนั้นก็เลยสนิทกันเรื่อยมา
พอช่วงเรียนมหาวิทยาลัยจ๋าไปเรียนต่อด้านการโรงแรมที่ประเทศอังกฤษอยู่หลายปีก็ยังติดต่อกัน แถมก่อนกลับเมืองไทย จ๋าก็ไปอยู่อเมริกาเกือบ 2 ปี ดวงเขาก็เรียนต่อด้านแฟชั่นอยู่ที่นั่น ก็ได้เจอกันตลอด พอกลับมาเมืองไทยก็ได้ร่วมหุ้นกับดวงและญาติเขา เปิดร้าน Premio ด้วยกัน เป็นร้านนำเข้าเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังจากอิตาลี ตั้งอยู่ตรงซอยสุขุมวิท 28 ส่วนตัวจ๋าเองได้ไปทำงานกับอีกหลายบริษัทก่อนที่ดวงจะเปิดแบรนด์เสื้อผ้า Monlada จ๋าก็เข้ามาช่วยดูแลด้านการบริหารให้
ตอนนี้เข้าสู่ปีที่ 6 ของแบรนด์แล้ว ภูมิใจกับความสำเร็จ ที่คนรู้จักและเข้าใจคาแรกเตอร์ของแบรนด์เรามากขึ้น มีความสุขกับงานนี้ และยิ่งมีความสุขเวลาจัดแฟชั่นโชว์ เพราะเป็นงานที่เรานำเสนอคอลเลกชันและสินค้าใหม่ในบรรยากาศสนุกๆ ให้ทุกคนประทับใจ ก็เหมือนเป็นงานปาร์ตี้ใหญ่ ที่ให้ทุกคนได้มาสังสรรค์กันไปด้วย”
แม้ดูภายนอกทั้งสองคนดูจะต่างกันคนละขั้ว ฟากหนึ่งเป็นสาวห้าว อีกคนก็แสนจะเซ็กซี่ แต่ทั้งคู่กลับเข้ากันได้เป็นอย่างดี “เราเป็นเพื่อนกันมานานมาก เพราะอุปนิสัยหลายอย่างที่คล้ายกัน ทำให้เข้ากันได้ดี จุดหลักเลยคือกลุ่มเราจะเป็นพวกที่ไม่คุยกันเรื่องคนอื่น ไม่สนใจเรื่องชาวบ้าน ไม่นินทา เวลาเจอกันก็สนุกสนานกัน คุยกันแต่เรื่องตัวเอง ใครมีอะไรก็มาปรึกษากัน ให้คำแนะนำ ทุกคนน่ารัก คุยกันแล้วสบายใจ แล้วก็ชอบสังสรรค์เหมือนกัน ชอบแฮงเอาต์ ชอบเดินทางท่องเที่ยว”
นอกจากนี้ทั้งคู่ยังมีไลฟ์สไตล์หลายอย่างเหมือนกันอีกด้วย อย่างตอนนี้ต่างคนต่างมีลูกเลยยิ่งมีกิจกรรมในฐานะแม่ๆ ร่วมกัน โดยลูกในที่นี้ หมายถึงเจ้าสี่ขา 3 ตัว ที่ได้มาเข้าร่วมเฟรมถ่ายด้วยในวันนี้ โดยสองตัวน้อยของจ๋าชื่อ ฮิกกี้ กับชิปปี้ ส่วนปอมตัวสวยที่มีสัญชาตญาณของการเป็นนางแบบนั่นคือ คริสตัล ลูกสุดที่รักของดวง “จ๋าซื้อมาเลี้ยงก่อน แล้วดวงเขาเห็นว่าน่ารักก็เลยซื้อตามบ้าง ตอนนี้ก็เลยเล่นกับลูกๆ สนุกกันไปเลย”
เห็นสนิทกันขนาดนี้ทำให้เราอดถามไม่ได้ว่า พี่จ๋าไม่หลงเสน่ห์ความน่ารักและความเซ็กซี่ของเพื่อนคนนี้บ้างเหรอ “ไม่ใช่สเปกของกันค่ะ สนิทกันเป็นเพื่อนล่ะดีแล้ว ดวงเขาฮอตจะตาย ฮอตมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว หนุ่มๆ ตามจีบเขาเยอะแยะตลอด”
ได้ฟังอย่างนี้แล้วก็เลยอยากรู้ว่าสเปกสาวในสไตล์ของพี่จ๋าเป็นอย่างไร “จ๋าชอบคนใจดี น่ารัก มีอารมณ์ขัน จะชอบคนที่บุคลิกมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก คือต้องคบกัน เป็นเพื่อน รู้จักกันก่อน จะไม่แบบรักแรกพบ แต่ถ้าถามว่าเวลามองผู้หญิงมองอะไรก่อน พี่ติดใจรอยยิ้ม คือมองตา มองปาก ดูโดยรวมว่าเป็นคนที่ Nice ไม่ได้มองว่าต้องหุ่นดี สวย เอ็กซ์ เซ็กซี่
แต่จริงๆ พี่เป็นคนขี้อายนะ ไม่ค่อยเข้าหาใครก่อน ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว จะเป็นฝ่ายโดนจีบมากกว่า อย่างตอนเรียนอยู่วัฒนาวิทยาลัยเป็นโรงเรียนประจำหญิงล้วน ก็จะมีสาวๆ เอาขนมมาให้ แล้วก็คอยดูแล ปูเตียง จัดของ จัดตู้อะไรพวกนี้ให้ตลอด เรียกว่าแบ่งเวรกันเลยทีเดียว ค่อนข้างป็อปเลยนะ เพราะจ๋าเป็นนักกีฬาโรงเรียน”
แต่เห็นป็อปปูลาร์แบบนี้ พี่จ๋าบอกไม่ใช่คนเจ้าชู้ “รักใครรักจริงและคบนานมาก แฟนเก่าที่คบนานที่สุดคือ 9 ปี ดังนั้น เวลาเลิกแต่ละครั้งจะเฮิร์ตมาก เศร้าแบบสุดๆ แต่จะมีลิมิตของตัวเอง คือจะให้เวลาตัวเอง 3 เดือน คือ จะนอนร้องไห้ ฟังเพลงเศร้า ไปนั่งเมาฟูมฟายเอาให้เต็มที่ แต่หลังจากนั้นต้องหยุด Reset ตัวเองใหม่เลย คือมันยังคงเศร้าอยู่แหละ แต่ต้องมีสติไม่ไปยึดอยู่ตรงนั้น ช่วงเวลา 3 เดือนนั้นถือเป็นเวลาพักฟื้นของเราด้วย จะไม่มองคนใหม่ ดึงสติให้กลับมาอยู่กับตัว พิจารณาอะไรให้ถ่องแท้ เพราะแต่ก่อนเราแบบพอเลิกปุ๊บ แล้วก็รีบไขว่คว้าหาคนใหม่ปั๊บ รีบร้อนเพราะไม่อยากเหงา แต่ตัวเราเองยังไม่พร้อม ไม่ได้เคลียร์ใจตัวเองก่อน มันก็ไปกันไม่รอดหรอกค่ะ”
พูดคุยกันพักใหญ่ เราสังเกตได้ว่าในตัวของพี่จ๋ามีสิ่งหนึ่งที่ขัดกับภาพลักษณ์ห้าวๆ แบบสาวหล่อ นั่นคือคำลงท้ายที่จะมีหางเสียง คะ ขา ทุกคำ และสไตล์การพูดที่นุ่มนวลอ่อนโยน “ติดมาตั้งแต่เด็กแล้ว ที่บ้านค่อนข้างเจ้าระเบียบ สอนให้เป็นคนสุภาพ พูดจาอ่อนหวาน ต้องเรียกพี่ชายว่าพี่ทุกคำ ส่วนพี่ชายเองก็ต้องเรียกน้องจ๋า แต่นอกจากคำพูด กิริยามารยาทแล้ว เขาก็ให้อิสระเรานะ อยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ไม่เคยว่า อย่างเห็นเราห้าวๆ แบบนี้ไม่เคยเป็นปัญหา แม้ว่าเราไม่เคยพูดกับเขาว่าเราเป็นทอมนะ แต่เขาก็รู้แหละ เพราะเรามีแฟนกี่คนก็พาเข้าบ้านแนะนำให้รู้จักหมด ไม่เคยปิดบัง คุณพ่อคุณแม่ท่านแค่อยากเห็นเรามีความสุข มีการงานที่ดี ดูแลตัวเองได้ ไม่ได้สร้างภาระให้สังคม เท่านี้ก็พอแล้ว”
พี่จ๋าบอกว่า เธอไม่เคยซีเรียสนะ ว่าจะเรียกเธอว่าอะไร ทอม สาวห้าว สาวหล่อ “แล้วแต่คำจำกัดความค่ะ จะเรียกพี่ว่าอะไรก็รับได้ แต่ไม่ใช่มาใช้คำพูดเรียกจิกด่าหรือส่อเสียดละกัน พี่ก็เป็นของพี่แบบนี้ สไตล์แบบนี้ ชอบผู้หญิงด้วยกัน แต่ไม่เคยอยากเป็นผู้ชายนะ ไม่ได้อยากมีสรีระแบบผู้ชาย ไม่เคยคิดอยากแปลงเพศ เราชอบในตัวตนของเราที่เป็นแบบนี้ คนที่มาชอบเราก็ต้องชอบที่เรามีสรีระแบบนี้ ไม่ใช่ว่าหล่อ ล่ำ แมนอะไรแบบนั้น ก็ไปคบกับผู้ชายเลยดีกว่า
แต่จะว่าไปแล้วสมัยนี้ ทอมป็อปปูลาร์มากนะ อาจจะเพราะว่าผู้ชายเขาไปเป็นเกย์กันหมด (หัวเราะ) และทอมเข้าใจผู้หญิงมากกว่า อย่างถ้าไปชอปปิ้งกัน ผู้หญิงไปเลือกรองเท้าเป็นชั่วโมง ผู้ชายอาจจะรอแบบหงุดหงิด แต่ถ้าเป็นเราก็จะแบบช่วยวิจารณ์ได้ ช่วยเลือก ช่วยชอปได้ แนวคิด ทัศนคติคล้ายกัน ทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันได้สนุกกว่า”
จุดยากอย่างเดียวของการเริ่มความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิงคือ การเริ่มต้นทำความรู้จัก “อย่างถ้าเวลาผู้ชายเห็นสาวสวยอยากจีบก็อาจจะเข้าไปหาได้เลย แต่ถ้าเป็นทอมเราไม่รู้ว่าเขาจะเป็นแบบเดียวกับเราหรือเปล่า มันจะมี Trick ที่มีคนบอกมาคือ ให้ลองมองตาก่อน ถ้าเขาหันมาสบตาเกิน 10 วินาที นี่แหละแสดงว่ามันน่าจะใช่ อันนี้บอกทุกเพศนะ เพราะเดี๋ยวนี้มันดูออกยากมาก ไม่ใช่ว่าต้องเป็นคู่แบบทอมดี้ ผู้หญิงดูห้าวกับผู้หญิงหวาน เพราะเดี๋ยวนี้ สวยๆ กับสวยๆ คู่กันก็เยอะไป หรือสไตล์ทอมกับทอมคบกันก็มี จ๋าว่าความสัมพันธ์ของคู่รักมันคือความรู้สึกของคน 2 คน ที่ไม่สามารถถูกตีกรอบด้วยเพศหรือรูปลักษณ์ภายนอก
สมัยก่อนผู้หญิงเราถูกสอนว่า ต้องมีครอบครัว ต้องออกเรือน ต้องพึ่งพาผู้ชาย เพราะไม่งั้นจะไม่มีคนดูแล ปกป้อง เลี้ยงดู แต่ทุกวันนี้มันไม่ใช่ ผู้หญิงเราเก่งขึ้น และแกร่งขึ้น ทำงานเลี้ยงดูตัวเองได้ แถมเผลอๆ ยังไปเลี้ยงผู้ชายได้อีก (หัวเราะ) เรามีอิสระขึ้น มีทางเลือกของชีวิตมากขึ้น และจ๋าก็ไม่เคยกลัวหรือเสียใจว่า พอเป็นแบบนี้จะไม่มีลูก อนาคตจะเหงาหรือชีวิตไม่สมบูรณ์ หรือแกไปแล้วจะไม่มีใครเลี้ยง
เพราะมันก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากชีวิตสาวโสดหรอก แถมสมัยนี้คู่แต่งงานทั้งหลายก็ตั้งใจที่จะไม่มีลูกกันเยอะแยะไป ขณะที่บางคนอาจจะมีความสุขกับการได้เลี้ยงดูลูก แต่สำหรับจ๋าที่เลือกทางเดินนี้ เราก็มีความสุขในแบบของเรา เรามีสิ่งดีๆ อีกมากมาย และมองว่ามันเป็นข้อดีเสียอีก ที่ชีวิตจะมีอิสระ มีเวลาสนุกสนานกับกิจกรรมต่างๆ อยากไปเที่ยวไหนก็สะดวก ไหนจะมีคนรู้ใจ มีเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่อีก รับรองได้ว่าไม่รู้สึกเหงาแน่ค่ะ”
ถึงแม้จะไม่มีลูกๆ มาให้วุ่นวาย เธอก็มีสองตัวน้อยจอมซนอย่างฮิกกี้และชิปปี้ ที่คอยวิ่งวุ่นเรียกร้องความสนใจตลอดการสัมภาษณ์แบบนี้ ยิ่งเป็นเครื่องการันตีได้ว่าสาวหล่อคนนี้ไม่มีทางเหงาแน่นอน
ภาพลักษณ์สาวหล่อกับสังคมไทย
“จ๋าไม่เคยเจอปัญหาเรื่องนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นจากครอบครัว เพื่อนๆ ไปจนถึงการทำงาน อาจจะด้วยจังหวะเวลาที่ดี ที่ทุกวันนี้โลกเรามันเปิดมากขึ้น ทุกวันนี้คนให้ความสำคัญกับความสามารถมากกว่าภาพลักษณ์หรือบุคลิกภาพ
ถ้าย้อนไปสัก 20-30 ปีที่แล้ว มันคงไม่ใช่แบบนี้ แต่สำหรับประเทศไทยเราถือว่าเปิดกว้างในเรื่องนี้มาก ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ทอม เลสเบี้ยน เกย์ ตุ๊ด ทุกคนอยู่อย่างมีความสุขในสังคมไทยได้
ขณะที่ในต่างประเทศบางแห่งมันไม่ได้เปิดขนาดนี้ อย่างตอนที่จ๋าไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา พอเห็นเราห้าวๆ เป็นทอมบอย ก็จะมีพวกผู้ชายแกล้ง เช่น ตะโกนแซว หรือบางทีก็มีวิ่งเข้ามารุมเหมือนข่มขู่ แต่ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงหรือแตะต้องโดนตัวอะไรเรา แค่ออกแนวแหย่ให้กลัวเท่านั้นเอง!” :: Text by FLASH