xs
xsm
sm
md
lg

คุณปรีชา-ริตา จิรา ส่วนผสมที่ลงตัวของพ่อลูกวัยทวีน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>เราได้รับเกียรติจากครอบครัว “จิรา” ที่ผู้พ่อ “ปรีชา จิรา” มาเปิดใจถึงความสัมพันธ์อันลงตัวระหว่างเขากับลูกสาว “น้องพิม-ริตา จิรา” ที่เราเชื่อว่าเมื่ออ่านบทสนทนาระหว่างทั้งคู่แล้ว คงทำให้หลายคนมองเห็นถึงการผสมผสานที่ลงตัวของความสัมพันธ์ภายในครอบครัว จนอาจทำให้คุณต้องอิจฉาเป็นแน่

“พิม-ริตา จิรา” คือบุตรสาวคนที่ 2 ของ “ปรีชา จิรา” ในบรรดาพี่น้องที่เป็นหญิงล้วนทั้งหมด 3 คน ปัจจุบันเธอประกอบธุรกิจส่วนตัวด้านจิวเวลรีแบรนด์ SATADA แถมยังนำเข้าชุดว่ายน้ำอีกด้วย ซึ่งในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 3 คน เธอคือคนที่ผู้เป็นพ่อค่อนข้างเป็นห่วงในการดำเนินชีวิตน้อยที่สุด เพราะเธอคือผู้หญิงที่กล้าคิด กล้าพูด และกล้าทำอะไรหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กันจนประสบผลสำเร็จ

คุณพ่อ “ผมว่าพิมเป็นผู้หญิงกล้าคิดกล้าตัดสินใจ อย่างมีครั้งหนึ่งเคยไปเที่ยวเยี่ยมญาติที่ออสเตรเลียกันหมดทั้งครอบครัว แล้วเขาไปเจอโรงเรียนที่นั่นก็พูดออกมาเลยว่า อยากเรียนที่นี่ จากนั้นก็กะว่าจะส่งให้เขาไปเรียนเป็นคอร์สสั้นๆ ช่วงซัมเมอร์ก่อน แต่พิมก็ไม่เอาอีกเพราะอยากจะเรียนฟูลคอร์สที่นั่นเลย ผมก็เลยส่งเขาไปเรียนตามที่น้องพิมต้องการ

...ช่วงที่น้องพิมไปนั้นโชคดีหน่อยที่มีน้องของภรรยาผมอยู่ที่ออสเตรเลียพอดี ก็เลยมีคนช่วยดูแล แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นห่วงลูกอยู่ดี ขนาดวันที่ไปส่ง ก็ยังถามพิมเลยว่ามั่นใจแล้วใช่ไหมที่จะมาเรียนต่อที่ออสเตรเลีย น้องพิมก็ตอบอย่างมั่นใจและจะพยายามปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่นี่ เรียกว่าน้องพิมเป็นเด็กผู้หญิงที่มีความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรสักอย่าง ถึงแม้ว่ามันจะถูกหรือผิดก็ตาม แต่เขากล้าที่จะทำ จนเขาเรียนจบเกรด 12 จากนั้นก็กลับมาเรียนต่อที่เมืองไทย เพราะควรจะมีการผสมผสานกันระหว่างวิถีชีวิตแบบฝรั่งและแบบไทย”

พิม : “ตอนนั้นพิมอยากเก่งและพูดภาษาอังกฤษให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ก็เลยมีความมุ่งมั่นว่าจะต้องทำให้ได้ จึงขอคุณพ่อไปเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อคุณพ่ออนุญาตแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด ตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นมากค่ะ เพราะเป็นครั้งแรกที่ห่างจากครอบครัวไปใช้ชีวิตคนเดียวยังต่างแดน”

ด้วยความที่ครอบครัวนี้มีแต่ลูกสาว จึงย่อมเป็นธรรมดาที่ผู้เป็นพ่อจะห่วงใยมากกว่าลูกชาย ซึ่งการมอบความรักและความอบอุ่นจากคนในครอบครัวนั่นเอง ที่เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกๆ

คุณพ่อ : “ผมมีลูกสาวทั้งหมด 3 คนครับ น้องพิมคนกลาง คนโตอายุ 28 ปี ส่วนพิมอายุ 26 ปี คนเล็กอายุ 22 ปี เรียกว่าเป็นสาวๆ 3 ใบเถา ทำให้รู้สึกห่วงมากเป็นพิเศษ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นห่วงอยู่ ไม่ว่าจะไปไหน หรือทำอะไร แม้กระทั่งกลับบ้านมาแล้วก็ยังเป็นห่วง ว่าเขาจะมีชีวิตอย่างไร และใช้เวลาหมดไปกับอะไรบ้าง ยิ่งลูกคนไหนยังกลับไม่ถึงบ้านนี่ต้องโทรศัพท์เช็กว่าอยู่ไหน ทำอะไร และจะกลับเมื่อไหร่ แต่ส่วนใหญ่ผมจะทำหน้าที่คอยไปรับส่งที่โรงเรียนตลอด ถ้าไม่ว่างก็ให้คุณแม่ไปรับแทน”

“ถามว่าอยากมีลูกชายไหม ผมอยากมีนะ แต่มันไม่มีทำอย่างไรได้ เคยพยายามจะมีคนที่ 4 แต่ว่าคุณแม่มดลูกไม่ค่อยแข็งแรง ก็เลยแท้ง จนผมถอดใจ แล้วตั้งใจเลี้ยงลูกผู้หญิงทั้ง 3 คนอย่างสุดความสามารถ พรหมลิขิตกำหนดมาแบบนี้”

หลังจากคุณพ่อพูดเรื่องลูกสาวทั้ง 3 ให้เราฟังแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะได้ล้วงลึกถึงความสัมพันธ์ที่สุดแสนจะลงตัวระหว่างคุณพ่อและคุณลูก ซึ่งเราเชื่อเลยว่า เมื่อได้อ่านบทสนทนาระหว่างพ่อลูกคู่นี้กับเราแล้วนั้น หลายคนคงอิจฉาถึงความโชคดีของทั้งคุณพ่อและคุณลูก ที่เปรียบเสมือนส่วนผสมที่ลงตัว ที่ผลักดันให้ครอบครัวนี้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุข

พิม : “พ่อเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ยอดเยี่ยม เขาจะเป็นคนนำเที่ยวตั้งแต่เด็ก พอปิดเทอมก็จะพาไปเที่ยวตลอด ซึ่งถ้าพิมมีแฟนยังอยากได้ผู้ชายที่เป็นแบบคุณพ่อเลย จะคอยดูแลไม่ห่าง เป็นผู้นำมากๆ ไม่ว่าจะทำอะไรเขาจะเป็นคนแรกที่เราไว้ใจปรึกษาทุกเรื่อง รู้สึกภูมิใจมากค่ะ มีคนคอยเตือนและคอยแนะนำให้เราทำแต่สิ่งที่ดีๆ เพราะถ้าไม่มีพ่อคอยตักเตือน พิมก็จะไม่ค่อยกระตือรือร้น แถมเป็นคนที่ทำอะไรไม่ค่อยรอบคอบ ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง

อย่างเวลาพิมจะไปออกบูทขายสินค้า คุณพ่อก็จะคอยแนะนำว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง หรือจะต้องจัดแสดงอย่างไรให้น่าสนใจ เพราะถ้าเป็นพิมก็จะขนไปหมดเลย แต่คุณพ่อจะเป็นคนคอยช่วยผลักดันพิม เพราะปกติจะเป็นคนที่ถ้าไม่มีใครมากระตุ้นก็จะไม่ค่อยกระตือรือร้น และคุณพ่อจะสอนให้เป็นคนมีวินัยกับตัวเองเสมอ”

คุณพ่อ : “จริงๆ แล้วพิมเขาเก่งกว่าผมอีกนะ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดต่อยอดในการทำอะไรได้ดี มีความรู้ความสามารถหลายอย่าง เพราะตอนแรกเขาทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งเงินเดือนเยอะพอสมควร แต่เขาบอกว่าอยากทำอะไรเป็นของตัวเอง แล้วมาปรึกษาผมว่าจะลาออกมาทำเป็นของตัวเองดีหรือเปล่า ผมให้คำปรึกษาเขาเท่าที่จะทำได้ ว่าถ้าอยากทำธุรกิจเองจะต้องทำงานกับคนอื่นและเรียนรู้จากคนอื่นให้ได้ก่อน เสร็จแล้วจะไปทำธุรกิจอะไรเป็นของตัวเอง ก็ต้องคิดให้ดีๆ เพราะการลงทุนทำอะไรจะต้องให้มีความเสี่ยงน้อยที่สุด”

พิม : “ถ้าถามว่าสนิทกับใครมากกว่ากัน ระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ จริงๆ ก็ขึ้นอยู่กับว่า จะเป็นเรื่องอะไรมากกว่า เพราะบางเรื่องคุณพ่อไม่มีไอเดียที่จะแนะนำลูกๆ ก็ต้องหันไปปรึกษาคุณแม่ แต่เชื่อไหมว่าเห็นคุณพ่อหน้าตายิ้มแย้มอย่างนี้ จริงๆ เป็นคนดุใช้ได้เลย ถ้าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ซึ่งแตกต่างจากคุณแม่ เวลาขออะไรหรือไปไหนมักจะอนุญาตเสมอ”

คุณพ่อ : “เป็นธรรมดาของคนเป็นพ่อเป็นแม่นะครับ ก็จะห่วงอนาคตของลูกๆ ว่าเขาจะทำธุรกิจอะไร รู้จักใครบ้างหรือเปล่า และจะเจอคนนิสัยแบบไหน แต่ผมจะต้องคอยดูเขาอยู่ห่างๆ ทุกคนก็หวังอยากจะให้เขาได้ดีอยู่แล้ว ผมไม่ได้วางเป้าหมายให้ลูกๆ ว่าเขาจะต้องทำอย่างที่เราต้องการทุกเรื่อง ปกติเป็นคนห่วงลูกทุกคนเท่ากัน ไม่มีใครมากน้อยกว่ากัน และรักเท่ากันทุกคน ส่วนเรื่องการพูดคุยผมก็คุยได้หมดทุกคนนะ”

การที่คุณพ่อยังหนุ่มและสนิทสนมกับลูกสาวมากขนาดนี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน จึงถูกมองไปในทางลบบ้างก็มี

คุณพ่อ : “ผมไปไหนมาไหนกับลูกสาวบ่อยนะครับ แต่ไม่น่าจะมีใครมองแบบนั้น เพราะว่าหน้าตาผมกับลูกสาวคล้ายกันมาก เพราะฉะนั้น ผมจึงไม่คิดว่าจะมีคนอื่นมองในแง่ลบ แต่มีบางครั้งเพื่อนของแม่เขาเจอผมเดินด้วยกับลูกสาว เวลาดูเผินๆ เขาอาจจะคิดว่าเราควงเด็กที่ไหนมา แต่พอเข้ามาใกล้ๆ ถึงทราบว่าเป็นพ่อลูกกัน เพราะหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ แต่ลูกสาวคนโตจะหน้าตาคล้ายคุณแม่เขามากกว่า”

เมื่อมีลูกสาวถึง 3 คนในครอบครัว จึงเป็นธรรมดาที่หัวบันไดจะไม่แห้ง ยิ่งหน้าตาสวยสะพรั่งขนาดนี้แล้วไม่ต้องพูดถึง ดังนั้น จึงอยากทราบว่าคุณพ่อมีวิธีดูแลลูกอย่างไร

พิม : “เคยมีคบกันเป็นเพื่อนบ้าง และเคยแนะนำให้พ่อแม่รู้จักค่ะ เพราะเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน มีโอกาสได้ทานข้าวพร้อมกันกับครอบครัวพิม ก็เลยแนะนำให้พ่อแม่รู้จัก ซึ่งโชคดีที่เขาเป็นคนเข้ากับผู้ใหญ่ได้ดี แต่พ่อก็แนะนำว่าให้คบหาดูใจกันไปเรื่อยๆ ก่อน ซึ่งคุณพ่อจะไม่ค่อยลงรายละเอียดเรื่องแบบนี้มาก เพราะไว้ใจที่ลูกๆ โตแล้ว ตัดสินใจเองได้ และรับผิดชอบตัวเอง

คุณพ่อ : “บางครั้งดูเหมือนว่าผมจะไม่ค่อยห่วงเขาในเรื่องความรักและการมีชีวิตคู่นะครับ เพราะผมเคยเป็นวัยรุ่นมาก่อน แต่อยากให้เขาเลือกคนที่ใช่ และเข้าใจซึ่งกันและกัน เผื่อใจไว้บ้างหากวันหนึ่งมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง ที่ผ่านมาทางครอบครัวเราก็พอจะทราบว่าหนุ่มคนนั้นเป็นใครมาจากไหน เวลาไปไหนด้วยกันจึงค่อนข้างไว้ใจ”

ช่วงสุดท้ายของบทสนทนา ทั้งพิมและคุณพ่อก็เผยเคล็ดลับสำคัญในการสร้างความรักความอบอุ่นภายในครอบครัวที่ทำให้บรรยากาศภายในครอบครัวอบอวลไปด้วยความสุข

พิม : “ความใกล้ชิดในครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญสำหรับพิมนะคะ เพราะบางครั้งเห็นพ่อเพื่อนบางคนเอาแต่ทำงานหนัก โดยไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัว ลูกๆ จะอยู่อย่างไร ทำอะไร หรือจะไปไหน ก็ปล่อยให้ดำเนินชีวิตอย่างอิสระเกินไป แต่สำหรับครอบครัวพิมถือว่าพ่อทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ คอยให้คำแนะนำให้คำปรึกษาเกือบทุกเรื่องอย่างใกล้ชิด เรียกว่าเป็นผู้นำครอบครัวที่น่าภาคภูมิใจมากค่ะ”

คุณพ่อ : “เมื่อก่อนเราใกล้ชิดกันมากกว่านี้อีก พอลูกๆ เลิกเรียนก็กลับมากินข้าวพร้อมกันที่บ้าน แต่พอพวกเขาโตขึ้นแต่ละคนก็เริ่มมีหน้าที่การงานเป็นของตัวเอง จึงทำให้เวลาแบบนั้นมันค่อยๆ ลดลงไป แต่ตอนนี้ก็พยายามให้เขาแบ่งเวลาเพื่อไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันประมาณเดือนละครั้งก็ยังดี”

...แต่สุดท้ายแล้วหัวอกของคนเป็นพ่อ การได้เห็นลูกๆ ประสบความสำเร็จ ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนความสุขอันยิ่งใหญ่กลับคืนมาให้พ่อแม่แล้ว”

หลังสิ้นสุดบทสนทนา สองพ่อลูกก็โผเข้ากอดกันอย่างกลมเกลียว จนผู้สัมภาษณ์อดประทับใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่คงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของพ่อลูกคู่นี้อย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่สมาชิกทุกคนในครอบครัวจิรา :: Text by FLASH





กำลังโหลดความคิดเห็น