xs
xsm
sm
md
lg

เปิดหลังบ้านนักเคลื่อนไหวด้านการปฏิรูปพลังงาน ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี กับภรรยา “ม.ล.สมรดา ชุมพล”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>หากเอ่ยถึงชื่อ “ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี” คนที่สนใจติดตามข่าวสารคงจะคุ้นชื่อเขาในบทบาทของราชนิกุลหนุ่มใหญ่นักเคลื่อนไหวด้านการปฏิรูปพลังงาน แม้ว่าทุกวันนี้เขามีหน้าที่ในการเดินสายพูดเรื่องพลังงานไม่เว้นวัน แต่ครั้งนี้เราจะชวนเขามาเจาะลึกเรื่องหลังบ้านหลังจากเข้าพิธีวิวาห์กับ “ม.ล.สมรดา ชุมพล” เจ้าสาวราชนิกุลเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เอง

สำหรับเรื่องราวชีวิตของราชนิกุลนักเคลื่อนไหวคนนี้ส่วนใหญ่เราคุ้นเคยกับเขาในบทบาทของผู้ที่มีความรู้ข้อมูลด้านพลังงาน นักเคลื่อนไหวที่หายใจเข้าหายใจออกเป็นเรื่องของการปฏิรูปพลังงาน ความจริงแล้วเขาเป็นใคร? มีความรู้จากไหนที่มาพูดเรื่องพลังงานได้อย่างละเอียด นั่นเพราะเขามีความรู้ทางด้านวิศวกรรม จากการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบเขาเริ่มสนใจด้านการเงิน-การลงทุนจึงไปเรียนต่อปริญญาโท สาขา Master of Business Administration (Finance) ที่ California State University ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วยังกลับมาคว้าปริญญาโทอีกใบ สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีประสบการณ์ในการทำงานด้านการบริหารการเงินอยู่หลายแห่ง ก่อนที่จะผลักตัวเองออกมาต่อสู้เรื่องการนำพลังงานของชาติมาใช้อย่างไม่เป็นธรรม

“เดิมทีผมเป็นวิศวกรและนักธุรกิจ ทำงานด้านการลงทุนในตลาดซื้อขายหุ้นมาพอสมควร ทำให้เห็นทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งเกี่ยวกับตัวธุรกิจ และอีกด้านเกี่ยวกับเรื่องการเงิน ด้วยความที่เรามีข้อมูลมาก และได้เห็นข้อมูลจากต่างประเทศอย่างกว้างขวาง เพื่อนำมาวิเคราะห์และให้คำแนะนำในการลงทุน สิ่งที่เราพบก็คือ ข่าวที่คนได้เห็น ได้ยิน ไม่เหมือนกับข้อมูลดิบที่เรามี โดยเฉพาะข้อมูลดิบด้านพลังงานของไทย มีความน่าสนใจมาก ทั้งเรื่องการผลิต การเติบโต ซึ่งเราพบมากขึ้นทั้งบนบกและในทะเล แต่ทำไมคนเดินถนนไม่มีใครรู้ข้อมูลที่แท้จริงเลย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมถึงต้องออกมาเคลื่อนไหวเรื่องพลังงาน

อีกคนที่ทำให้ผมมั่นใจมากยิ่งขึ้น คือน้องๆ ที่ทำงานทีมเดียวกับผม ระหว่างทำงานเป็นคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการพลเรือนด้วยกัน พอได้อ่านและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติปิโตรเลียมทั้ง 6 ฉบับ ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ปี พ.ศ. 2514 จนถึงฉบับสุดท้าย ปี พ.ศ. 2550 เขาถามว่าพี่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง มันดีขึ้นหรือแย่ลง?

ผมพบว่า บางปีมีการแก้ไขให้ดีขึ้น แต่พอปี 2550 มีการแก้ไขให้ต่างชาติครอบครองแปลงสัมปทานได้ไม่จำกัดจำนวน แล้วคนไทยจะอยู่อย่างไร? หัวใจของสัมปทานคือเรื่องกรรมสิทธิ์ปิโตรเลียม เมื่อเราให้สัมปทานไปแล้วกรรมสิทธิ์ของปิโตรเลียมไม่ใช่ของคนไทยอีกต่อไป เหมือนเรามีสวนมะม่วง แต่เรายกสวนมะม่วงให้เขาไปแล้ว ถ้าเราอยากกินเราก็ต้องไปซื้อในราคาตลาดโลก มันไม่ยุติธรรมเลยสำหรับคนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ” เขาเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของการผันตัวเองมาเป็นนักเคลื่อนไหวทางด้านพลังงาน

ทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน

จากการที่เขาคลุกคลีอยู่ในแวดวงด้านวิศวกรและพลังงานอยู่ตลอด จึงถูกชักชวนให้เข้ามาทำงานร่วมกับคณะกรรมาธิการการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน วุฒิสภา ซึ่งทำให้เขาได้ลงพื้นที่จริง และยิ่งเป็นแรงขับที่เขาต้องเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มากขึ้น

“การที่เราออกมาเรียกร้องนั้น ไม่ได้ทำไปตามอารมณ์แต่เรามีหลักการและเหตุผล เริ่มต้นจากคณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลด้านพลังงาน ทำการศึกษาแล้วได้รายงานออกมาทั้งหมด 5 ฉบับ ทำให้เรามั่นใจเต็มที่เลยว่าเรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไข เห็นง่ายๆ เลยว่าคุณภาพชีวิตของชาวบ้านที่อยู่ตรงที่ที่มีทรัพยากรใต้ดินนั้นไม่ได้อยู่ดีกินดีเพิ่มขึ้น แต่ทรัพยากรถูกนำไปใช้ทุกวันๆ ผมไม่พูดว่าเราจะต้องร่ำรวยเหมือนซาอุดีอาระเบียแต่คนไทยควรมีชีวิตที่ดีขึ้น

อย่างนโยบายของต่างประเทศที่ศึกษามา เขาบอกชัดเจนเลยว่า การนำทรัพยากรไปใช้ควรเป็นประโยชน์สูงสุดของประชาชน ถ้าประชาชนไม่ได้ประโยชน์สูงสุดก็ไม่ต้องนำไปใช้ จนกว่าจะมีนโยบายที่ดีที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน, ประเทศชาติ, และกลุ่มทุน เรียกได้ว่าได้ประโยชน์ที่เหมาะสมกันทุกฝ่าย

เราอยากเห็นส่วนแบ่งที่เป็นธรรมสำหรับทุกคน แต่ส่วนแบ่งที่เป็นธรรมได้นั้นก็ต้องมาจากนโยบายจากรัฐ รัฐต้องทำหน้าที่เป็นกรรมการกลางที่ดี ประชาชนไม่ได้ต้องการอะไรมากขอแค่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การศึกษาที่ดีขึ้น การรักษาพยาบาลที่ดีขึ้นเท่านั้นเอง ที่ผ่านมาในอดีตเรามีบทเรียนแล้ว ก้าวต่อไปของเราคือต้องทำเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศของเรา เพื่อที่เราจะก้าวอย่างยั่งยืน”

หน้าที่พลเมืองที่ดี

นอกเหนือจากการทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนแล้วนั้น เขายังขอปวารณาตัวเป็นพลเมืองที่ดี ทำงานเพื่อสนองพระราชปณิธานของรัชกาลที่ 7 ที่ทรงใส่ใจในเรื่องของพลังงานอันเป็นทรัพย์สินของประชาชนทุกคน

“รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชปณิธานที่ทรงห่วงใยเรื่องพลังงานและปกป้องไม่ให้พลังงานถูกนำออกไปใช้มากเกินไป ซึ่งผมก็อยากจะทำให้สำเร็จ นั่นคือ การมอบมรดกของแผ่นดินให้ถึงมือเจ้าของแผ่นดินที่เป็นประชาชนทุกคน ยิ่งผมรู้แล้วผมนิ่งเฉยไม่ได้ ผมมีหน้าที่ปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้น

ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำเป็นหน้าที่พลเมืองที่ทำเพื่อประเทศ มีคนมาบอกว่าผมเป็นไฮโซเป็นหม่อมหลวง ผมบอกว่าผมไม่ใช่อย่างนั้น การเกิดไม่สำคัญ ไม่มีความหมายเท่ากับวันที่เราจากไปแล้วเขาจดจำเราอย่างไร? ว่าเราทำอะไรให้แผ่นดินบ้าง ผมไม่ใช่นักธุรกิจ ไม่ใช่นักวิชาการ ผมเป็นคนธรรมดาที่อยากเห็นประเทศนี้ดีขึ้น เมื่อผมจากไป

สิ่งที่ผมอยากเห็นคือการเดินไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นคนไทย ประเทศไทย หรือแม้แต่กลุ่มพลังงาน จากการที่เราพยายามปลุกให้คนตื่นมา 6-7 ปีแล้วนั้น ผมรู้ว่าคนที่ตื่นแล้วเขาจะไม่มีวันหลับใหลอีกต่อไป และจะมีประชาชนตื่นรู้ในเรื่องนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”

ปรากฏตัวทุกเวทีปฏิรูปฯ

เมื่อการตื่นตัวของประชาชนเกิดขึ้นแล้ว วันนี้มีหลากหลายองค์กร ทั้งภาครัฐ และเอกชน จัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นปฏิรูปโครงสร้างพลังงานในอนาคต เพื่อรับฟังความคิดเห็นของทุกกลุ่ม ในฐานะที่ ม.ล.กรกสิวัฒน์เป็นกลุ่มคนแรกๆ ที่ลุกขึ้นมาปลุกกระแสเรื่องพลังงานนี้ เขาจึงได้เข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆ เวที เพื่อผลักดันภารกิจนี้ให้สำเร็จ

“จะเห็นว่าผมอยู่ทุกเวที (หัวเราะ) ที่จริงผมก็เป็นคนธรรมดาที่อยากมีชีวิตสบายๆ ไปเที่ยว มีความสุขเหมือนคนอื่น แต่หน้าที่นี้เหมือนเป็นภาระหน้าที่ที่ผมต้องทำให้เสร็จสิ้น เวทีปฏิรูปพลังงานเรารอมานานแล้ว

สิ่งที่เห็นครั้งนี้ผมว่าคนไทยตื่นตัวมากกว่าปี 2551 มากๆ ชนิดที่เรียกว่าคนมีความรู้ยกระดับไปแล้ว อย่างในเฟซบุ๊กเวลาผมโพสต์อะไรไปบางทีจะมีคนมาเถียงแทนผม มีการอ้างอิงด้วย บางคนมีความรู้ เก่งกว่าผมซะอีก ผมว่าเขาก็เป็นคนที่อยู่ในวงการพลังงานนั่นแหละ และเขาเป็นคนที่รักชาติ ไม่ยอมในความไม่เป็นธรรม ที่จริงในวงการพลังงานก็ยังมีคนดีๆ อยู่อีกเยอะแต่หลายคนอาจจะเปิดตัวไม่ได้

ฉะนั้น ผมว่าสิ่งที่กำลังทำก็น่าจะสำเร็จ เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง อาจจะเสร็จสิ้นในช่วงเวลาของผมหรือไม่นั้น ก็ตอบไม่ได้ แต่ถ้าไม่เสร็จสิ้นในช่วงของผม ผมก็ยังมั่นใจว่าจะมีคนมาสานต่ออีกมากมาย เพราะการตื่นตัวของประชาชนเกิดขึ้นแล้วและไม่มีวันที่จะดับไป”

กุ๊กกิ๊กเจ้าของหัวใจนักเคลื่อนไหว

พูดคุยถึงเรื่องอุดมการณ์การทำงานอันมุ่งมั่นของ ม.ล.กรกสิวัฒน์ กันแล้ว ก็ได้เวลาพูดคุยถึงเรื่องราวสบายๆ กับผู้ที่อยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนนักขับเคลื่อนคนนี้กันบ้าง “ม.ล.สมรดา ชุมพล” หญิงสาวที่บรรดาแฟนข่าวสังคมคงคุ้นหน้าเธอกันเป็นอย่างดี หนึ่งในลิสต์ของเซเลบริตี้ที่ใครๆ ก็ต้องเชิญเธอไปร่วมงาน เพราะเธอเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการโฆษณาและเอเยนซี เริ่มตั้งแต่การทำงานกับบริษัทเอเยนซียักษ์ใหญ่อย่างโอกิลวี่ (Ogilvy) จากนั้นย้ายมาเป็นโปรดักแมเนเจอร์อยู่ที่แบรนด์เครื่องสำอางเอสเต ลอเดอร์ (Estee Lauder) บริษัท เอลก้า (ประเทศไทย) จำกัด

ม.ล.สมรดายังได้มานั่งพูดคุยอัปเดตถึงหน้าที่การงานให้เราฟังว่า “ก่อนหน้านี้ทำงานวงการเอเยนซีและโฆษณา ปัจจุบันนี้ทำงานอยู่ที่เอสเต ลอเดอร์ ซึ่งก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของการใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการทำอีเวนต์ เวิร์กชอปและดูเรื่องโปรโมชันด้วย เมื่อเป็นงานครีเอตก็จะคอยอัปเดตตัวเองอยู่เสมอ ดูว่าตอนนี้มีเทรนด์อะไรที่น่าสนใจบ้าง เพราะต้องเอามาจัดกิจกรรมให้กับลูกค้าและสินค้าของเรา”

ตามประสาผู้หญิงที่รักความสวยความงาม การทำงานในแวดวงความงามจึงเป็นเรื่องสนุกสำหรับเธอ แม้ว่าจะมีเรื่องของตัวเลขและธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็ยังมีเคล็ดลับเรื่องการดูแลตัวเองเข้ามาเป็นแรงจูงใจให้เธอสนุกกับงาน

“วงการความงามสนุกดีค่ะ เป็นงานที่มีความสนุกหลากหลาย ทั้งต้องบริหารงานงบประมาณ แต่อีกด้านก็ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเราชอบอยู่แล้วด้วย นอกจากนี้ยังได้ความรู้เสริมเรื่องสวยๆ งามๆ ด้วยเพราะตัวเองเป็นคนชอบเครื่องสำอาง ชอบการแต่งหน้าอยู่แล้ว พอมาทำงานแบรนด์เครื่องสำอางก็ได้เรียนรู้วิธีการแต่งหน้าด้วย รู้สเต็ปการใช้ครีมบำรุงและเครื่องสำอางอย่างถูกต้อง

เราเป็นคนชอบแต่งหน้า ไม่มีช่วงเวลาที่ขี้เกียจแต่งหน้านะ เสาร์-อาทิตย์ออกไปเที่ยวไหนกับเพื่อนก็ยังแต่งหน้า ยิ่งเรามาอยู่วงการนี้ยิ่งรู้สึกว่าความสวยความงามเป็นสิ่งจำเป็นมาก อย่างการดูแลตัวเองก็เหมือนกัน เราก็จะมีการทาครีมบำรุงหลายขั้นตอนมากขึ้น ยิ่งเรารู้รายละเอียดของผลิตภัณฑ์ด้วยว่ามันจะช่วยส่งเสริมกันอย่างไร ยิ่งให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น

อีกทั้งเรายังคลุกคลีอยู่กับเมกอัพอาร์ทิสต์ยิ่งพบเทคนิคใหม่ๆ มากขึ้น ยิ่งเห็นยิ่งรู้เราก็สามารถทำให้ตัวเองสวยมากขึ้นด้วยการใช้เครื่องสำอาง บางทีก็แอบเรียนรู้จากทางเมกอัพอาร์ทิสต์ด้วย รู้ทิปส์ เทคนิคต่างๆ เพิ่มเติม (หัวเราะ)”


ย้อนอดีตคู่รักข้าวใหม่ปลามัน

อัปเดตชีวิตกันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาเปิดใจคู่รักราชนิกุล ที่มีเรื่องราวความรักที่ผ่านการปรับจูนกันมาหลายครั้งกว่าที่จะลงตัว จนเรียกได้ว่าเป็น “รักรีเทิร์น” เพราะเคยคบกัน 7 ปี แล้วเลิกคบกันไป 3 ปี จากนั้นกลับมาคบกันอีก 1 ปี จนนำไปสู่การแต่งงานที่ทั้งสองจะร่วมสร้างชีวิตครอบครัวที่มั่นคง โดย ม.ล.สมรดา เริ่มเล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นของการพบกันของเขาและเธอ

ม.ล.สมรดา :: “เจอกันในรูปแบบของเพื่อนของเพื่อน ตอนนั้นเพื่อนกิ๊กเรียนปริญญาโทที่สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง ซึ่งพี่กรก็เรียนอยู่ แล้วเพื่อนชวนไปดูการประกวดดนตรีที่คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ เราก็ไปเพราะไม่มีอะไรทำ (หัวเราะ)”

ม.ล.กรกสิวัฒน์ :: “ส่วนผมไปดูรุ่นน้องแข่ง แล้วก็ไปเจอกับกิ๊กแบบเพื่อนของเพื่อนที่บังเอิญเจอกันในงานแข่งดนตรี จำได้ว่าเป็นบรรยากาศที่สบายๆ เพราะตัวจริงของผมก็ชอบดนตรีอยู่แล้ว ผมเล่นดนตรีตั้งแต่ 10 ขวบ แล้วผมได้รางวัลชนะเลิศของกรุงเทพมหานครด้วยนะตอนวัยรุ่น วันนั้นก็เลยเจอกันและได้รู้จักกัน”

ม.ล.สมรดา :: “ประโยคแรกที่แอบถามเพื่อนตอนที่เจอพี่กรคือ ถามว่าพี่เขาอายุเท่าไหร่? (หัวเราะ) แต่พี่เขาก็ไม่ตอบ”

ม.ล.กรกสิวัฒน์ :: “เราไม่พูดเรื่องอายุกันดีกว่า (หัวเราะ) ตอนเจอกิ๊กก็รู้แหละว่ารุ่นน้อง แต่ก็สปาร์กตรงที่เราอาจจะมีความชอบเหมือนกัน ผมชอบดนตรี เขาก็ชอบดนตรี จากนั้นก็สานความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ”

ม.ล.สมรดา :: “มีเรื่องบังเอิญว่าระหว่างที่เราไปไหนมาไหนกับกลุ่มเพื่อนซึ่งก็มีพี่กลุ่มเพื่อนพี่กรไปด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งโทรศัพท์กิ๊กเสีย แล้วพี่กรก็ให้ยืมเพราะเขามี 2 เครื่อง กิ๊กก็ใส่ซิมเรา เขาก็เลยได้เบอร์โทร.กิ๊กไป”

จากนั้นทั้งคู่ก็ค่อยๆ สานความสัมพันธ์กันเรื่อยๆ คบหาดูใจเป็นแฟนกันนานถึง 7 ปี แต่อาจเป็นเพราะความต่างระหว่างวัยที่ต่างกันถึง 15 ปี ทำให้ไม่เข้าใจกันในบางครั้ง จึงมีช่วงที่ทำให้เลิกราห่างกันไปใช้ชีวิตในแบบของแต่ละคนอยู่ 3 ปี ก่อนที่จะรู้ใจตัวเอง และรู้ว่าอยู่กับใครแล้วมีความสุข นำไปสู่การรีเทิร์นกลับมาคบหากันอีกครั้ง

ม.ล.สมรดา :: “การเลิกกันไปอาจทำให้เรารู้ว่าในที่สุดแล้วเราอยู่กับใครแล้วแฮปปี้ ช่วงที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันก็รู้ใจตัวเองมากขึ้น พอกลับมาคบกันก็เลยจูนกันได้ดีขึ้น”

ความเชื่อมโยงแห่งราชสกุล

ไม่ใช่แค่เรื่องของสองหัวใจที่มีใจตรงกัน ที่แม้จะเคยห่างเหินและกลับมาคบหากันใหม่อีกครั้ง แต่บางครั้งยังมีเรื่องราวที่อาจเรียกได้ว่าเป็นบุพเพสันนิวาส และเรื่องราวความเกี่ยวพันของสายตระกูลที่ทั้งสองเองยังประหลาดใจ

ม.ล.กรกสิวัฒน์ :: “ตั้งแต่คบกันก็รู้ว่ากิ๊กเป็นหม่อมหลวง แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก แต่เมื่อเราแต่งงานกันแล้วก็เลยสืบสานเรื่องราวว่าเชื้อสายของเราเป็นอย่างไร พบว่า เรามีเชื้อสายที่สนิทใกล้ชิดกันมาก แม่ของปู่ผมเลี้ยงย่าเขามา ปู่ผมไปอยู่กับท่านลุง ซึ่งท่านลุงก็คือตาของย่ากิ๊ก เป็นครอบครัวที่เคยใช้ชีวิตมาด้วยกัน แต่หลังๆ ก็เริ่มแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของแต่ละครอบครัว”

ม.ล.สมรดา :: “คุณพ่อกิ๊กยังมีเอกสารเก่าๆ พอไปค้นก็เจอความเชื่อมโยงของราชสกุล ต้นตระกูลก็ใกล้ๆ กัน”

ม.ล.กรกสิวัฒน์ :: “ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 อาจจะมีต่างพี่น้องต่างพระมารดา ปู่ผมไปอยู่กับท่านลุง (กรมหลวงพิชิตปรีชากร) ซึ่งเป็นต้นราชสกุล “คคณา” มีน้องชายเป็นต้นราชสกุล “ชุมพล” ทั้งสองคนเป็นลูกคนละแม่ที่บวชพร้อมกัน เรียนโตมาพร้อมกัน และที่เชื่อมโยงกันก็คือ ปู่ผมไปอยู่กับราชสกุล “คคณา” ราชสกุล “คคณา” มีลูกสาว 2 คน ซึ่งไปแต่งงานกับกรมพระสวัสดิ์คือต้นตระกูล “สวัสดิวัตน์” ซึ่งท่านย่าของคุณกิ๊กเป็นสวัสดิวัตน์แต่งงานกับท่านปู่ (ชุมพล) จนมาถึงรุ่นของเราที่เกษมศรีกับชุมพลมาแต่งงานกัน”


ชีวิตจริงของคู่แต่งงาน

พูดถึงเรื่องราวก่อนแต่งงานและหลังแต่งงานของทั้งสองกันบ้าง โดยทั้งสองเปิดใจเล่าถึงการปรับตัวที่มีทั้งรัก ทั้งทะเลาะ แต่ก็มีความเข้าใจกัน

ม.ล.กรกสิวัฒน์ :: “หลังแต่งงานไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ผมเป็นอย่างนี้มาตลอด ก่อนแต่ง-หลังแต่ง หรือตอนจีบใหม่ๆ หรือคบกันนานแล้วโปรโมชันผมไม่ได้มีอยู่แล้ว ผมเป็นคนที่มีความเป็นผู้ชายสูง ก็เป็นอย่างนี้มาตลอด จะมีก็แค่หลังแต่งงานเตียงนอนผมเล็กลง (หัวเราะ)

ก็มีบ้างเรื่องการปรับตัวในการใช้ชีวิตร่วมกัน ช่วงแรกๆ ก็มีทะเลาะกันบ้าง ผมทำงานดึกเขาก็น้อยใจราวกับว่าผมไปมีกิ๊ก (หัวเราะ) ผมเหนื่อยและเครียดมาก การทำงานให้ประเทศไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่ว่าวันนี้ทำพรุ่งนี้หยุด เราจะปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ บางทีเขาก็หงุดหงิด แต่ผมก็เข้าใจ และอยากให้เขาเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมจะต้องทำ

ทุกวันนี้ก็ยังนึกขอบคุณเขาตลอดนะที่เขาเริ่มเข้าใจและไม่ค่อยตำหนิที่ผมต้องทำงาน 7 วันกลับบ้านเที่ยงคืน ผมผิดนัดเสาร์-อาทิตย์เขามาหลายเดือนแล้ว ปกติผมจะให้เวลาวันอาทิตย์กับเขา แต่พักหลังนี้ยุ่งมาก ช่วยตรงไหนได้ก็ทำ ณ เวลานี้ผมให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานมาก”

ม.ล.สมรดา :: “เรื่องทะเลาะก็มีตั้งแต่ตอนที่เป็นแฟนกันใหม่ๆ แล้วนะ (หัวเราะ) อาจเป็นเพราะกิ๊กเด็กกว่าพี่กร แล้วพี่กรก็เป็นคนที่ไม่หวานเลย ออกแนวเอ็กซ์ตรีมด้วยซ้ำ แต่พักหลังๆ เริ่มจูนกันติดเข้าใจในความเป็นตัวของตัวเองแต่ละคน ตอนแรกที่ชอบพี่กรเพราะเขาไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ชอบคนที่หวานๆ เลี่ยนๆ ชอบแบบที่คุยกันง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ พี่เขาก็จะมีมุก มีลูกเล่นของเขา อย่างเช่น ตอนไปดูหนังครั้งแรก เขาก็แกล้งมาถามว่าหนูจะชวนพี่ไปดูหนังใช่ไหม ซึ่งปกติผู้ชายเขาก็จะเป็นคนมาชวน เขาก็จะกวนเราเฉยๆ

...ตอนกิ๊กไปเรียนซัมเมอร์ไม่อยู่นาน เขาก็ถามเราว่าคิดถึงพี่ไหม เขาจะไม่ยอมบอกว่าคิดถึง อาจจะเป็นเพราะเขาอายุมากกว่าก็เลยมีมุกอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเราคิดว่าแปลกดี แต่ก็มีมุมกุ๊กกิ๊กที่คุยกับเราได้ เราสามารถอ้อนเขาได้ เขาเองก็ปรับตัวเข้าหาเราเหมือนกัน เขาก็จะรู้ว่าผู้หญิงไม่ต้องการอะไรมาก แค่แสดงความรักหน่อย เขาก็ปรับตัวแสดงความรักมากขึ้น แต่ก็ยังมีความเป็นตัวเขาอยู่”


ม.ล.กรกสิวัฒน์ :: “บางครั้งผมงานยุ่งก็ไม่อยากให้เขาต้องมาเครียดไปกับเรา พูดตรงๆ เลยงานที่ผมทำผมว่ามันอันตราย บางครั้งไปต่างจังหวัด กิ๊กก็อยากจะไปด้วย แต่ความจริงมันอันตรายมาก เพราะสิ่งที่เราพูดมันขัดผลประโยชน์ของคนอื่นที่เป็นผู้มีอิทธิพล เราก็ใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาไม่ได้มีเกราะกำบังอะไร การออกไปต่างจังหวัดจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวพอสมควร ผมก็ไม่อยากให้เขาไปเสี่ยง ไม่อยากให้เขาได้รับความกดดันเหมือนที่ผมเจอ”

ม.ล.สมรดา :: “เป็นห่วงพี่กรมากค่ะ มักจะโทรศัพท์หาตลอด บอกเขาเลยว่าถึงอย่างไรก็ขอให้รับโทรศัพท์ หรือโทรศัพท์กลับด้วย บางทีเขายุ่งมากก็เข้าใจ แต่อยากให้เขาเข้าใจความห่วงใยของเราด้วย แต่ก็เพิ่งมีทริปใหญ่ที่ไปเที่ยวกับที่บ้านมาด้วยกัน ตอนนั้นดีใจที่พี่กรยอมหยุดงานยาวไปด้วย”

ม.ล.กรกสิวัฒน์ :: “การไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวของกิ๊กทำให้ครอบครัวเขาเข้าใจสิ่งที่ผมทำอยู่มากขึ้น ซึ่งทางผู้ใหญ่ก็สนับสนุน ตอนจะแต่งงานเคยบอกกับกิ๊กว่าต้องเข้าใจผมนะ ผมอาจจะไม่มีเวลา ยุ่งบ้าง มีเรื่องราวหลายๆ อย่างที่ต้องทำ อาจให้เวลาได้ไม่เต็มที่ แต่ผมคิดว่าเราไม่รู้จะตอบแทนแผ่นดินอย่างไร การทำงานเพื่อประเทศชาติน่าจะเป็นสิ่งตอบแทนที่ดีที่สุด”

รู้เรื่องราวการปรับตัวตามประสาคู่รักกันมาแล้ว คงต้องสอบถามถึงความประทับใจซึ่งกันและกันอันนำไปสู่การใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน

ม.ล.สมรดา :: “ชอบความเป็นเขา พี่กรมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความคิดที่ดีกับประเทศชาติและกับคนอื่นๆ เขาเป็นคนดีมากๆ ที่จริงกิ๊กเป็นคนที่ดื้อมาก แต่พี่กรจะมีวิธีสอนให้เราปรับตัวดีขึ้น และที่สำคัญมีความเป็นผู้นำ พี่ที่ทำงานยังแซวว่าถ้าไม่ใช่พี่กรคงเอาเราไม่อยู่ เพราะกิ๊กก็จะยอมเขา อาจเป็นเพราะเรารักเขามากก็เลยยอม ซึ่งเขาก็เข้าใจสิ่งที่เราเป็น”

ม.ล.กรกสิวัฒน์ :: “ประทับใจที่เขาเป็นคนมีพื้นฐานจิตใจที่ดีอยู่แล้ว อาจจะมีเอาแต่ใจบ้าง ก็ปรับจูนกันไป พอเราบอกถึงเหตุถึงผลเขาก็เข้าใจ แล้วผมกับเขามีบางอย่างที่เชื่อมกันอยู่แล้ว เราคุยกันแล้วเข้าใจได้ง่ายก็เลยรู้สึกว่าเป็นคนนี้แหละ”

เมื่อการสนทนาใกล้สิ้นสุดลง ม.ล.กรกสิวัฒน์ยังกล่าวติดตลกกับเราว่า อนาคตครอบครัวของเขาอยากจะมีลูกสัก 10 คน เพราะจะได้เอามาช่วยกันปฏิรูปพลังงานให้สำเร็จ! จึงทำให้เชื่อแล้วค่ะว่า มีจิตใจมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ :: Text by FLASH

แต่งหน้า : Make-up Artist จากเครื่องสำอาง Estee Lauder
สถานที่ : MOTIF Art of Living ชั้น 4 Central Embassy โทรศัพท์ 0-2250-7740, 0-2250-7741
ช่างภาพ : กมลภัทร พงศ์สุวรรณ
กำลังโหลดความคิดเห็น