คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ในช่วงเวลาของวันอันเปลี่ยวเหงา...ฉันออกเดินทางเพื่อค้นหาความงาม เมื่อการอยู่ที่บ้านอย่างจำเจนั้นดูช่างน่าเบื่อ นิ่งเงียบ ราวกับไม่มีอะไรเคลื่อนไหว
ท้องฟ้าในวันนี้ช่างไม่สวยเอาเสียเลย แสงสีขาวสว่างถ้วนทั่วกันไปหมด ก้อนเมฆที่เคยล่องลอยก็แทบไม่ปรากฏให้เห็น ท้องฟ้านั้นเล่าก็เป็นแต่สีขาวขุ่นๆ ไม่มีมิติเหมือนที่เคยเห็น เห็นเพียงแสงและเงาลางๆ ของก้อนเมฆ เป็นบรรยากาศที่คล้ายกับราวช่วงผ่านของชีวิตที่ดูเวิ้งว้างและว่างเปล่า
ฉันขับรถออกไปโดยต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อเจอกับแสงสว่างจ้าแต่ขาวขุ่นของอากาศเช่นในวันนี้ ฉันพาตัวเองไปเรื่อยๆ ยังเมืองเล็กๆ ที่คุ้นเคยเมืองหนึ่ง จอดรถแล้วลงเดิน ผู้คนหายไปไหนกันหมดในวันเช่นนี้ บนถนนก็ว่างโล่งไม่มีคนเดิน ในตลาดก็กลับหงอยเหงายิ่งกว่า แม้ค้าสองสามเจ้านอนหลับอยู่คาแผงขายของที่ตนเองขาย
หากอยากจะเจอใครสักคนหรือได้ยินเสียงของการพูดคุย ก็คือการเดินเข้าไปในร้านรวงของเขา นั่นจึงจะได้ยินเสียงของการพูดคุย ชายเจ้าของร้านขายอาหาร ที่พูดไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนกับการบ่นว่า เงียบเหลือเกินตั้งแต่เช้านี้ขายไปได้แค่สามคน เขาเสียภาษีอย่างถูกต้องและยังคงต้องเสีย
แต่ผู้คนน้อยลง ร้านของเขาที่เคยอยู่กลางตลาดนั้นก็พาลเงียบกริบ เพราะมีตลาดนัดสัญจรจัดขึ้นทุกวัน พ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้นเสียแต่ค่าที่ ไม่ได้เสียภาษีเหมือนเขา และร้านของเขาก็เงียบเหลือเกิน
ฉันรวบช้อนส้อมในจานข้าวหน้าเป็ดที่ถูกกินไปเพียงแต่เนื้อเปิด มีข้าวเหลืออยู่เต็มจาน ฉันพาลคิดถึงเจ้าฟอร์ด สุนัขข้างบ้านขึ้นมาแว่บหนึ่ง
ฉันจ่ายเงินค่าข้าวนั้นแล้วออกจากร้านมา และเดินหาความงามต่อไป
บนทางเท้าที่เงียบเหงาฉันเห็นมีแต่คนขายของไม่กี่คน ฉันเหลือบแลไปเห็นเสื่อกกทอมือแบบหยาบๆ แต่มีเส้นสีแซมจากร้านขายเครื่องจักสานของหญิงชราคนหนึ่ง
ฉันจึงเข้าไปถามราคาขอให้ช่วยคลี่ออกให้ฉันดู และฉันซื้อเสื้อนั้นกลับบ้านมาสามผืน รู้สึกเกรงใจยิ่งนักที่ต้องให้คนชราคลี่ของออกมาให้เราดูและต้องก้มเก็บ
ฉันกล่าวขอโทษอาม่า ขอโทษด้วยนะคะที่หนูให้คลี่ออกมาแล้วต้องเก็บคนเดียว หญิงชราผู้นั้นยิ้มอย่างใจดีแววตาของเธอกลับมีความสุข ฉันพบความงามข้างในดวงตาของหญิงชรานั้น
ทั้งๆ ที่เมื่อแรกมองฉันนึกสงสารว่าข้าวของเต็มร้านบ้างก็ฝุ่นจับสินค้าแบบเก่าๆ แบบนี้กับคนแก่ขายแทบจะไม่มีใครซื้อแล้ว ฉันจึงหยุดดูและอุดหนุนเธอ
แต่ข้างในดวงตาของเธอไม่ปรากฏความทุกข์แบบที่ฉันคิดแม้แต่น้อยนิด บางทีคนชราที่ผ่านโลกมานานแสนนานกว่าเราจะเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างในความมีชีวิตที่เป็นไปตามกลไกของมัน...ฉันคิด
บนทุ่งนาสายเล็กๆ ในวันที่ฟ้าหลัวเช่นนี้ฉันจะไปเจอความงามได้ที่ไหน...ฉันพบต้นข้าวสีทองและควันไฟ แต่ไม่พบความงามในนั้น
ฉันผ่านแม่น้ำและทิวมะพร้าว กระชังเลี้ยงปลาและกอผักตบชวาที่กำลังลอยละล่อง ที่นั่นมีความงามไหม
ฉันผ่านสุนัขที่นั่งอยู่ริมถนน ฉันร้องถามไปในใจกับสุนัขว่า อะไรคือความงามในชีวิตเจ้าหรือ เจ้าหมา...เจ้าพอจะรู้ไหม?
เจ้าสุนัขตัวนั้นมองที่ฉันแล้วกระดิกหางวิ่งไปที่เจ้าของของมัน แล้วตอบว่า "ความงามในชีวิตของฉันก็คือการที่ได้รักและซื่อสัตย์กับคนผู้เป็นเจ้าของฉันน่ะสิ"
ฉันผ่านคนหาปลาที่กำลังถือแหอวนเดินอยู่ที่ริมชายน้ำ ฉันถามไปข้างในใจกับคนหาปลาว่า ความงามของชีวิตคุณคืออะไรหรือ เขาตอบกับฉันอย่างไม่ลังเลว่า
"มันสวยงามที่สุดเมื่อมีริ้วเคลื่อนของเกล็ดปลาอันวิบวับติดขึ้นมาที่ตาข่ายแหอวนของฉันน่ะสิ"
ฉันผ่านต้นดอกไม้ และถามดอกไม้ ดอกไม้ตอบว่า "ความงามของฉันคือการที่ฉันมีดอก"
ฉันผ่านลุงแก่ๆ เสื้อสีขาวที่นั่งอยู่หน้าแผงพระ ลุงแก่ๆ ผู้นั้นตอบฉันว่า "ความงามที่ลุงค้นหานั้นอยู่หลังเลนส์ของแว่นส่องพระนั่นไงล่ะอีหนู"
ฉันผ่านลุงแก่ๆ ผู้ชอบไสรถจักรยานคนเดิม ลุงจักรยานบอกกับฉันว่า
"ความงามของลุงอยู่ที่ในวันทุกวันที่ลุงยังไสรถจักรยานออกจากบ้านเองไหว"
ฉันผ่านบึงบัวและดอกโสนริมน้ำ ดอกบัวและดอกโสนบอกกับฉันอย่างร่าเริงว่า "ฉันรู้สึกงามที่สุดเมื่อถูกเอาไปวางเป็นดอกไม้บูชาพระ ส่วนดอกโสนนั้นรู้สึกสวยงามที่สุดที่เมื่อเธอได้ลงไปอยู่ในกระทะของไข่เจียว"
ฉันถามหาความงามจากสิ่งต่างๆ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับมาถึงบ้านของตัวเอง เมื่อก้าวย่างลงมาจากรถ พบกับพ่อของฉัน พ่อบอกว่า มีอาหารสัตว์ถูกส่งมาในกล่องและวางอยู่ที่ใต้ถุนบ้านของฉันแล้ว ฉันเดินไปถึงบ้าน พบกล่องพัสดุบรรจุยากันยุงสมุนไพรสำหรับสุนัข และอาหารกินเล่นอย่างดีสำหรับสุนัขถูกแพ็คมาในกล่อง จากพี่ผู้หนึ่งซึ่งมีจิตใจรักสัตว์ อันน้ำใจจากมิตรที่เอื้ออารีต่อสัตว์นี้ ฉันได้พบความงาม...
ฉันไม่ปฏิเสธว่า ธรรมชาติคือความงามแต่ธรรมชาติก็มีความผันแปรไปตามวันและเวลา ความงามตามธรรมชาติที่ใจเราจะยอมรับว่าสิ่งนั้นงาม อาจมีเพียงบางเวลาเท่านั้น เช่นเวลาเช้าตรู่ และเวลาเย็นพระอาทิตย์ตกดิน ทั้งๆ ที่เป็นสถานที่เดียวกันสิ่งเดียวกันเพียงต่างเวลา
และนั่นอาจเป็นเพราะความทรงจำของเราด้วยในส่วนหนึ่ง เราจดจำและตีค่าความงามนั้นตามประสบการณ์ที่คุ้นเคยและเป็นมาของเรา
ในความงามและไม่งามนั้นมันมีอยู่คู่ขนานกันและไม่ได้แยกจากกันไปไหน แต่มันต่างอยู่ที่หัวใจของเราจะเปิดรับมันตามความจริงมากน้อยแค่ไหนเพียงไรนั่นเอง..ฉันคิด
ฉันมาหยุดอยู่ที่บ้านอันเงียบสงบของตัวเอง เพื่อมองหาความงามในวันนี้ ดินเหนียวหลายก้อนที่ถูกปั้นขึ้นมาเสร็จใหม่ๆ เรียงรายอยู่ในตู้ และในนั้นมีโสเภณีตัวเล็กๆ ของฉัน
ฉันพึงใจกับพวกเธอมาก แต่แม้การจะปั้นเธอก็ยังจะปั้นเพียงชิ้นเล็กๆ เหมือนกับจะบอกตัวตนอันไร้ค่าน้อยนิดแทบไม่มีที่อยู่ที่ยืนในโลกของความเป็นจริง
แต่ฉันก็พึงใจกับพวกเธอมาก เธอเป็นงานชิ้นเล็กๆ ที่น่ารัก มีท่าทีอาการที่ก๋ากั่นเอาการกว่านางๆ อื่นๆ ที่อยู่ด้วยกันในตู้
“อะไรทำให้เธอปั้นฉันขึ้นมาหรือ?”
เสียงตุ๊กตาโสเภณีดินปั้นในตู้ร้องถามฉัน
ก็เพราะฉันเห็นความงามของเธอน่ะสิ เธองามในความเป็นเพศหญิงเหมือนฉัน และอาชีพของเธอนั้นมีคุณประโยชน์ด้วยซ้ำไป เธอเป็นเพื่อนกับชายผู้เปลี่ยวเหงา
เธอใช้เรือนร่างของเธอแลกมาให้ได้เงิน เพื่อที่จะดูแลตัวเองไม่ให้เป็นภาระคนอื่น ดูแลลูกของเธอ หรือดูแลพ่อแม่และน้องของเธอ มันเป็นความงามของเธอนะ ฉันมองเห็น
ฉันว่า ถ้าเลือกได้ เธอคงไม่อยากมาเป็นแบบนี้หรอกใช่มั้ย เธออาจไม่ได้เรียนหนังสือเลย เธออาจไม่มีต้นทุนในชีวิต และที่สำคัญที่สุดเธออาจมีจิตใจที่อ่อนแอ ฉันรู้ว่า ความอ่อนแอ ทำให้คนเราสามารถที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อเอาตัวเองให้รอดๆ ไป
“ฉันไม่ได้ทำให้สังคมตกต่ำหรอกหรือ?”......โสเภณีดินปั้นในตู้ถามฉัน
สังคมไม่ได้ตกต่ำเพราะว่ามีโสเภณีหรอกนะ สังคมจะสูงจะต่ำก็เพราะพฤติกรรมของคนในสังคมต่างหากล่ะ
อาชีพของพวกเธอนั้นไม่ใช่ของแปลกใหม่ พวกเธอมีเชื้อสายเผ่าพันธ์ของโสเภณีมาตั้งแต่ยุคเก่าก่อนโน่นแล้ว..
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ฉันจะสนับสนุนให้คนมาทำอาชีพโสเภณีกันหรอกนะ ฉันแค่เห็นว่าพวกเธอมีอยู่แม้ใครๆ จะไม่อยากพูดถึง และฉันเห็นในความงามของพวกเธอ
ฉันเองบางครั้งก็อ่อนแอ แต่ฉันโชคดีที่มีงานปั้น แล้วฉันก็ปั้นพวกเธอนี่แหละ นี่ฉันกำลังจะปั้นพวกเธอในชิ้นที่สามแล้วนะ
แต่แค่มีคนเห็นพวกเธอจากในรูป ก็มีคนมาหลงรักพวกเธอแล้วนะรู้ไหม?
มีคนอยากได้พวกเธอไปอยู่ที่บ้านกับเขา
แต่ฉันบอกไปว่า ให้เขารอก่อน รอให้ฉันปั้นพวกเธอให้ครบอย่างที่ใจอยากปั้นเสียก่อน แล้วฉันจะบอกข่าวไป
“โอ....แม้จะเป็นเพียงโสเภณีดินปั้น นี่ฉันก็ยังจะถูกขายอีกเหรอ....?”
ฉันได้ยินเสียงตุ๊กตาดินรูปโสเภณีน้อยๆ ในตู้ ส่งเสียงบ่นอุบอิบงึมงัม
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
ในช่วงเวลาของวันอันเปลี่ยวเหงา...ฉันออกเดินทางเพื่อค้นหาความงาม เมื่อการอยู่ที่บ้านอย่างจำเจนั้นดูช่างน่าเบื่อ นิ่งเงียบ ราวกับไม่มีอะไรเคลื่อนไหว
ท้องฟ้าในวันนี้ช่างไม่สวยเอาเสียเลย แสงสีขาวสว่างถ้วนทั่วกันไปหมด ก้อนเมฆที่เคยล่องลอยก็แทบไม่ปรากฏให้เห็น ท้องฟ้านั้นเล่าก็เป็นแต่สีขาวขุ่นๆ ไม่มีมิติเหมือนที่เคยเห็น เห็นเพียงแสงและเงาลางๆ ของก้อนเมฆ เป็นบรรยากาศที่คล้ายกับราวช่วงผ่านของชีวิตที่ดูเวิ้งว้างและว่างเปล่า
ฉันขับรถออกไปโดยต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อเจอกับแสงสว่างจ้าแต่ขาวขุ่นของอากาศเช่นในวันนี้ ฉันพาตัวเองไปเรื่อยๆ ยังเมืองเล็กๆ ที่คุ้นเคยเมืองหนึ่ง จอดรถแล้วลงเดิน ผู้คนหายไปไหนกันหมดในวันเช่นนี้ บนถนนก็ว่างโล่งไม่มีคนเดิน ในตลาดก็กลับหงอยเหงายิ่งกว่า แม้ค้าสองสามเจ้านอนหลับอยู่คาแผงขายของที่ตนเองขาย
หากอยากจะเจอใครสักคนหรือได้ยินเสียงของการพูดคุย ก็คือการเดินเข้าไปในร้านรวงของเขา นั่นจึงจะได้ยินเสียงของการพูดคุย ชายเจ้าของร้านขายอาหาร ที่พูดไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนกับการบ่นว่า เงียบเหลือเกินตั้งแต่เช้านี้ขายไปได้แค่สามคน เขาเสียภาษีอย่างถูกต้องและยังคงต้องเสีย
แต่ผู้คนน้อยลง ร้านของเขาที่เคยอยู่กลางตลาดนั้นก็พาลเงียบกริบ เพราะมีตลาดนัดสัญจรจัดขึ้นทุกวัน พ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้นเสียแต่ค่าที่ ไม่ได้เสียภาษีเหมือนเขา และร้านของเขาก็เงียบเหลือเกิน
ฉันรวบช้อนส้อมในจานข้าวหน้าเป็ดที่ถูกกินไปเพียงแต่เนื้อเปิด มีข้าวเหลืออยู่เต็มจาน ฉันพาลคิดถึงเจ้าฟอร์ด สุนัขข้างบ้านขึ้นมาแว่บหนึ่ง
ฉันจ่ายเงินค่าข้าวนั้นแล้วออกจากร้านมา และเดินหาความงามต่อไป
บนทางเท้าที่เงียบเหงาฉันเห็นมีแต่คนขายของไม่กี่คน ฉันเหลือบแลไปเห็นเสื่อกกทอมือแบบหยาบๆ แต่มีเส้นสีแซมจากร้านขายเครื่องจักสานของหญิงชราคนหนึ่ง
ฉันจึงเข้าไปถามราคาขอให้ช่วยคลี่ออกให้ฉันดู และฉันซื้อเสื้อนั้นกลับบ้านมาสามผืน รู้สึกเกรงใจยิ่งนักที่ต้องให้คนชราคลี่ของออกมาให้เราดูและต้องก้มเก็บ
ฉันกล่าวขอโทษอาม่า ขอโทษด้วยนะคะที่หนูให้คลี่ออกมาแล้วต้องเก็บคนเดียว หญิงชราผู้นั้นยิ้มอย่างใจดีแววตาของเธอกลับมีความสุข ฉันพบความงามข้างในดวงตาของหญิงชรานั้น
ทั้งๆ ที่เมื่อแรกมองฉันนึกสงสารว่าข้าวของเต็มร้านบ้างก็ฝุ่นจับสินค้าแบบเก่าๆ แบบนี้กับคนแก่ขายแทบจะไม่มีใครซื้อแล้ว ฉันจึงหยุดดูและอุดหนุนเธอ
แต่ข้างในดวงตาของเธอไม่ปรากฏความทุกข์แบบที่ฉันคิดแม้แต่น้อยนิด บางทีคนชราที่ผ่านโลกมานานแสนนานกว่าเราจะเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างในความมีชีวิตที่เป็นไปตามกลไกของมัน...ฉันคิด
บนทุ่งนาสายเล็กๆ ในวันที่ฟ้าหลัวเช่นนี้ฉันจะไปเจอความงามได้ที่ไหน...ฉันพบต้นข้าวสีทองและควันไฟ แต่ไม่พบความงามในนั้น
ฉันผ่านแม่น้ำและทิวมะพร้าว กระชังเลี้ยงปลาและกอผักตบชวาที่กำลังลอยละล่อง ที่นั่นมีความงามไหม
ฉันผ่านสุนัขที่นั่งอยู่ริมถนน ฉันร้องถามไปในใจกับสุนัขว่า อะไรคือความงามในชีวิตเจ้าหรือ เจ้าหมา...เจ้าพอจะรู้ไหม?
เจ้าสุนัขตัวนั้นมองที่ฉันแล้วกระดิกหางวิ่งไปที่เจ้าของของมัน แล้วตอบว่า "ความงามในชีวิตของฉันก็คือการที่ได้รักและซื่อสัตย์กับคนผู้เป็นเจ้าของฉันน่ะสิ"
ฉันผ่านคนหาปลาที่กำลังถือแหอวนเดินอยู่ที่ริมชายน้ำ ฉันถามไปข้างในใจกับคนหาปลาว่า ความงามของชีวิตคุณคืออะไรหรือ เขาตอบกับฉันอย่างไม่ลังเลว่า
"มันสวยงามที่สุดเมื่อมีริ้วเคลื่อนของเกล็ดปลาอันวิบวับติดขึ้นมาที่ตาข่ายแหอวนของฉันน่ะสิ"
ฉันผ่านต้นดอกไม้ และถามดอกไม้ ดอกไม้ตอบว่า "ความงามของฉันคือการที่ฉันมีดอก"
ฉันผ่านลุงแก่ๆ เสื้อสีขาวที่นั่งอยู่หน้าแผงพระ ลุงแก่ๆ ผู้นั้นตอบฉันว่า "ความงามที่ลุงค้นหานั้นอยู่หลังเลนส์ของแว่นส่องพระนั่นไงล่ะอีหนู"
ฉันผ่านลุงแก่ๆ ผู้ชอบไสรถจักรยานคนเดิม ลุงจักรยานบอกกับฉันว่า
"ความงามของลุงอยู่ที่ในวันทุกวันที่ลุงยังไสรถจักรยานออกจากบ้านเองไหว"
ฉันผ่านบึงบัวและดอกโสนริมน้ำ ดอกบัวและดอกโสนบอกกับฉันอย่างร่าเริงว่า "ฉันรู้สึกงามที่สุดเมื่อถูกเอาไปวางเป็นดอกไม้บูชาพระ ส่วนดอกโสนนั้นรู้สึกสวยงามที่สุดที่เมื่อเธอได้ลงไปอยู่ในกระทะของไข่เจียว"
ฉันถามหาความงามจากสิ่งต่างๆ มาเรื่อยๆ จนกระทั่งกลับมาถึงบ้านของตัวเอง เมื่อก้าวย่างลงมาจากรถ พบกับพ่อของฉัน พ่อบอกว่า มีอาหารสัตว์ถูกส่งมาในกล่องและวางอยู่ที่ใต้ถุนบ้านของฉันแล้ว ฉันเดินไปถึงบ้าน พบกล่องพัสดุบรรจุยากันยุงสมุนไพรสำหรับสุนัข และอาหารกินเล่นอย่างดีสำหรับสุนัขถูกแพ็คมาในกล่อง จากพี่ผู้หนึ่งซึ่งมีจิตใจรักสัตว์ อันน้ำใจจากมิตรที่เอื้ออารีต่อสัตว์นี้ ฉันได้พบความงาม...
ฉันไม่ปฏิเสธว่า ธรรมชาติคือความงามแต่ธรรมชาติก็มีความผันแปรไปตามวันและเวลา ความงามตามธรรมชาติที่ใจเราจะยอมรับว่าสิ่งนั้นงาม อาจมีเพียงบางเวลาเท่านั้น เช่นเวลาเช้าตรู่ และเวลาเย็นพระอาทิตย์ตกดิน ทั้งๆ ที่เป็นสถานที่เดียวกันสิ่งเดียวกันเพียงต่างเวลา
และนั่นอาจเป็นเพราะความทรงจำของเราด้วยในส่วนหนึ่ง เราจดจำและตีค่าความงามนั้นตามประสบการณ์ที่คุ้นเคยและเป็นมาของเรา
ในความงามและไม่งามนั้นมันมีอยู่คู่ขนานกันและไม่ได้แยกจากกันไปไหน แต่มันต่างอยู่ที่หัวใจของเราจะเปิดรับมันตามความจริงมากน้อยแค่ไหนเพียงไรนั่นเอง..ฉันคิด
ฉันมาหยุดอยู่ที่บ้านอันเงียบสงบของตัวเอง เพื่อมองหาความงามในวันนี้ ดินเหนียวหลายก้อนที่ถูกปั้นขึ้นมาเสร็จใหม่ๆ เรียงรายอยู่ในตู้ และในนั้นมีโสเภณีตัวเล็กๆ ของฉัน
ฉันพึงใจกับพวกเธอมาก แต่แม้การจะปั้นเธอก็ยังจะปั้นเพียงชิ้นเล็กๆ เหมือนกับจะบอกตัวตนอันไร้ค่าน้อยนิดแทบไม่มีที่อยู่ที่ยืนในโลกของความเป็นจริง
แต่ฉันก็พึงใจกับพวกเธอมาก เธอเป็นงานชิ้นเล็กๆ ที่น่ารัก มีท่าทีอาการที่ก๋ากั่นเอาการกว่านางๆ อื่นๆ ที่อยู่ด้วยกันในตู้
“อะไรทำให้เธอปั้นฉันขึ้นมาหรือ?”
เสียงตุ๊กตาโสเภณีดินปั้นในตู้ร้องถามฉัน
ก็เพราะฉันเห็นความงามของเธอน่ะสิ เธองามในความเป็นเพศหญิงเหมือนฉัน และอาชีพของเธอนั้นมีคุณประโยชน์ด้วยซ้ำไป เธอเป็นเพื่อนกับชายผู้เปลี่ยวเหงา
เธอใช้เรือนร่างของเธอแลกมาให้ได้เงิน เพื่อที่จะดูแลตัวเองไม่ให้เป็นภาระคนอื่น ดูแลลูกของเธอ หรือดูแลพ่อแม่และน้องของเธอ มันเป็นความงามของเธอนะ ฉันมองเห็น
ฉันว่า ถ้าเลือกได้ เธอคงไม่อยากมาเป็นแบบนี้หรอกใช่มั้ย เธออาจไม่ได้เรียนหนังสือเลย เธออาจไม่มีต้นทุนในชีวิต และที่สำคัญที่สุดเธออาจมีจิตใจที่อ่อนแอ ฉันรู้ว่า ความอ่อนแอ ทำให้คนเราสามารถที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อเอาตัวเองให้รอดๆ ไป
“ฉันไม่ได้ทำให้สังคมตกต่ำหรอกหรือ?”......โสเภณีดินปั้นในตู้ถามฉัน
สังคมไม่ได้ตกต่ำเพราะว่ามีโสเภณีหรอกนะ สังคมจะสูงจะต่ำก็เพราะพฤติกรรมของคนในสังคมต่างหากล่ะ
อาชีพของพวกเธอนั้นไม่ใช่ของแปลกใหม่ พวกเธอมีเชื้อสายเผ่าพันธ์ของโสเภณีมาตั้งแต่ยุคเก่าก่อนโน่นแล้ว..
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ฉันจะสนับสนุนให้คนมาทำอาชีพโสเภณีกันหรอกนะ ฉันแค่เห็นว่าพวกเธอมีอยู่แม้ใครๆ จะไม่อยากพูดถึง และฉันเห็นในความงามของพวกเธอ
ฉันเองบางครั้งก็อ่อนแอ แต่ฉันโชคดีที่มีงานปั้น แล้วฉันก็ปั้นพวกเธอนี่แหละ นี่ฉันกำลังจะปั้นพวกเธอในชิ้นที่สามแล้วนะ
แต่แค่มีคนเห็นพวกเธอจากในรูป ก็มีคนมาหลงรักพวกเธอแล้วนะรู้ไหม?
มีคนอยากได้พวกเธอไปอยู่ที่บ้านกับเขา
แต่ฉันบอกไปว่า ให้เขารอก่อน รอให้ฉันปั้นพวกเธอให้ครบอย่างที่ใจอยากปั้นเสียก่อน แล้วฉันจะบอกข่าวไป
“โอ....แม้จะเป็นเพียงโสเภณีดินปั้น นี่ฉันก็ยังจะถูกขายอีกเหรอ....?”
ฉันได้ยินเสียงตุ๊กตาดินรูปโสเภณีน้อยๆ ในตู้ ส่งเสียงบ่นอุบอิบงึมงัม
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews