xs
xsm
sm
md
lg

เปลือย(หัว)ใจบ่าวสาวต่างวัย รักสายฟ้าแลบ!! ธีร์ภัทร สูตะบุตร&ปวิตรา ทัศวิชัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>รักษาความโสดมาได้นานถึง 40 ปี สำหรับ “นุ่ย” ธีร์ภัทร สูตะบุตร บิสซิเนสแมนมากความสามารถ หนุ่มเนื้อหอมเจ้าสำราญคนหนึ่งในแวดวงสังคม ในที่สุดก็แพ้ทางให้กับสาวน้อยหน้าหวานที่อายุน้อยกว่าถึง 15 ปี นาม “หมิว” ปวิตรา ทัศวิชัย หลังคบหาดูใจกันเพียง 6 เดือน!!! ทั้งคู่ก็ตัดสินใจเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์ กลายเป็นคู่ข้าวใหม่ปลามันชนิดที่ว่าใครบางคนอาจตั้งตัวไม่ติด

“ผมว่าเราต่างคนต่างรับฟังกันและกัน รู้สึกว่าน้องหมิวห่วงใยเราและเราก็ห่วงใยเขา ผมได้พิสูจน์ว่าระยะเวลาคบกันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด ถ้ามัน “คลิก” ก็คือ “คลิก” “ใช่” ก็คือ “ใช่” คือต่อให้คนเป็นแฟนกัน 4-5 ปี เลิกกันไปก็หลายคู่ หรืออย่างคู่เพื่อนผมคบกัน 4 - 5 เดือนก็แต่งงาน ปัจจุบันมีลูกแล้ว ก็ยังอยู่กันมีความสุขก็เยอะ ผมว่าคู่ใครก็คู่ใคร ชะตาชีวิตใครก็ชะตาชีวิตของคู่นั้น แต่คู่เราเลือกที่จะเป็นแบบนี้” หนุ่มนุ่ยเข้าประเด็นถึงการสละโสดสายฟ้าแลบของเขา

ใครคือ “หมิว” ปวิตรา?

ชื่อของ “นุ่ย” ธีร์ภัทร น่าจะติดหูหลายๆ คนที่ติดตามข่าวสารในแวดวงสังคมอย่างใกล้ชิด เพราะหนุ่มหน้าหยกคนนี้นอกจากพ่วงดีกรีหนุ่มนักเรียนนอก ลูกชาย ศ.ดร.ธีระ สูตะบุตร อดีต รมว.เกษตรฯ แล้ว ยังเป็นนักธุรกิจความสามารถรอบตัว จับงานมาแล้วหลากหลายไม่ว่าจะเป็นอดีตกรรมการอิสระที่อายุน้อยที่สุดในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อีกทั้งยังร่วมทุนกับบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์และภาชนะทำจากมันสำปะหลัง และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งหนังสือพิมพ์บันเทิง “สยามดารา” รวมถึงนั่งตำแหน่งคณะกรรมการโรงเรียนอินเตอร์ Siam International School และโรงเรียนในเครืออีกนับ 10 โรง

แต่สำหรับสาวน้อยน่ารัก ผู้คว้าหัวใจหนุ่มเนื้อหอมคนนี้ไปครองเป็นใครกัน? คงเป็นอีกเรื่องที่ใครๆ ก็อยากรู้ !!!ปวิตรา ทัศวิชัย หรือที่หนุ่มนุ่ยเรียกติดปากว่า “น้องหมิว” เธอเป็นทายาทเจ้าของบริษัทบิ๊กวันอินเตอร์เทรด จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ขนมอบกรอบตราบิ๊กก้า (Bigga) และโอเค (OK) รวมถึงเป็นตัวแทนจำหน่ายของเล่นเด็กอย่างเป็นทางการของสินค้าลิขสิทธิ์อย่าง BANDAI หลังจบปริญญาตรี คณะธุรกิจระหว่างประเทศ วิทยาลัยนานาชาติ ม.มหิดล ก็ไปหาประสบการณ์ในบริษัทเอเยนซีโฆษณาชั้นนำอย่าง McCann ก่อนมารับตำแหน่งมาร์เกตติ้งแมเนเจอร์ ให้กับบิ๊กวันอินเตอร์เทรด ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว

“หมิวเป็นลูกสาวคนโต เติบโตมากับบริษัทนี้ คุณพ่อ (มนตรี) เป็นคนฝึกหมิวมาตั้งแต่เด็ก อายุ 15 หมิวก็เข้าบริษัทแล้ว พออายุ 18 หมิวก็ทำเต็มตัว เริ่มจากประสานงานกับ BANDAI ติดต่อนำเข้าของเล่น ตอนนั้นไม่สนุกเลยนะ แต่ตอนนี้หมิวรู้สึกเป็นพระคุณมากที่คุณพ่อบังคับ พอกลับมาทำงานที่บ้านหมิวก็มาสร้างแบรนด์ให้กับโอเค คือจริงๆ โอเคมีมานานกว่า 6-7 ปี เพียงแต่ไม่ได้สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ถึงตอนนี้หมิวดูแลมันมาได้ 4 ปีกว่าแล้ว” คุณหมิวเล่าถึงงานที่เธอรับผิดชอบ ซึ่งดูเหมือนว่าไม่น่าจะโคจรมาเจอกับคุณนุ่ยได้เลย

ปิ๊งรักกลางห้องเรียน

หากเรื่องความรักไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใด ก็เหมือนพรหมลิขิตบันดาลให้มาพบกัน เมื่อคุณนุ่ยได้รับการชักชวนจากผู้หลักผู้ใหญ่ (รศ.มานพ พงศทัต) เพื่อนคุณพ่อให้มาเรียนหลักสูตรเกี่ยวกับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นคลาสเดียวกับคุณหมิวลงเรียนพอดี แต่การพบกันครั้งแรกกลับไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร แถมออกแนวฮาเสียด้วยซ้ำ

“จริงๆ ครอบครัวผมกับน้องหมิวมีสายสัมพันธ์กับโรงเรียนที่คุณแม่ผมดูแลอยู่ เพราะบริษัทของน้องหมิวเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมฟุตบอลเยาวชนของโรงเรียนมานานกว่า 2-3 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ตอนเจอน้องหมิวครั้งแรก เป็นช่วงที่ผมไม่ได้ดูแลตัวเองเท่าไร หมายถึงไม่ได้เสริมหล่อ (หัวเราะ) ส่วนน้องหมิวเองก็ไม่ได้แต่งหน้า ซึ่งผมเห็นว่าน้องเป็นคนหน้าตาน่ารัก ถ้าแต่งหน้าอีกนิดจะสวยมากๆ ประโยคแรกที่ผมทักเขาคือ หมิวไม่ทาลิปสติกหรอ ถ้าแต่งหน้าจะสวยกว่านี้รู้เปล่า” หนุ่มนุ่ยเล่าการพบกันครั้งแรกที่ดูจะไปกระตุกต่อมจี๊ดสาวหมิวพอสมควร

“เราเจอกันในสภาพหน้าสด (หัวเราะ) คือปกติหมิวเป็นคนไม่ทาลิปสติก เจอกันครั้งแรกก็พูดแบบนี้เลย ในฐานะผู้หญิงฟังแล้วเอ๊ะ! เลยคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครมีสิทธิมาพูดกับเราแบบนี้ หรือว่าฉันต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างแล้ว ฉันดูโทรมขนาดนั้นเลยเหรอ แต่พอกลับไปเล่าให้คุณแม่ฟังคุณแม่กลับบอกก็จริงนะ ลูกควรจะทาลิปสติกบ้าง หมิวก็เลยชักเห็นด้วย”
เท่านั้นยังไม่พอ วันต่อมาหนุ่มนุ่ยลงทุนซื้อลิปสติก 3 สี 3 แท่งมาให้คุณหมิวเลยทีเดียว ซึ่งเธอก็รับด้วยท่าทีเหมือนเด็กรับของผู้ใหญ่ เพราะด้วยวัยของฝ่ายชายที่มีมากกว่า แต่ในใจก็แอบงงๆ เคืองๆ อยู่เล็กน้อย ก่อนจะเอาคืนบ้างด้วยการทักคุณนุ่ยว่า “ผมยาวแล้ว น่าจะไปตัดผม ทำเล็บบ้าง”

เรียกว่าเป็นการพบกันครั้งแรกที่เหมือนแอบจิ๊กกันเล็กๆ ราวกับพระนางในละคร และเมื่อเวลาผ่านไประหว่างการเรียนที่แทบเจอกันทุกวันและต้องทำโปรเจกต์กลุ่มเดียวกัน ทำให้เพื่อนๆ ทุกคนในคลาส รวมถึงคุณนุ่ยและคุณหมิวด้วยสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว

“มีวันหนึ่งบังเอิญว่าคุณแม่ทิ้ง เพราะถนนปิดเยอะมาก แล้วหมิวมีนัดเข้าคลาสต่อยมวยกับเพื่อน และต้องซื้อของให้คุณแม่ด้วย พี่นุ่ยอยู่ตรงนั้นพอดี เขาก็อาสาไปส่ง วันนั้นเลยทำให้เราได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น” คุณหมิวเล่าถึงจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ

“น้องหมิวเป็นคนสมบุกสมบันนะ เวลาหมิวไปชอปปิ้งผมก็เป็นเพื่อนสาวให้เขา (หัวเราะ) เวลาผมไปทำกิจกรรมสมบุกสมบันหมิวก็เป็นเพื่อนชายให้ผม มันเป็นอะไรที่ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า และผมมักพูดตรงๆ กับน้อง ผมชอบก็บอกว่าชอบ ผมไม่ได้มาฟอร์ม เราจะมาจีบเหมือนวัยรุ่นคงทำไม่ได้ คงสู้วัยรุ่นไม่ได้หรอก ผมก็เล่นแบบดื้อๆ ดิบๆ ตรงๆ นี่ละ”

เรื่อง ‘วัย’ ไม่ใช่อุปสรรค

แม้จะมีวัยต่างกันถึง 15 ปี แต่ทั้งสองกลับมองว่าความต่างของวัยไม่ใช่อุปสรรคเลย เพราะด้วยนิสัยเปิดเผย ตรงไปตรงมา และพื้นเพความชอบที่คล้ายคลึงกัน ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองจูนกันติดเร็วขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าย่อมต้องมีปัญหาเหมือนกับคู่รักทั่วๆ ไป แต่ทั้งสองก็อาศัยความจริงใจข้ามอุปสรรคของเวลาและวัยไปอย่างไม่ยากเย็น

“ผมบอกน้องว่าการคบกันของเราขอให้ข้ามช่วงโปรโมชันไปเลยได้ไหม เอาตัวตนที่แท้จริงออกมาเลยดีกว่า อะไรที่รับกันไม่ได้ก็บอกให้ปรับช่วงโรแมนติกที่เป็นความฝันตัดออกไปเลย ต่างคนจะได้ไม่ต้องจินตนาการไปไกลไม่งั้นมันจะเกิดความคาดหวังและถ้ามันต้องทะเลาะก็ปล่อยไป แต่ทะเลาะก็ต้องปรับความเข้าใจ ถ้าผมผิด ผมเป็นผู้ใหญ่พอที่จะแก้ไข เขาก็แฟร์พอที่จะแก้ไขเหมือนกัน ผมยอมรับว่าหลายๆ เรื่องก็ซึมซับมาจากน้องเหมือนกัน อย่างเรื่องเวลาผมค่อนข้างยืดหยุ่นแต่หมิวนี่เวลาต้องเป๊ะๆ คือเราก็ปรับตัวเหมือนกัน เป็นความเต็มใจในการปรับ ไม่ได้รู้สึกว่าใครบังคับให้ทำ แต่เราเต็มใจจะพัฒนาตนเองมากกว่า” คุณนุ่ยเผยถึงช่วงเวลาเรียนรู้กันและกัน

“สำหรับหมิวเรื่องอายุไม่เคยรู้สึกว่าเป็นประเด็น เหมือนเราใช้ภาษาเดียวกันแต่เป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องปรับตัวกัน เพราะแต่ละคนคุณพ่อคุณแม่สอนกันมาคนละแบบ มีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องจูนกันให้ลง แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต้องยอมรับว่าหมิวเป็นคนดื้อ แต่พี่นุ่ยเป็นคนแรกที่ทำให้หมิวคิดว่าเราต้องเปลี่ยนเหมือนกัน คือมันไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตหมิวนะ ฉะนั้นพี่เขาจึงไม่น่าเป็นแค่อีกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต”


ความประทับใจที่เติมเต็มกันและกัน

ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลและวิธีการในการปรับจูนเข้าหากัน และต่างก็มีความประทับใจที่มีต่อกันและกันในคนละมุม ซึ่งหนุ่มนุ่ยเล่าก่อนว่า พูดไปก็เหมือนยอกันเอง แต่เพราะมันคือความจริงที่ว่าเขาประทับใจคุณหมิวตรงที่เป็นคนจิตใจดี รักครอบครัว เป็นผู้หญิงขยัน ทำงานเก่ง ที่สำคัญครอบครัวของคุณหมิวเป็นครอบครัวน่ารัก ให้การต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น ในขณะที่คุณหมิวประทับใจฝ่ายชายในความเป็นคนจริงใจ โดยไม่จำเป็นต้องหาคำพูดสวยหรูมาแต่งเติม โดยเฉพาะความเป็นคนจริงจังในการทำงาน ซึ่งได้ใจคุณหมิวไปเต็มๆ ขนาดว่าเห็นคุณนุ่ยเป็น Role Model ในการทำงาน

“หมิวยังเด็ก ยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกเยอะ แล้วหลายๆ อย่างที่พี่นุ่ยเล่าให้หมิวฟังรู้สึกประทับใจ หมิวชอบคนมุ่งมั่น ชอบคนที่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตซึ่งพี่นุ่ยมี และหมิวรู้สึกว่าพี่เขาไม่ใช่แค่แฟน หรือแค่เพื่อน เป็นมากกว่านั้น เขาเป็นแรงบันดาลใจ เป็นที่ปรึกษา ซึ่งเรารู้สึกปลอดภัยเวลาอยู่กับเขา”

นอกเหนือนิสัยใจคอที่ลงตัวเหมาะเจาะของทั้งสองฝ่ายแล้ว ประเด็นสำคัญที่จะมองข้ามไปไม่ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาหนุ่มนุ่ยได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มเนื้อหอมและเคยมีข่าวควงกับสาวๆ มาหลายคน ทำให้อดถามไม่ได้ว่าข่าวคราวเหล่านั้นทำให้คุณหมิวหวั่นไหวหรือไม่ ซึ่งคำตอบที่ได้จากปากคุณหมิวเป็นเครื่องยืนยันได้ดีถึงความจริงใจที่ฝ่ายชายแสดงออกให้เธอได้ประจักษ์

“ต้องออกปากขอโทษก่อนว่าหมิวไม่รู้จักนามสกุลสูตะบุตรมาก่อน ตอนแรกที่ไปเรียนหมิวแค่รู้สึกว่าทำไมทุกคนเกรงใจพี่นุ่ยจัง ก็สงสัยอยู่ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร เลยเอาชื่อพี่นุ่ยไปหาใน Google เท่านั้นละ...หน้าพี่นุ่ยขึ้นมาสัก 10-20 รูป ถึงรู้ว่าข่าวพี่เขาเยอะมาก แต่ตลอดเวลาที่รู้จักกันพี่นุ่ยน่ารักมากไม่เคยมีแม้แต่โมเมนต์เดียวที่ทำให้หมิวรู้สึกว่าต้องระแวง บางเวลาที่ห่างกัน พี่นุ่ยจะบอกว่าติดธุระนะ ถ้าพี่เขาไม่โทร.มาก่อนหมิวไม่กล้าโทร.ไป เพราะไม่รู้ว่าเขายุ่งหรือติดแขกสำคัญหรือเปล่า แล้วก็ไม่เคยคิดว่าเขาต้องโทร.หาด้วย”

โมเมนต์ ‘ขอแต่งงาน’ สไตล์นุ่ย

ในที่สุดเมื่อความรักของนุ่ยและหมิวเดินทางมาถึงจุดผลิบาน ระฆังวิวาห์ก็ดังขึ้น แต่ช่วงโมเมนต์ ‘ขอแต่งงาน’ ที่บางคนอาจวาดภาพไว้สวยงาม กลับกลายเป็นลีลาการขอแต่งงานแบบดื้อๆ ในสไตล์หนุ่มนุ่ย ที่ทำเอาฝ่ายหญิงออกอาการเงิบไปเหมือนกัน

“ไม่มีเซอร์ไพรส์ไม่มีอะไรเลยนะ คือพี่นุ่ยไม่ชอบเซอร์ไพรส์ วันนั้นเราไปกินข้าวกันปกติ แล้วจู่ๆ เขาก็ว่าแต่งงานกันไหม หมิวก็ฮือ...เงิบไปเหมือนกัน แต่มันเป็นอะไรที่พี่นุ่ยพูดมาเรื่อยๆ อยู่แล้ว เพียงแต่หมิวไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้” คุณหมิวย้อนถึงช่วงเวลาสำคัญ

“ผมชอบพูดอยู่เรื่อยๆ ว่าอยากแต่งงานแล้วคนรอบข้างก็เลยไม่ได้ตกใจเท่าไร อายุผมก็ 40 แล้วถึงเวลาเริ่มใช้ชีวิตคู่ได้แล้ว แต่ก็ต้องถามฝ่ายหญิง เพราะอายุเขายังไม่มาก เขาพร้อมไหม แต่น้องหมิวเป็นคนมีความคิดผู้ใหญ่ ผมว่าในรุ่นเดียวกัน เขาทำงานเก่งกว่าเพื่อนๆ ก็ถือว่าโตเร็ว ผมก็คิดว่าถ้าเขาไม่ติดอะไรก็แต่งเลย (หัวเราะ) หมิวเคยถามผมว่าถ้าเปรียบเทียบตัวเองเป็นหนังสือก็คงอ่านแค่แป๊บเดียวแล้วหนูจะมีความหมายอะไร แต่สำหรับผมมันเหมือนหนังสือเล่มหนา อ่านเท่าไรก็ไม่หมด ผมก็บอกว่าทำไมต้องเปรียบตัวเองเป็นหนังสือ ผมไม่ได้อยากอ่านหนังสือประวัติชีวิตที่เขามี แต่ผมอยากจะเริ่มใหม่ที่ ‘เรา’ ผมไม่ได้ใช้คำว่า ‘คุณ’ หรือ ‘ผม’ แต่ใช้คำว่า ‘เรา’ ทำไมเราไม่จับมือเขียนหนังสือเล่มของเราไปด้วยกันว่าเราอยากให้ชีวิตของเราเป็นอย่างไร”

เจอฝ่ายชายทั้งหยอดทั้งรุกขนาดนี้ มีหรือฝ่ายหญิงจะไม่ say yes แต่ที่แน่ๆ คนที่ say yes ทันทีที่ได้ยินประโยคเด็ดของคุณนุ่ยประโยคนี้ คือ คุณแม่ของคุณหมิว เรียกคะแนนประทับใจจากว่าที่แม่ยายไปแบบจัดเต็ม

“colorful in the garden wedding” ธีมนึ้พี่จัดให้

แค่นึกว่าต้องจัดงานวิวาห์ ปัญหาก็ตามมาตั้งแต่ขอฤกษ์ เพราะถ้าไม่ใช่ 18 กรกฎาคมปีนี้ ก็ต้องรอยาวไปอีก 2 ปี ซึ่งงานนี้คุณนุ่ยบอกคำเดียวว่า “ไม่รอ!” ออกโรงเป็นคนจัดแจงงานแต่งด้วยตัวเอง ชนิดที่ว่าเจ้าสาวไม่ต้องออกแรงอะไรเลย ตั้งแต่หาโรงแรม ครีเอตธีม ออกแบบการ์ด เลือกของชำร่วย ไปจนถึงร่อนการ์ดเชิญแขกเหรื่อที่รวมๆ แล้วเกือบ 1,000 คน แต่ทั้งสองคนก็ยังลงทุนบรรจงเขียนการ์ดด้วยลายมือของตัวเอง แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของทั้งคู่ บวกกับความเป็นคนนิสัยติดดิน สบายๆ งานฉลองแต่งงานจึงจัดขึ้นอย่างเป็นกันเองเรียบง่าย

“ผมสนุกของผมกับการเป็นเวดดิ้ง แพลนเนอร์ อย่างการ์ดเชิญนี่ผมใส่ชื่อของเราเป็นภาษาอังกฤษ พอร่อนการ์ดออกไปเท่านั้นละ เพื่อนๆ โทร.มาถามกันเยอะมากว่าชื่อจริงของเราสะกดภาษาไทยอย่างไร ก็พิสูจน์ได้ว่ามีหลายคนตั้งใจอยากมางานของเราจริงๆ มีคนเตือนผมเยอะว่ากว่าจะจองโรงแรมได้เป็นปีเลยแต่ผมไม่ได้คิดยาก ก็เลือกปาร์คนายเลิศข้างบ้านนี่ละ เพราะเป็นโรงแรมที่คุ้นเคยกันมานานซึ่งโรงแรมมีคิววันนั้นพอดี ส่วนธีม in the garden ผมได้แรงบันดาลใจมาจากคุณพ่อซึ่งทำงานเกี่ยวกับเกษตรมาตลอด และที่ปาร์คนายเลิศก็มีต้นไม้เยอะคือภาพที่ผมคิดอยู่ในหัวมันสวยงามมาก”

“เราไม่อยากให้มีธีมสีที่แน่นอน เพราะหมิวไม่ต้องการให้ใครออกไปหาซื้อชุด เพราะมางานแต่งงานของเรา แค่เขามาร่วมงานของเราหมิวก็รู้สึกเป็นพระคุณมากแล้ว มีหลายคนถามเจ้าสาวยุ่งไหม บอกเลยว่าไม่ จนถึงวันก่อนแต่งงานก็ยังไปทำงานตามปกติ คือหมิวเป็นพวกความรู้สึกช้า อย่างตอนหมั้น มีคนถามหมิวว่าตื่นเต้นไหม เราก็ว่าไม่ แต่พอถึงวันจริงนี่ร้องไห้โฮ...เลย” คุณหมิวเผยถึงความรู้สึกก่อนเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์ที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล

ลุ้นฮันนีมูนจากผลบอลโลก

หลังพิธีฉลองมงคลสมรส ทั้งคู่เตรียมแผนฮันนีมูนไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ประเทศเยอรมนี ก่อนตระเวนไปยังประเทศข้างเคียง ซึ่งยังไม่ได้ตกลงปลงใจว่าที่ไหน เพราะแค่จุดหมายปลายทางแรก กว่าจะตัดสินใจได้ก็เลือกมาด้วยวิธีการแสนพิลึก จากการลุ้นผลบอลโลกว่าทีมประเทศไหนคว้าแชมป์บอลโลก 2014 ได้ ก็จะฮันนีมูนประเทศนั้น

“เรื่องของเรื่องมาจากที่เราคิดกันไม่ได้ว่าจะไปฮันนีมูนประเทศไหน เราเลยใช้การแข่งขันบอลโลกเป็นตัวตัดสินว่าเราจะไปประเทศที่ชนะบอลโลก เราก็ลุ้นตั้งแต่วันแรกของบอลโลกเลยว่าประเทศไหนจะได้แชมป์ พอมาจบที่เยอรมันก็โอเค ถือโอกาสไปเยี่ยมญาติด้วย” คุณนุ่ยอธิบาย

สำหรับการต้อนรับสมาชิกตัวน้อยคุณนุ่ยชิงตอบแข็งขันว่า เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ของเขาอายุมากแล้ว และครอบครัวของเขาก็ยังไม่มีหลาน จึงตั้งใจอยากมีลูกทันที จะหญิงหรือชายก็ได้ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เลื่อนชั้นเป็นคุณปู่คุณย่า มีหลานแท้ๆ เป็นของตัวเองบ้าง ทันทีที่คุณนุ่ยพูดจบไม่ทันไร เสียงแซวจากคุณหมิวก็ลอยมาว่า “เฮ...คุณไม่ได้เป็นคนท้อง คุณไม่มีสิทธิเลือก” (หัวเราะ) ก่อนหันมาตอบกับทีมงาน Celeb Online อย่างจริงจังว่า

“ก่อนแต่งไม่ได้คิดมาก่อน ถ้าถามว่าเมื่อไหร่จะพร้อม คงตอบว่าไม่มี แต่หมิวโชคดีว่าคุณพ่อคุณแม่ของพี่นุ่ยให้ความรัก ความเอ็นดูหมิวมาก ฉะนั้นถ้าหมิวทำอะไรให้ท่านได้ก็อยากทำ”

ได้ยินอย่างนี้แล้ว แสดงว่าคงได้ข่าวดีอีกระลอกในเร็ววันนี้... :: Text by FLASH

กำลังโหลดความคิดเห็น