>>“ผู้หญิงต้องดูแลตัวเอง ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพื่อความมั่นใจของตัวเอง พอมีคนชมว่าเราสวยขึ้น เราก็มั่นใจขึ้น แล้วเราจะมีโอกาสในชีวิตมากขึ้น” คำแนะนำที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของผู้หญิงสมัยนี้ จาก “สินีนารถ เองตระกูล” ลูกสาวคนเก่งของอดีตนักการเมืองหลายกระทรวง “สมใจนึก เองตระกูล” ที่วันนี้เธอก้าวเข้ามาอยู่ในวงการความสวยความงาม และกำลังจะก้าวต่อไปที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งเธอมีเรื่องราวในวงการศัลยกรรมความงามที่น่าจะเป็นเกร็ดดีๆ มาฝากสำหรับผู้หญิงที่ไม่อยากหยุดสวยทั้งหลาย รวมไปถึงพูดคุยเรื่องครอบครัวที่น่ารักของเธอ
บ้านเองตระกูลย่านซอยนานา เปิดประตูใหญ่รอไว้ต้อนรับการเดินทางมาเพื่อพูดคุยของ Celeb Online กับครอบครัว “คุณปุ๊กกี้-สินีนารถ เองตระกูล” สารภาพเลยว่าตอนแรกเดาอายุของเธอคนนี้ เราคิดว่าน่าจะแค่เฉียดๆ 30 เท่านั้น แต่ความจริงแล้วเธอบอกใบ้ให้ว่าเกินกว่านั้นไปเยอะ! และในวันนี้เรายังได้รับเกียรติจาก “คุณบอย-พีรพล ตติยมณีกุล” ทายาทเจ้าของธุรกิจสิ่งทอ สามีผู้ใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกับเธอกว่า 8 ปี มานั่งเล่าเรื่องราวย้อนอดีตแสนหวานให้เราฟังอีกด้วย
เริ่มต้นกันด้วยเรื่องของความเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนของสาวคนนี้กันก่อน หลังเรียนจบปริญญาโทบริหารธุรกิจ และด้วยความชื่นชอบในเรื่องบริหารจัดการเป็นต้นทุน ก่อนการเริ่มต้นชีวิตการงานจึงขอเลือกศึกษาต่อด้าน Master Science of Ministration (Entrepreneur) สหรัฐอเมริกา และกลับมาเปิดบริษัทด้านโลจิสติกส์ในชื่อ Friendly Groups Logistic ที่เป็นการร่วมมือของคนในครอบครัวโดยมีคุณพ่อเป็นกุนซือคนสำคัญ
นอกจากการที่คุณพ่อช่วยสนับสนุนในการเปิดบริษัทแล้ว คุณพ่อยังเป็นคนแนะนำให้คุณปุ๊กกี้ลองหันมาสนใจธุรกิจเกี่ยวกับเรื่องความสวยความงาม เพราะในยุคที่เรื่องความสวยความงามเริ่มเป็นที่นิยมและมีความต้องการอยากสวยของผู้หญิงเพิ่มขึ้นนั้นเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจ สินีนารถจึงปักหลักสาขาแรกที่ทองหล่อ ในชื่อ “บีบี คลินิก” (BB Clinic) ชูจุดขายคลินิกความงามสไตล์เกาหลีโดยเฉพาะ เริ่มให้บริการทรีตเมนต์ จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับเพิ่มการศัลยกรรมแบบเกาหลี
“เปิดบีบีคลินิกมาได้ 5 ปีแล้วค่ะ เริ่มต้นจากที่คุณพ่อท่านเป็นคนที่ชอบดูแลตัวเอง ชอบให้ตัวเองดูดีตลอดเวลา ตอนแรกเปิดเป็นสปาเล็กๆ ทำไปแล้วรู้สึกว่าได้รับผลตอบรับดี จึงค่อยๆ ขยับตัวเองมาเป็นคลินิกเริ่มจากให้บริการทรีตเมนต์อย่างเดียว แม้แต่เครื่องเลเซอร์ก็ยังไม่มี จากนั้นก็ค่อยๆ มีเครื่องเลเซอร์ จนตอนนี้เป็นศูนย์ด้านความสวยความงามครบวงจร ทั้งศัลยกรรม ผ่าตัด สกินแคร์ และทรีตเมนต์ ซึ่งได้รับการตอบรับและความไว้วางใจจากลูกค้าทุกเพศทุกวัย
เรามีทีมแพทย์ที่ดูแลตรงนี้ ทั้งจากเกาหลีและประเทศไทย ซึ่งคุณหมอทั้งสองประเทศมีการแลกเปลี่ยนความรู้ นวัตกรรมและเทคนิคกันอยู่แล้ว คุณหมอทางเกาหลีเขาจะเก่งทางด้านใบหน้า ส่วนคุณหมอไทยเก่งด้านบอดี้”
การเข้ามาเป็นคนในวงการความสวยความงามนั้นคุณปุ๊กกี้เล่าว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน แต่เมื่อมารู้ตัวอีกทีก็เริ่มสนุกกับเรื่องสวยๆ งามๆ และคิดว่าต้องเริ่มขยายปีกของบีบี คลินิกออกไป
“ย้อนกลับไป 5 ปี รู้สึกเซอร์ไพรส์ว่าเรามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ไม่เคยคิดว่าเราจะมาด้านนี้ รู้สึกว่าไกลตัวตอนแรกๆ ไม่ได้สนใจ แต่ก่อนหน้านี้ด้วยความที่เป็นคนอยากดูแลเรื่องความสวยความก็ไปหาหมอดูแลตัวเองอยู่แล้ว จนกระทั่งมาเปิดคลินิกของตัวเอง ด้วยหน้าที่การงานก็เลยชอบไปเลย
ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 5 สาขา ได้แก่ บีบี คลินิก สาขาทองหล่อ 13, สาขาซอยมหาดไทย, สาขารังสิต, สาขาเชียงราย และล่าสุดที่ประเทศลาว เริ่มขยายสาขาจริงๆ ในปีที่ 3 เราเริ่มจากสาขาทองหล่อ 13 จับตลาดกลุ่มไฮเอนด์ แล้วรู้สึกว่าอยากขยายกลุ่มให้เป็นแมสหน่อย จึงขยายตลาดไปตามหัวเมือง เรื่องการขยายสาขาไปที่ประเทศลาวนั้นเพราะคนไข้ของเรามาจากประเทศลาวเยอะ ซึ่งที่สาขาประเทศลาว เรากำลังพัฒนาเรื่องสเต็มเซลล์ ไม่ใช่สเต็มเซลล์ของแกะ แต่เป็นสเต็มเซลล์ของตัวเองที่ฉีดกลับเข้าไป คุณหมอที่ทำและดูแลอยู่ตรงนั้นก็คือคุณหมอจากประเทศเกาหลี เหมือนเรายกบีบีคลินิกไปอยู่ที่ลาว ถ้ามีคนไข้อยากจะทำตา ทำจมูก จากคุณหมอเกาหลีก็สามารถไปทำที่ลาวได้ แทนที่จะต้องบินไปเกาหลีก็ไปแค่ลาว ซึ่งตรงนี้ค่าใช้จ่ายก็ถูกกว่า
ตอนนี้เราก็มีแผนที่จะเปิดโรงพยาบาล เพราะคิดว่าทางทีมแพทย์ของเรามีศักยภาพถึงขั้นที่เราสามารถไปเปิดโรงพยาบาลได้ อีกอย่างหนึ่งคือเราไม่อยากที่จะโตอยู่แค่นี้ เราอยากก้าวไปสู่อินเตอร์เนชั่นแนลมากขึ้นด้วย กำลังอยู่ในช่วงระหว่างเริ่มต้นค่ะ ยังไม่ได้เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่”
ศัลยกรรมไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
แม้ว่าจะมีข่าวเรื่องน่ากลัวและอันตรายที่เกี่ยวกับการทำศัลยกรรมออกมาให้สาวๆ ผวาได้เป็นระยะ แต่ในฐานะผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการความสวยความงามตรงนี้ ปุ๊กกี้ ผู้บริหารสาวแห่งบีบี คลินิก เธอกลับมองว่า เรื่องศัลยกรรมไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลยสักนิดเพียงแค่ศึกษาแล้วกล้าลงทุนกับความงามสักหน่อย
“เรื่องข่าวว่ามีคนทำศัลยกรรมแล้วมีผลข้างเคียงที่น่ากลัวต่างๆ นั้น ก็ทำให้กระทบวงการความสวยความงามเหมือนกัน จริงๆ แล้ว คนที่ไปฉีด ไปทำแล้วมีผลอันตรายมานั้น เขาอาจจะไม่ได้ทำกับคนที่เป็นหมอโดยตรง เพราะเท่าที่เคยได้ยินคนที่อ้างตัวว่าสามารถฉีดเสริมส่วนโน้นนี้ได้ เขาอาจเป็นแค่คนที่ทำงานในคลินิก แล้วหิ้วกระเป๋าออกไป ไม่ได้เป็นพยาบาลด้วยซ้ำ เขาอาจจะคิดว่าเขาทำได้ แต่ความจริงแล้วมันมีผลกระทบมากกกว่านั้น
แต่ถ้าทำกับหมอที่มีความเชี่ยวชาญ หรือทำตามคลินิกชั้นนำจะไม่มีเรื่องอันตรายอย่างนี้เกิดขึ้นแน่นอน เพราะทุกอย่างมีมาตรฐาน อยากให้น้องๆ ที่อยากทำลองศึกษาดีๆ เราอาจจะยอมเสียเงินแพงขึ้นอีกนิดหน่อย แต่ไปรับบริการที่ได้มาตรฐานดีกว่า
คนไทยโครงหน้าดีอยู่แล้วไม่ต้องทำเยอะหรอกค่ะ ปรึกษาคุณหมอผู้เชี่ยวชาญตามคลินิกชั้นนำ ขอดูใบอนุญาตหรือรายละเอียดว่าของที่เขาใช้ ที่จะนำมาใส่ร่างกายเราคืออะไร อย่างบีบี คลินิกเราใช้ของเกรดเอหมด และเราพยายามทำราคาไม่ได้แพงมาก จับต้องได้ คนชอบคิดว่าบีบีแพง แต่จริงๆ แล้วไม่แพง แนะนำว่าให้ปรึกษาก่อน หาความรู้ก่อน ปรึกษาหลายๆ ที่ก็ดี เพื่อจะได้ดูว่าแบบไหนที่ตรงใจเราที่สุด ปรึกษาบีบี คลินิกก็ได้ค่ะ ไม่คิดค่าปรึกษา (หัวเราะ)”
คุยเรื่องบิวตี้กับเจ้าแม่ความงาม
เมื่อมีโอกาสได้คุยกับเจ้าแม่เรื่องความสวยความงามทั้งที ก็คงอดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องความสวยความงามของผู้หญิงไทยสมัยนี้ ที่ส่วนใหญ่ต้องมีการปรับเสริมเติมแต่งให้มีความสวยงามตามสมัยนิยมอยู่แล้ว โดยครั้งนี้คุณปุ๊กกี้ได้เล่าถึงสเต็ปความงามในแต่ละช่วงวัยให้เราฟัง
“โดยมุมมองส่วนตัวเรื่องการทำศัลยกรรมนั้น ปุ๊กกี้คิดว่าเป็นเพียงเรื่องการดูแลตัวเองตามปกติ การดูแลรักษาให้ดูเต่งตึง ให้ดูสวยขึ้น แต่มันก็ต้องมีความพอดีด้วย ไม่ทำมากจนเกินไป จนหน้าแปลก ที่บีบี คลินิกจะเน้นเรื่องความเป็นธรรมชาติ ดูแล้วสมกับวัยไม่หลอกตา เป็นนโยบายของเราเลยก็ว่าได้ แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความพอใจส่วนตัวด้วย เป็นเรื่องการคุยกันระหว่างคุณหมอกับคนไข้ ซึ่งเราก็อยากให้ทุกคนพอใจ
จริงๆ ส่วนประกอบบนใบหน้าของคนไทยดีอยู่แล้ว เช่น ตาโต มีจมูก ปากที่คมอยู่แล้ว เราจะไม่นิยมทำแล้วทำอีก แต่คนไทยทำนิดทำหน่อยก็สวยแล้ว ตาแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย อาจจะแค่แบ๊วนิดหนึ่ง จมูกก็แค่เสริมขึ้นมาเป็นสัน แต่ไม่ต้องเยอะ บางคนกังวลในเรื่องของโหงวเฮ้ง เชื่อว่าคุณหมอส่วนใหญ่ที่ให้คำปรึกษาเราเขาก็พอจะศึกษามาบ้าง
ส่วนเรื่องการเสริมเติมแต่งนั้น แล้วแต่ช่วงวัย มันจะมีสเต็ปอยู่ เช่น ถ้าเป็นเด็กหรือวัยรุ่นอายุ 15-25 ปี ก็อาจจะต้องเริ่มในเรื่องการดูแลผิวพรรณ รักษาสิว พออายุ 25-30 ปีก็จะเริ่มมีโบท็อกซ์บ้าง ทำจมูก ทำตา เพื่อปรับโครงหน้า เพราะโครงหน้าเราจะโตเต็มที่คืออายุ 18 หลังจากนั้นเราก็ต้องเริ่มปรับแล้ว เช่น อยากได้ 2 ชั้นมั้ย? กราม จมูกใหญ่ไปมั้ย ตาหลบในก็ต้องแก้
ต่อมาช่วงอายุ 30-35 ปี เริ่มจะต้องดูแลเรื่องของริ้วรอยมากขึ้น วัย 35 ปีขึ้นไปก็จะเป็นเรื่องการเติมคอลลาเจน ยกกระชับ ร้อยไหมซึ่งก็มีอยู่หลายเทคนิคตั้งแต่ปรับโครงหน้าไปจนถึงยกกระชับ และอายุ 40 ขึ้นไปก็จะเป็นผ่าตัดดึงหน้า
เทรนด์ตอนนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าก็จะเป็นวีเชฟ คนนิยมมาก อาจจะเน้นฉีดคาง ให้ใบหน้าดูมีเชฟมากขึ้น แล้วก็เน้นทำปากเป็นรูปกระจับ คือการทำปากบนให้บาง”
ดูแลเรื่องความสวยความงามให้คนอื่นมาแล้ว ในเรื่องความสวยความงามของตัวเองคุณปุ๊กกี้ก็ยังต้องดูแลตัวเองทั้งภายในและภายนอก แน่นอนว่าเมื่อคลุกคลีอยู่ในแวดวงความงามก็มีบ้างที่คุณหมอจะต้องดูแลให้เป็นพิเศษ
“ง่ายๆ เลยคือการเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ทานอะไรที่อยากทาน แต่ก็เน้นผักผลไม้ ส่วนเรื่องการประทินโฉมหลักๆ เราจะดูแลเรื่องผิวอยู่ตลอด เราทำงานอยู่ตรงนี้ก็ต้องสวย อีกอย่างมีโอกาสได้เจอกับคุณหมอทุกวัน คุณหมอที่คลินิกก็จะคอยดูแลให้ เช่นตรงนี้เริ่มมีริ้วรอยแล้ว ก็จับเราไปโบท็อกซ์บ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงต้องดูแล ฉีดบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้หญิงสมัยนี้ต้องทำ กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้คนไม่ทำกลายเป็นแปลกนะ เพราะเวลาเราเห็นคนอื่นหน้าใส แต่เราไม่หน้าใสอย่างคนนี้ บางคนที่เห็นว่าหน้าใสๆ แต่บอกว่าไม่ทำๆ รับรองเลยว่าทำ!! เกิดเป็นผู้หญิงก็ต้องดูแลกันบ้าง ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพื่อความมั่นใจของตัวเอง พอมีคนชมว่าเราสวยขึ้น เราก็มั่นใจขึ้น แล้วเราจะมีโอกาสในชีวิตมากขึ้น เรามั่นใจทำอะไรก็มั่นใจไปหมด” (ยิ้ม)
คู่ชีวิตเจ้าแม่ความงาม
เปลี่ยนจากเรื่องธุรกิจความสวยความงามของเจ้าแม่บีบี มาสู่เรื่องราวครอบครัวที่น่ารักของเวิร์กกิ้งวูแมนสาวร่างเล็กคนนี้กันบ้าง เห็นตัวเล็กๆ หน้าแบ๊วๆ อย่างนี้เธอเป็นคุณแม่ที่น่ารักของลูกชายทั้งสอง และเป็นภรรยาที่เป็นเพื่อนคู่คิดที่ดีของ “คุณบอย-พีรพล ตติยมณีกุล” ทายาทธุรกิจสิ่งทอรายใหญ่ของเมืองไทย
ปัจจุบันคุณบอยดูแลธุรกิจของครอบครัวถึง 3 ส่วนด้วยกัน คือ บริษัท เอส.พี.บราเธอร์ จำกัด (S.P Brother) บริษัทดั้งเดิมของครอบครัว โดยเป็นผู้ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปให้กับแบรนด์เอ็กซ์พอร์ตต่างๆ มีโรงงานที่ประเทศไทยและกัมพูชา, บริษัท แอพพาเรล แอนด์ มอร์ จำกัด (Apparel & More) จัดจำหน่ายแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชาย Khaki Bros ที่มาจากความชอบส่วนตัวของเขาและพี่สาว และอีกหนึ่งงานที่เขาต้องดูแลก็คือ Tara Angkor Hotel โรงแรม 4 ดาวที่เมืองเสียมเรียบ (นครวัด) กัมพูชา
“ตอนนี้ทำธุรกิจของครอบครัว 3 บริษัท เป็นธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งทอ แต่ละบริษัทผมเป็นผู้บริหารดูภาพรวม หลักๆ จะดูความเรียบร้อยที่โรงงาน และบริษัทที่ทำแบรนด์เสื้อผ้า สองอันนี้คือหลักๆ ที่เป็นการทำงานประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าเราได้ทำสิ่งที่เราถนัดแล้ว อย่างเรื่องเสื้อผ้าผู้ชายเราคิดกันเมื่อ 2-3 ปีว่าอยากทำ ส่วนหนึ่งคือเราเห็นการผลิต เราทำให้กับแบรนด์นอกมาเยอะ มองว่าแบรนด์ลักษณะนี้ที่เมืองไทยน่าจะมีบ้าง ก็เลยเริ่มทำ ทางห้างก็ชอบคอนเซ็ปต์เรา จึงให้พื้นที่วางขาย ซึ่งตอนนี้ไปได้ในระดับที่เราก็แฮปปี้ เรามีดีไซเนอร์เป็นคนเกาหลีที่อยู่ที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นคนออกแบบให้ สไตล์ของแบรนด์เราจึงเป็นนิวยอร์กสไตล์ และส่วนตัวผมเองก็ชอบแต่งตัวด้วย ชอบซื้อเสื้อผ้า แต่เป็นแบบเรียบๆ การมาทำตรงนี้จึงยังคงเป็นสิ่งที่เราสนใจอยู่
ส่วนโรงแรมที่กัมพูชา เรามีเอ็มดีและจีเอ็มเป็นคนดูแลอยู่แล้ว ซึ่งเวลาเดินทางไปที่กัมพูชา ก็ถือโอกาสไปสองที่เลย ทั้งโรงแรมและโรงงาน ทั้งสองที่อยู่ห่างกันประมาณ 2 ชั่วโมง”
คุณบอยยังเล่าเสริมอีกด้วยว่า การทำงานด้านบริหารเป็นงานที่ตัวเองมีความรู้สึกว่าชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงมุ่งมาทางสายนี้ ตั้งแต่เลือกเรียนปริญญาตรีด้านการบริหารธุรกิจที่เอแบค แล้วก็ไปเรียนต่อโท MBA ด้านการเป็นผู้ประกอบการ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งที่นั่นเองทำให้เขาได้พบกับคุณปุ๊กกี้ สาวน้อยที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี
ใช้เวลาก่อร่างสร้างครอบครัว
สำหรับคู่ของคุณปุ๊กกี้-สินีนารถ เองตระกูล และคุณบอย-พีรพล ตติยมณีกุล นั้นเป็นคู่รักที่อายุห่างกัน 3 ปี ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาเรื่องช่องว่างระหว่างวัยเพราะเมื่อฝ่ายชายมีความเป็นผู้ใหญ่และพร้อมที่จะเป็นผู้นำของครอบครัว
“เจอกันตอนไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา ตอนนั้นผมไปเรียนปริญญาโท ซึ่งตอนนั้นปุ๊กกี้เขาเรียนปริญญาตรีอยู่เมืองเดียวกันแต่อยู่คนละมหาวิทยาลัย ที่รู้จักกันเพราะไปทานข้าวกับกลุ่มเพื่อน พอดีปุ๊กกี้ก็รู้จักกับเพื่อนกลุ่มนี้เหมือนกัน ก็เลยได้เจอที่ร้านอาหาร ตอนแรกก็แอบชมนิดๆ ว่าน้องคนนี้น่ารักดี แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร หลังจากนั้นก็มีโอกาสเจออีกครั้งสองครั้ง พอดีว่ารุ่นพี่ผู้หญิงที่เป็นรุ่นพี่ของปุ๊กกี้ สนิทกับผมตอนอยู่อเมริกา ก็เลยเข้าทางเลย แอบคุยกับเพื่อนว่าขอเบอร์หน่อย อยากรู้จัก
เราเรียนคนละมหาวิทยาลัยก็ลำบากนิดหนึ่งเพราะเรียนคนละเวลา เขาเรียนปริญญาตรี เราเรียนปริญญาโท รายงานเยอะพอๆ กัน แล้วก็มีช่วงที่ปุ๊กกี้กำลังจะเตรียมสอบ GMAT เพื่อสอบเรียนต่อปริญญาโท ก็เข้าทางเลยอีก คราวนี้ผมเลยอาสาติวให้ จากนั้นก็เริ่มจีบน้องเขา ก็ค่อยๆ พัฒนาครับ แล้วก็คบกันเป็นแฟน เดตกัน”
คุณบอยเล่าให้เราฟังเป็นฉากๆ โดยที่คุณปุ๊กกี้ก็นั่งฟังอยู่อย่างเขินๆ พอเราถามถึงความรู้สึกทางฝ่ายหญิงที่เริ่มมีหนุ่มมาแจกขนมจีบเป็นอย่างไรบ้าง เธอก็ตอบแบบเบาๆ กลัวสามีเขินว่า
“เราก็รู้ตั้งแต่พี่เขาเริ่มจีบ เขาอาสาติวหนังสือให้เราก็โอเค พี่บอยเป็นคนน่ารัก เขาเรียนเก่ง มีคุณสมบัติพร้อมที่เราจะคบด้วย คบกันได้ 3 ปีก็แต่งงานกันค่ะ”
แต่ก่อนที่จะแต่งงานกันนั้นก็ยังมีด่านสำคัญคือครอบครัวและพี่ชายของคุณปุ๊กกี้ เพราะพี่เป๊ก-สัญชัย เองตระกูล นั้นเกิดอาการพี่ชายที่หวงน้องสาว คอยดูอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ แต่ก็เรียกได้ว่าอยู่ในเกณฑ์น่ารักตามประสาพี่ชาย
“ช่วงแรกๆ ที่มาบ้านปุ๊กกี้ก็จะเกร็งๆ บ้างเวลาพี่เป๊กอยู่ ตอนหลังๆ ก็ไม่มีอะไร ยิ่งตอนนี้สนิทกันมาก เข้าข้างผมมากกว่ากี้ (หัวเราะ) ตอนนั้นผมเรียนจบกลับมาอายุประมาณ 27 แล้ว คิดว่าผมพร้อมที่จะมีครอบครัว พอคุยกับทางคุณพ่อคุณแม่ว่าอยากจะแต่งงานท่านก็เชียร์ ถ้าลูกพร้อมไม่ต้องรอ แต่งงานเลยก็ได้เอนจอยชีวิตครอบครัวเร็วกว่าคนอื่น ผมก็เลยมาที่บ้านปุ๊กกี้ มาขอกี้ก่อน แล้วก็ให้ผู้ใหญ่เข้ามาคุยตามขนบธรรมเนียมประเพณี”
ส่วนทางฝ่ายหญิงเมื่อถูกขอแต่งงานนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจยากเลยเพราะคนที่เขาเลือกคบมาตั้งแต่แรกนั้นก็คือคนที่เธอตัดสินใจฝากชีวิตไว้
“ตอนที่คุยกันเรื่องแต่งงาน ส่วนตัวก็โอเค คุณพ่อคุณแม่ก็โอเค ไม่ได้ขัด ก็จะมีพี่เป๊กขัดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ตามประสาพี่ชาย”
จนวันนี้ทั้งสองมีโซ่ทอง 2 เส้นที่คล้องใจทั้งเขาและเธอ และยังเป็นขวัญใจของครอบครัวทั้งคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คือลูกชายทั้งน้องติณณ์ ตติยมณีกุล วัย 8 ขวบ และน้องเตช์ ตติยมณีกุล วัย 3 ขวบ ซึ่งการเลี้ยงลูกชายวัยทะโมนทั้งสองคนนั้นคุณแม่ร่างเล็กอย่างคุณปุ๊กกี้กลับบอกว่า “มันส์ดี!!”
“เลี้ยงลูกชายสองคนมันส์ดี! สนุกดีค่ะ ที่จริงก็อยากได้ลูกสาวอีกคน ไปปรึกษาหมออยากจะมีอีกคนเป็นผู้หญิงแต่ก็ยังไม่ได้ แต่ไม่มีลูกสาวก็ไม่เป็นไรเพราะมีหลานผู้หญิงหลายคน ทั้งลูกพี่เป๊ก ทั้งหลานทางบ้านพี่บอย เราเลี้ยงหลานสนิทกันหมด ไปเที่ยวด้วยกัน บางทีหลานก็มานอนกับเราก็เลยเหมือนมีลูกสาวด้วย”
ส่วนทางฝ่ายคุณพ่อบอยนั้น แม้จะไม่ได้คาดหวังอะไรกับลูกๆ มากนักแต่ก็เตรียมแผนเพื่ออนาคตที่ดีให้กับลูกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
“เลี้ยงเหมือนเพื่อน ทำกิจกรรมกับเขาดูว่าเขาอยากจะทำอะไร ดูความถนัด เขาพยายามเสริมกิจกรรมที่นอกจากการเรียนเพื่อดูว่าเขาถนัดตรงไหน เขาอาจจะมาสานต่อธุรกิจของเรา แต่ถ้าเขาไม่ชอบหรือไม่ถนัดเราก็ไม่บังคับ นิสัยอื่นๆ สองคนนี้เขาขี้อ้อนนะ เวลาวันหยุดสุดสัปดาห์มาบ้านคุณตาคุณยายก็เข้าไปหา ไปกอด บางครั้งก็ไปนอนกับคุณย่าด้วย”
และนี่คือเรื่องราวน่ารักของครอบครัวเจ้าแม่บิวตี้แห่ง บีบี คลินิก ที่เราอยากจะแบ่งปันทั้งประสบการณ์และเรื่องราวดีๆ ในชีวิตของบรรดาคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเซเลบริตี้อีก 1 คน :: Text by FLASH
แต่งหน้า : พิสิษฐ์ นันทิราภาภรณ์ Make-up Artist จากเครื่องสำอาง PUPA
ช่างภาพ : กมลภัทร พงศ์สุวรรณ