บนเส้นทางสายธุรกิจหลักทรัพย์ ที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด โดยมีเงินลงทุนของลูกค้าเป็นเดิมพัน “พรพจน์ แก่นเพ็ชร” จึงต้องฝึกฝนวิทยายุทธและตำราวิเคราะห์ทุกสำนักอย่างแตกฉาน จนได้รับตำแหน่ง ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ บี เอ็น พี พารีบาร์ ประเทศไทย และเมื่อมองลึกถึงชีวิตหลังเวลางาน หนุ่มคนนี้ยังเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหาร “อมลเธ เพลย์รูม แอนด์ บราซี” และ ออลซิกซ์ ทู ทเวลฟ์ คาเฟ่ แอนด์ โซเชียล บาร์ รวม 3 แห่ง ไม่นับการดูแลผักออร์แกนิก ที่ไร่ชลทิพย์ นับว่าไม่ธรรมดาทีเดียวสำหรับผู้ชายวัย 38 ปี
พอล-พรพจน์ แก่นเพ็ชร เป็นลูกชายของอดีตดาราดัง พอเจตน์ แก่นเพ็ชร กับ ชลกร แซ่อึ้ง หลังจบชั้นประถมต้นจาก โรงเรียนบางกอกพัฒนา อายุ 11 ขวบ แม่ก็ส่งไปเรียนต่อระดับมัธยมที่ประเทศออสเตรเลีย และกลับมาสอบเอนทรานซ์ที่เมืองไทย โดยวางแผนจะเข้าเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ แต่เมื่อสอบไม่ติดจึงเบนเข็มไปเรียนบริหารธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ จนจบปริญญาตรี ปิดท้ายด้วยปริญญาโท คณะจิตวิทยา ให้พ่อ-แม่อีก 1 ใบ
“ตอนรู้ว่าสอบสถาปัตย์ไม่ติด ผมเสียใจ หยุดตัวเองไปหนึ่งปี นั่งคิดว่าอยากทำอะไร พอดีตอนนั้นมีข่าวทาวเวอร์ เรคคอร์ด รับสมัครดีเจ ผมไปสมัครเลยขอเขาเป็นดีเจเปิดแผ่นเสียง เชื่อมั๊ยครับแผ่นเสียงหลายพันแผ่นอยู่ใกล้ผม มีเพลงทุกแนว ผมเลือกเพลงเปิดให้คนฟังแล้วมีความสุข ตอนนั้นเป็นช่วงที่มีความสุขมาก แต่ทำอยู่สักพักต้องเลิก เพราะแม่ก็เป็นห่วง อีกอย่างคือ ตรงนั้นทำให้ผมได้เห็นชีวิตคนทุกรูปแบบ พนักงานกินเงินเดือน ชีวิตเด็กวัยรุ่นในยุคนั้น ได้สัมผัสเหล้า-เบียร์ ก็เข้าใจแม่และรู้สึกว่าตรงนี้ไม่ใช่แล้ว กลับไปเรียนดีกว่า” หนุ่มพอลเล่าชีวิตช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนเข้าเอแบค
ในช่วงที่เคว้งคว้างทำให้เราอดถามไม่ได้ว่า ทำไมไม่คิดจะเป็นดาราตามรอยพ่อ หนุ่มพอลยิ้มสดใส ยอมรับว่าการเป็นดาราไม่สนุกเลย เป็นงานที่หนักและไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง “ผมเคยตามพ่อไปโรงถ่ายภาพยนตร์ ตอนนั้นไม่รู้ว่าพ่อดังหรือเปล่า รู้อย่างเดียวว่า ตามพ่อไปเพราะอยากอยู่ใกล้ชิดพ่อ อยากคุยอยากเล่น แต่พ่อต้องทำงาน แล้วกว่าจะถ่ายเสร็จแต่ละฉากก็ใช้เวลานาน บางทีไปแต่เช้า กว่าจะได้กลับบ้านก็ดึก ผมรู้สึกว่าไม่ใช่งานที่ชอบ”
เมื่อไม่รักงานด้านการแสดง หลังสลัดชุดนักศึกษาแล้ว เขาก็เริ่มต้นทำงานอีกครั้ง ด้วยการเป็นผู้จัดการด้านส่งออกต่างประเทศ ให้กับ บริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ นาน 3 ปี และมาสมัครเป็นผู้ตรวจสอบเครื่องจับเท็จ ที่ บริษัท โพลีกราฟ ไทยแลนด์ ทำอยู่สักพักจึงรู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ถนัด จึงย้ายสายงานมาลองทำด้านไฟแนนซ์ ที่ บี เอ็น พี พารีบาร์
“ผมเป็นคนที่ชอบความท้าทาย พอได้เป็นโบรกเกอร์ ผมรู้ว่านี่คืองานที่ใช่สำหรับผม ณ ตอนนี้ เพราะสถานการณ์ในตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราต้องตามข่าว ต้องมองโลกมุมกว้าง มองทุกเซ็กเตอร์ คือข้อมูลต้องแม่น งานตรงนี้สนุกและทำให้เรารู้อะไรอีกเยอะ ผมไม่รู้หรอกว่าวันนี้ตลาดจะเป็นอย่างไร แต่เราสามารถคาดการณ์ได้จากข้อมูลที่เรามีอยู่ แต่จะมีวิธีพูดคุยทำความเข้าใจกับลูกค้าอย่างไร”
ปัจจุบันแม้พอลจะมีความสุขกับการทำงาน ซึ่งดูแล้วว่าหนักมิใช่น้อย แต่หนุ่มพอลยังมีพลังเหลือเฟือ ที่จะมาทำธุรกิจร้านอาหารเก๋ๆ ถึง 3 ร้าน 3 สไตล์ คือ อมลเธ เพลย์รูม แอนด์ บราซี ที่ถนนสาทร และ ออลซิกซ์ ทู ทเวลฟ์ คาเฟ่ แอนด์ โซเชียล บาร์อีก 2 สาขาคือ หลังสวนและสุขุมวิท 39
พอลยอมรับว่า ช่วงแรกค่อนข้างหนัก เพราะทั้งเขาและภรรยา (เกด-เกดศิริ ไชยนพกุล) ไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน แต่เมื่อตั้งหลักได้ ก็ใช้หลักการบริหารตามสไตล์คนไทยที่ยืดหยุ่น ยึดหลักความเป็นพี่เป็นน้อง ทำให้ได้ใจลูกค้า ยืนหยัดมาได้นานกว่า 8-9 ปีแล้ว
“จริงๆ แล้วเราจะทำอาหารไม่เป็นเลย แต่เมื่อโอกาสมาถึง เราดูตัวเองด้วยว่า พร้อมที่จะทำไหม เมื่อเราพร้อมและมองเห็นแล้วว่า ทำได้ถึงทำ อย่าง Amontre เริ่มจากร้านเล็กๆ มีพนักงานแค่สิบกว่าคน ค่อยๆ ก้าวไปเรื่อย ค่อยๆ เรียนรู้ไม่ได้รีบวิ่ง เพราะถ้าพลาดแล้วมันเจ็บ ลูกน้องที่อยู่กับเราเขาฝากชีวิตไว้กับเราแล้วก็จะเจ็บด้วย ตรงนี้จะติดในใจเราไปตลอด”
กับชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง กลางวันเป็นโบรกเกอร์ กลางคืนเป็นเจ้าของธุรกิจ ดูแลร้านอาหาร แม้จะเป็นงานแตกต่างกันมากทางอารมณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ งานทั้งสองอย่างมีการเคลื่อนไหว เป็นงานที่ทำให้เขาได้มองโลกกว้างและไม่จำเจ
เมื่อถามถึงเป้าหมายในชีวิต เขาบอก หลังผิดพลาดเรื่องการเข้าเรียนคณะสถาปัตย์แล้ว ก็ ไม่เคยตั้งเป้าหมายอะไรเลย ทุกวันนี้ยึดคติทำแต่ละวันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ภาพโดย พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร