xs
xsm
sm
md
lg

ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ทายาทเศรษฐีทิ้งชีวิตหรูมาอยู่ข้างถนน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>ถ้าใครที่ได้ติดตามข่าวสารการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. อย่างใกล้ชิดน่าจะคุ้นเคยกับ “นัท” หรือ “ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย” เด็กหนุ่มที่ถือไมโครโฟนพูดปลุกใจมวลมหาประชาชนอยู่บนเวทีน้อยใหญ่ รวมถึงในช่องบลูสกาย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเขาคือทายาทของเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับหมื่นล้านอย่าง โนเบิล ดีเวลลอปเมนต์ แต่อะไรที่ทำให้เขาทิ้งชีวิตหรูมาอยู่ข้างถนนได้

Celeb Online ได้มีโอกาสแทรกคิวอันแน่นเอี๊ยดของหนุ่มนัทมาพูดคุยถึงที่มาที่ไป ซึ่งระหว่างที่เราไปสัมภาษณ์ก็มีสื่อจากต่างประเทศมาติดตามถ่ายทำชีวิตของเขาด้วยเหมือนกัน

นัทเกริ่นว่าเขาเริ่มต่อต้านระบอบทักษิณมาตั้งแต่ครั้งแรก แต่ไม่เคยได้เข้ามาร่วมการชุมนุม จนกระทั่งวันที่ 31 ตุลาคม 2556 เป็นวันแรกที่มีการเป่านกหวีดรวมพลชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ซึ่งนำทีมโดยคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ จนเขาทำงานร่วมกับม็อบจนยกระดับมาเป็น กปปส. มาจนถึงทุกวันนี้

“จริงๆ ผมสนใจเรื่องการเมืองอยู่แล้วครับ ผมรับฟังข่าวสาร วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลชุดนี้และระบอบทักษิณมาตลอด แต่ก็ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุม จนปีที่ผ่านมามีประเด็นเรื่องกฏหมายนิรโทษกรรม ผมมองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มากกว่าทุกเรื่องที่เคยมีมา ซึ่งพอเดาออกแล้วว่ารัฐบาลและกลุ่มของทักษิณไม่หยุดเพียงแค่เรื่องนิรโทษกรรมแน่นอน จึงต้องออกมาร่วมกันหยุดระบอบทักษิณทั้งระบอบ

วันนั้นเราไปในฐานะผู้ร่วมชุมนุม แต่พอไปถึงก็เจอเพื่อนๆ รุ่นพี่ที่รู้จักกัน แล้วชวนผมมาเข้าร่วมในกลุ่มแกนนำผู้ชุมนุม ซึ่งตอนนั้นใครเข้ามาก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ออกแรงแจกน้ำแจกข้าว ด้วยความที่เป็นวันแรก ใครอยู่ตรงนั้นก็จะมีอะไรให้ช่วยทำ ผมก็เริ่มโทรศัพท์หาเพื่อนและคนรู้จักให้ร่วมกันบริจาคน้ำและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อยู่นั่นจนข้ามวันข้ามคืน ด้วยความที่ผมไม่เคยได้สัมผัสกับกิจกรรมทางการเมืองมาก่อน จึงรู้สึกว่ามันน่าสนใจ และวันนั้นเองที่ทำให้ผมได้พอเข้าใจวิธีการทำงาน”

หลังจากนัทคลุกคลีและช่วยงานอยู่ที่ชุมนุม วันหนึ่งเขาได้มีโอกาสไปเดินช่วยแจกใบปลิวตามย่านธุรกิจอย่างอโศกและสีลม เพื่อให้มวลชนออกมาร่วมแสดงออกด้วยการเป่านกหวีดต่อต้าน พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ และเป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มวัย 22 ได้มีโอกาสพูดเชิญชวนให้คนออกมาแสดงพลัง

“ตอนนั้นอารมณ์ร่วมสนุกมาก พอดีพี่ต้น บลูสกาย ให้ผมแสดงความสามารถในกล่าวเชิญชวนสไตล์ที่เป็นผมมากที่สุด ผมก็เลยเลือกวิธีตระตะโกนเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องแทนการใช้ไมค์ แล้วให้น้องๆ ตะโกนตามผม ด้วยภาษาวัยรุ่นเข้าใจง่าย ใครได้ยินก็ขำกันใหญ่ หลังจากนั้นที่เวทีอโศกผมเริ่มใช้ไมค์ในการพูดกับผู้ร่วมชุมนุมแล้ว

คราวนี้สนุกมากขึ้น ซึ่งผมมองว่าการที่ผมเลือกออกมาแสดงพลังทางการเมืองเป็นงานถนัดสำหรับเหมือนกัน สามารถสื่อสารและแสดงออกด้วยการพูดคุยกับมวลชนได้ อย่างน้อยก็เป็นมุมมองของคนรุ่นใหม่”

จากจุดเริ่มต้นที่นั่งตะโกนอยู่ริมฟุตบาท มาสู่การใช้ไมโครโฟนกับรถคันเล็กๆ จนมาถึงได้เครื่องเสียงกับรถคันใหญ่ จนกระทั่งได้ขึ้นไปพูดแสดงทัศนคติทางการเมืองบนเวทีชุมนุมใหญ่ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นัทบอกว่า ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะมาถึงตรงจุดนี้ และรู้สึกดีใจมากที่มีผู้ใหญ่ไว้วางใจให้รับหน้าที่สำคัญในหลายๆ ครั้ง โดยเฉพาะคุณวิทยา แก้วภราดัย

การที่ผมได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สำคัญ อาจเพราะผมความเข้าใจข้อมูลข่าวสาร เข้าใจระบอบทักษิณ ซึ่งเรื่องนี้มักจะเป็นประเด็นที่ผมจะพูดคุยกับคุณปู่ (ดร.อำนวย วีรวรรณ) และคุณพ่อ (กิตติ ธนากิจอำนวย) อยู่เสมอ บวกกับผมได้มีโอกาสไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ จึงพอจะมองทางออกและสามารถอ้างอิงเหตุการณ์ในเมืองนอกกับเมืองไทยที่เคยเกิดขึ้นได้ จนพอจะเดาทางออกได้แล้วว่าต่อไปจะเกิดอะไร ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างตอนนี้ ต่อไปประเทศเราจะเละเทะแน่นอน

มีคนมาถามผมเยอะมากนะครับว่าเข้ามามีส่วนร่วมกับ กปปส. ได้อย่างไร ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ยากอย่างที่คิด ไม่จำเป็นต้องเคยมีประสบการณ์ในกิจกรรมทางการเมืองมาก่อน หรือไม่จำเป็นต้องรู้จักใคร แต่มีอย่างเดียวคือใจ เพราะความตั้งใจจริงจะนำมาซึ่งพลัง ไม่ว่าจะเริ่มต้นทำอะไร ก็จะประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับการออกมาต่อสู้เพื่อชาติเพื่อบ้านเมืองครั้งนี้”

จากเด็กหนุ่มลูกคุณหนูแทบไม่เคยลำบาก แต่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้ชุมนุมมหาศาลข้างถนน จึงอดคิดไม่ได้ว่าครอบครัวเขารู้สึกอย่างไร จนได้คำตอบว่า “ตอนแรกคุณพ่อคุณแม่ก็ห่วงเป็นธรรมดา แต่ท่านพอจะรู้ว่าถ้าผมตั้งใจทำอะไรและมีจุดหมายที่ชัดเจน เมื่อทำอะไรแล้วก็จะมุ่งมั่นทำให้สำเร็จ เรียกว่าถ้ามีแก๊ซน้ำตามาตกอยู่ตรงหน้า ผมก็จะไม่วิ่งหนีอย่างแน่นอน แต่จะหาทางทำลายและช่วยเหลือผู้อื่นให้ปลอดภัยด้วย ซึ่งการที่เราเสียสละชีวิตที่สุขสบาย จริงๆ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เพราะผมจะกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ได้ วันไหนผมอยากจะนอนสบายๆ ผมก็กลับบ้านไปนอน แต่คนที่มาจากต่างจังหวัด คนที่ต้องทิ้งบ้านทิ้งเมืองมา เขาเหล่านั้นลำบากและเสียสละมากกว่าเรา

สำหรับชีวิตส่วนตัว ตอนนี้นัทเข้ามาช่วยด้านการขายของธุรกิจในเครือบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) โดยก่อนหน้าการชุมนุมครั้งนี้ นัทเป็นเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์จนน่าอิจฉา และกำลังค้นหาตัวตนอยู่

“ผมเป็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีโอกาสได้ลองทำทุกอย่างที่อยากจะทำ ดีบ้างไม่ดีบ้าง ผมพยายามค้นหาอะไรที่ทำแล้วมีความสุข ทั้งใช้ชีวิตแบบสนุกสนาน หรูหรา หรือแอดเวนเจอร์ อย่างเมื่อก่อนเคยชอบขับรถมาก ก็จะไม่ได้คิดเพียงแค่เงินที่จะนำมาซื้อรถเท่านั้น แต่จะเรียนรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับรถ และซ่อมรถเป็น จนบางครั้งคิดไปไกลถึงขนาดจะทำอย่างไรให้รถวิ่งเร็วที่สุด จึงไปลงสนามแข่งรถในรายการ Super Car Thailand จนไปเปิดร้านซ่อมรถของตัวเองเลยทีเดียว

ซ่อมรถไปสักพักหนึ่งก็เริ่มอยากจะใช้ชีวิตแบบภาพยนตร์เรื่อง The Great Gasby คือ ใช้ชีวิตแบบหรูหราไฮโซ ผมก็ไปหากีฬาอะไรที่คนเขาไม่ค่อยเล่นกัน อย่างกีฬาโปโลม้า ฝึกจนได้ไปแข่ง และได้รางวัล Rising Star นักกีฬาหน้าใหม่แห่งปีของชมรมขี่ม้าแห่งประเทศไทย ปี 2013 เรียกว่า ผมเป็นคนชัดเจนมาก ถ้าจะทำอะไรแล้วต้องทำให้สุดๆ ไปเลย

จนมีคนเข้ามาติดตามเรื่องราวชีวิตผมผ่าน Instagram อยากรู้ว่าผมเป็นใคร มีดีอะไร ใช้เงินไปทำอะไร จีบดาราคนดังคนไหนจนเป็นข่าวบ้าง จนบางครั้งเห็นผมอยู่บ้าน นั่งเล่นดนตรี เล่นกีตาร์ ไปกินข้าวในร้านหรูๆ เที่ยวที่แพงๆ ซึ่งไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสังคมไทยเรานี่แปลกดีนะ ชอบอะไรที่ไม่มีสาระ

แต่วันหนึ่งพอเรามีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเพื่อชาติครั้งนี้ ก็คิดว่านี่แหละเป็นสิ่งที่ผมทำแล้วเป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิต ซึ่งเหมือนกับวัยรุ่นทุกคนที่อยากทำอะไรให้ตัวเองเป็นฮีโร่ หรือพระเอกเหมือนในภาพยนตร์เรื่องดัง เช่นเดียวกับสิ่งที่ผมกำลังอยู่ขณะนี้ ที่หวังว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับสังคมส่วนรวมไม่มากก็น้อย”

สำหรับในอนาคตนอกจากธุรกิจยักษ์ใหญ่ของครอบครัวที่เขาต้องสืบทอดแล้ว สิ่งหนึ่งเขารู้สึกภูมิใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็น งานในมูลนิธิเกื้อหนุนไทย ที่ผู้ใหญ่ของครอบครัวมอบให้

“เมื่อช่วงวันเกิดผมที่เพิ่งผ่านมาได้ไม่นานนี้ คุณพ่อได้มอบมูลนิธินี้ให้กับผม โดยคุณตาเป็นผู้ริเริ่ม แล้วโอนมาให้คุณพ่อผมทำต่อก่อนจะมาถึงผม ซึ่งพอคุณตาเลิกเล่นการเมือง ก็ไม่มีใครสานต่อ ผมรู้ว่า One man to make a differenceมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ ถ้าถามว่าการเมืองเป็นหนทางเดียวที่ผมจะทำได้หรือไม่ มันก็คงไม่ใช่ เพราะผมคิดว่ามูลนิธินี่แหละคือหัวใจหลักของผม

ซึ่งการที่ผมได้มาเข้าร่วมทำงานกับ กปปส. ก็เป็นสิ่งดีอีกเช่นกัน เพราะทำให้ผมมีโอกาสได้ไปพบปะพูดคุยกับผู้คนในหลายจังหวัด เจอคนในพื้นที่ชนบท คนที่หาเช้ากินค่ำ มันมีหลายเรื่องที่เราได้เข้าถึงปัญหาที่แท้จริงที่ทุกคนพูดถึง นั่นคือ เรื่องของคุณภาพการศึกษา เพราะเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาประเทศและสังคมที่ยืนยาว ดังนั้น ผมจึงคิดว่ามูลนิธินี่แหละจะมีส่วนช่วยสร้างสรรค์สังคมให้มีคุณภาพได้”

เป็นชายหนุ่มสุดโต่งและทำอะไรจริงจังขนาดนี้ เราจึงต้องขอถามว่า ในอนาคตเขาอยากเข้ามาทำงานการเมืองแบบเต็มตัวบ้างหรือไม่

“มีหลายคนมาถามผมว่าอยากเป็น ส.ส. หรือเปล่า ถึงออกมาทำกิจกรรมทางการเมืองมากขนาดนี้ ซึ่งคำตอบนี้ผมก็ยังไม่แน่นใจว่า การลงเล่นการเมืองจะใช่ตัวผมหรือไม่ แต่สิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้ ผมว่ามันใช่สำหรับผมนะครับ เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในภาพยนตร์ไม่มีผิด เป็นการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองจริงๆ แต่ถ้าอายุสัก 25 ก็ไม่แน่เหมือนกันนะครับ” (พลางหัวเราะ)
ชีวิตของหนุ่มนัทในม็อบ
นัทเล่าทิ้งท้ายให้เราฟังว่า สิ่งที่หล่อหลอมให้เขาสนใจเรื่องการเมือง และกล้าที่จะออกมาต่อสู้เพื่อชาติ ก็คือครอบครัวของเขานั่นเอง

“ผมอยู่ในครอบครัวที่ปลูกฝังเรื่องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เรื่องของความถูกต้องมาโดย

ตลอด จนบางครั้งรู้สึกแปลกใจว่าทำไมในยุคสมัยนี้จึงกลายเป็นเรื่องยาก ทำไมคนที่รักชาติ รักสถาบันพระมหากษัตริย์จึงกลายเป็นคนที่ถูกยกย่อง ทั้งๆ ที่ทุกคนในชาติควรจะรักชาติ รักพระมหากษัตริย์อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาบอกหรือกระตุ้น

พอมาถึงวันนี้ผมจึงรู้สึกภูมิใจและดีใจที่ได้เกิดมาในแผ่นดินไทยและครอบครัวนี้ ถ้าผมไม่ได้เกิดในครอบครัวนี้ ผมคงไม่มีทางทำได้อย่างเช่นทุกวันนี้ และต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องน่าอายเหมือนกันที่ผมใช้เวลานานกว่าจะตระหนักได้ว่า จริงๆ แล้วชีวิตผมควรทำอะไร ผมภูมิใจที่ครอบครัวทำให้ผมมีศักยภาพพอที่จะเข้ามาช่วยในวันที่ชาติต้องการ และผมก็ไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทนเลยจริงๆ” :: Text by FLASH
ชีวิตของหนุ่มนัทในม็อบ
ชีวิตของหนุ่มนัทในม็อบ
ชีวิตของหนุ่มนัทในม็อบ
กำลังโหลดความคิดเห็น