xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนอดีตสู่ยุคคุณชาย ไปกับครอบครัวนักลีลาศแห่งราชสกุล “ชุมพล”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>เห็นใครๆ เขาก็ฮิตไปจิบน้ำชายามบ่ายกับเหล่าคุณชายในละครกัน วันนี้ Celeb Online ของเราก็ได้รับเกียรติให้จิบน้ำชายามบ่ายกับคุณชายตัวจริงอย่าง “หม่อมราชวงศ์ศักดิสาณ ชุมพล” บิดาของ “หม่อมหลวงวราภา ชุมพล” หรือ “น้องเต็ม” อดีตนักเต้นลีลาศคนเก่งทีมชาติไทยที่หลายคนรู้จัก

โดยครอบครัวราชสกุลชุมพล ทั้ง “หม่อมราชวงศ์ศักดิสาน-วราภรณ์-หม่อมหลวงสิทธิสาน-หม่อมหลวงวราภา ชุมพล” เปิดบ้านหลังงาม ให้เราได้ถ่ายรูปและพูดคุยกันถึงเรื่องราวความรักความผูกพัน ความเป็นครอบครัวลีลาศตัวจริง และเรื่องราวของคุณชายในสมัยก่อนกันอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง

ราชสกุลชุมพล

“ต้นราชสกุล “ชุมพล” คือ เสด็จปู่ของผม กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ โอรสรัชกาลที่ 4 พระนามเดิมพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าชุมพลสมโภช ซึ่งพระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ปกครองภาคอีสานในสมัยรัชกาลที่ 5 มีผลงานที่เด่นชัดในใจผม คือ การปราบกบฏผีบาบผีบุญ อันเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนโดยใช้การข่มขู่ประชาชนให้หวาดกลัว แล้วเข้ายึดครองพื้นที่ของราชอาณาจักรไทย เสด็จปู่ก็นำกำลังเข้าปราบปรามจนสิ้นซากด้วยพระปรีชาสามารถด้านศึกสงคราม และการค้นพบปราสาทเขาพระวิหารและในฐานะผู้แทนพระองค์ได้จารึกไว้ที่ชง่อนผาว่า “118 สรรพสิทธิ” ไว้เป็นหลักฐาน...

ผมมีความภูมิใจในเสด็จปู่เป็นอย่างมากที่พระองค์ท่านได้เสียสละทำหน้าที่ของข้าราชการเต็มที่อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย โดยเสด็จปู่เคยถวายรายงานว่า “ประเทศไทยนั้นจะรุ่งเรืองก็ด้วยภาคอีสาน จะล่มจมก็ด้วยภาคอีสาน” ผมจึงว่าเสด็จปู่มีพระเนตรที่ยาวไกลด้านการปกครอง”

ม.ร.ว.ศักดิสาณ ชุมพล เล่าย้อนอดีตถึงชีวิตในวัยเด็กให้ฟังว่า “ผมเกิดในวังศุโขทัย ซึ่งเป็นวังส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ด้วยท่านแม่ของผม คือ หม่อมเจ้าหญิงสีดาดำรวง (สวัสดิวัตน์) ชุมพล เป็นน้องสาวของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระราชินีในรัชกาลที่ 7 และท่านพ่อของผมคือ หม่อมเจ้ากมสีสาณ ชุมพล เป็นที่รักและเอ็นดูของพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

ผมเป็นหลานของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี จึงเติบโตในวัง ได้เข้าเฝ้าร่วมโต๊ะเสวยกับสมเด็จเจ้าฟ้า ทั้งมื้อน้ำชาตอนบ่ายใต้ซุ้มองุ่นและมื้อค่ำในห้องเสวย สมัยเด็กๆ ก็วิ่งเล่นอยู่ในนั้นอย่างสนุกสนานกับญาติๆ คุณหญิง คุณชาย มากมาย เช่น ม.ร.ว.ปรียางค์ศรี (สวัสดิวัตน์) วัฒนคุณ ม.ร.ว.เดือนเด่น (สวัสดิวัตน์) กิติยากร ส่วน ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ก็เป็นพี่ที่เราให้ความเคารพนับถือมาก

เรื่องสนุกของชาววังยังมีอีกมากมาย อย่างท่านพ่อของผมซึ่งรักการเล่นแซกโซโฟน ได้ไปทรงดนตรีร่วมกับพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อยู่เสมอ ในสมัยที่พระองค์ท่านขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ นับเป็นเกียรติมากมายแก่ท่านพ่อของผม ส่วนท่านแม่สมัยที่พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ ยุคล เริ่มทำหนังสั้นใหม่ๆ ก็ให้ท่านแม่ซึ่งกำลังแรกรุ่นเป็นนางเอก ท่านแม่ก็เล่นแบบซนๆ ผมเคยชมเมื่อตอนโตแล้ว”

หลังจากอาศัยอยู่ในวังศุโขทัยจนกระทั่งอายุ 14 ปี คุณชายจึงเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ “ผมเรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล หลังจากนั้นสมเด็จป้าก็ทรงส่งผมไปเรียนในโรงเรียนประจำแบบอังกฤษ-อเมริกัน ที่สวิตเซอร์แลนด์ จึงมีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จย่า (สมเด็จพระศรีนครินทรา) และพระพี่นางฯ ณ พระตำหนักในเมืองโลซาน อยู่บ่อยๆ

โดย “สมเด็จย่า” ทรงอบรมให้ขยัน เรียนให้จบปริญญา แล้วกลับไปทำงานรับใช้บ้านเมือง “อย่าปล่อยให้ลูกฉัน (ในหลวง) ทำงานคนเดียว” คำของท่านทำให้ผมพยายามฝ่าฟันอุปสรรคจนได้ปริญญาตรี วิศวโยธาจาก University of Sheffield ประเทศอังกฤษ และปริญญาโท Structures จาก University of California at Berkeley ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจะทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์อยู่ต่างประเทศแล้วจึงกลับมาทำงานเป็นวิศวะที่ประเทศไทย”

วิศวกรผู้รักความมั่นคง

ม.ร.ว.ศักดิสาณ เป็นวิศวกรที่เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างหลังคา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานหรือหอประชุม หรืออาคารต่างๆ ที่ต้องการความโอ่โถงกว้างขวาง ไม่มีเสามาเกะกะ รกสายตา

“ผมทำงานเป็นวิศวกรหลายแห่งที่อังกฤษ และเมืองไทย รวมถึงบริษัท สินธุ พูลศิริวงศ์ และสหาย งานที่ภูมิใจที่สุด คือ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีโครงหลังคากว้าง 64 เมตร ยาวถึง 64 เมตร โดยไม่มีเสาในหอประชมเลยแม้แต่ต้นเดียว งานนี้ผมรับทำเองโดยไม่ได้ผ่านบริษัทวิศวะใด

อาคารนี้รัฐบาลได้ใช้เป็นที่จัดงานประชุม World Economic Forum เมื่อประมาณปี 2538 จึงคิดว่าได้ทำงานวิศวกรช่วยชาติทางหนึ่ง ส่วนตอนนี้ไม่ได้ทำงานบริษัทแล้ว แต่รับเป็น Freelance Expert โครงหลังคาสำหรับอาคารหอประชุมและหอแสดงสินค้าขนาดใหญ่ โดยไม่มีเสาเกะกะภายในหอ และรับอบรมวิชาโครงหลังคาช่วงยาวแก่วิศวกรจากบริษัทต่างๆ”

เรียกได้ว่าชีวิตของ ม.ร.ว.ศักดิสาณ คลุกคลีอยู่กับวงการวิศวกรมาโดยตลอด “ผมชอบเรื่องวิศวะ เป็นคนชอบความมั่นคง เห็นอะไรพังไม่ได้ ต้องเข้าไปดู ไปสอบถาม ตั้งแต่ 6 ขวบแล้ว เห็นเพิ่งกระต๊อบพัง เราก็สนใจ ตอนเด็กๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่า มันคือวิชาอะไร ศาสตร์ไหน รู้แค่ว่าเราสนใจว่าทำไมมันถึงพัง”

“คุณพ่อเขาให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงมากเลยค่ะ ขนาดบ้านหลังนี้ เวลาสร้างท่านก็สร้างเผื่อแผ่นดินไหวนะคะ รับรองว่าถ้าเกิดแผ่นดินไหวขนาดไม่เกินสัก 5-6 ริกเตอร์นี้ ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ” น้องเต็มแอบแซงคุณพ่อขึ้นมาเบาๆ

“ที่จริงผมไม่ได้คิดว่าจะเกิดแผ่นดินไหวนะ แต่เรายึดหลักธรรมะ ไม่มีอะไรแน่นอน แผ่นดินไหวที่อื่นได้ ทำไมมันจะไหวที่นี่ไม่ได้ ดังนั้น จึงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไหนๆ ก็สร้างแล้วก็เผื่อไว้เลยดีกว่า เราสร้างอะไรออกมาก็อยากให้มีดีที่สุด มั่นคงที่สุด อย่างเวลาทำงานก็ทำเผื่อไว้ให้ลูกค้า เพราะคนชอบคิดว่าคิดไปเอง คิดล่วงหน้าว่ามันไม่เกิดหรอก ใช้ชีวิตบนความประมาท พอเกิดปัญหาขึ้นก็หงายท้องพอดี แต่ถ้าเราทำเผื่ออนาคตไว้เลย เราจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวภายหลัง

การสร้างแบบนี้มันไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มสักเท่าไรนะ แพงขึ้นไม่ถึง 1% แต่มีลูกค้าหลายคนก็กลัว บอกถ้าทำแล้วจะแพงอีก 10-20 เปอร์เซ็นต์ คือเป็นความเข้าใจผิดที่ฟังตามๆ กันมาก การลงทุนมันไม่ได้เยอะมาก แค่ต้องอาศัยการคำนวณที่เยอะขึ้นหน่อย ละเอียดขึ้นหน่อยเท่านั้นเอง”
“เรื่องคู่ครองเราก็จะสอนเขาว่าให้เลือกดีๆ พิจารณาดีๆ หาคนที่ดี เหมาะสมกับเรา ส่งเสริมเรา ไม่พาเราไปในทางที่ตกต่ำ อย่าเน้นที่หน้าตาหล่อ สวย เน้นที่คนดีแล้วชีวิตคู่จะมีความสุข อยากให้เขาดูนานๆ ดูให้มั่นใจ อย่างตัวพ่อนี่ก็แต่งตอนอายุ 42 ปี ส่วนคุณแม่ 32 ปี เราจีบเขาถึง 6 ปีกว่าจะยอมลงเอย แต่มันก็เป็นการรอที่คุ้มค่า แม้ว่าใครจะครหาที่อายุมากแล้วยังไม่แต่งงานว่าจะเป็นตุ๊ด เป็นแต๋ว แต่พ่อไม่ยอมให้สังคมมาบีบคั้นชีวิตเรา ถ้าเราไปยึดติดคำพูดอื่นแล้วทำให้เรารีบคว้ามา ถ้าได้ของไม่ดีมันก็ไม่ไหวนะ ชีวิตเราที่อุตส่าห์ตั้งใจร่ำเรียน ทำงานมาอย่างดี จะมาพังเพราะชีวิตคู่ เพราะการเลือกที่ไม่ดี มันก็ไม่ไหวนะ ดังนั้นเลือกด้วยตัวเอง เจอของดี รอหน่อยก็ต้องรอ เพราะมันคืออนาคตเราทั้งชีวิต”
ครอบครัวแสนอบอุ่น

คุยกับคุณพ่อเรื่องงานพักใหญ่แล้ว เลยหันมาคุยเรื่องในบ้านกับคุณแม่บ้าง โดยเปิดโอกาสให้คุณแม่เผาน้องๆ ทั้ง 2 คนถึงวีรกรรมสมัยเด็ก ว่าพี่ชายน้องสาวบ้านนี้แสนซนหรือเรียบร้อยแค่ไหน

“เขาเป็นเด็กดีค่ะ ไม่เคยทำปัญหาอะไรให้แม่ลำบากใจ ทั้งคู่อายุใกล้กัน ห่างกันแค่ปีกว่า จึงเหมือนเป็นเพื่อนกันมากกว่า โตมาพร้อมๆ กัน ทำกิจกรรมร่วมกันมาตลอด ไม่ค่อยทะเลาะกันนะ รักและสนิทสนมกันดี จะมีก็แต่รวมหัวกันแหย่แม่ แซวแม่ซะมากกว่า (หัวเราะ)” คุณแม่วราภรณ์เล่าให้ฟัง

“คุณแม่ถือว่าเป็นคนโชคดีนะ ได้ทุกอย่างดั่งใจ วางแผนไว้ว่าจะมีลูก 2 คน โดยคนแรกอยากได้ลูกชาย จะได้เป็นลูกชายคนโต ก็ได้เต้ยมา พอถัดมาก็อยากมีผู้หญิงบ้างจะได้ครบ ก็เป็นเต็ม และลูกๆ ทั้งคู่ก็ไม่ดื้อ คุณแม่เลี้ยงดูใกล้ชิดตั้งแต่เด็ก ก็จะสอนเขาให้รู้อะไรควรทำไม่ควรทำ ซึ่งบ้านนี้ไม่มีการตีนะ ทำอะไรไม่ถูกต้อง เราชี้แจงด้วยเหตุผล แล้วให้เวลาเขาได้คิด เขาก็เติบโตมาอย่างดี เป็นแก้วตาดวงใจที่มีค่าของแม่”

“ตาแดงๆ อย่าร้องไห้นะแม่” สาวน้อยของบ้านแอบแซวคุณแม่ขึ้นมา

“คุณแม่ท่านซึ้งง่าย อย่างปีนี้ตอนให้การ์ดวันเกิดแค่เปิดมายังไม่ทันได้อ่านก็น้ำตาไหลแล้ว” พี่ชายเสริมขึ้นมาเป็นลูกคู่ คอนเฟิร์มคำที่คุณแม่เล่าว่าพี่น้องคู่นี้ชอบแท็กทีมกันแหย่แม่

คุณแม่รีบชี้แจ้งว่า “คือลูกๆ บ้านนี้เขาจะน่ารัก กตัญญู รักพ่อแม่มาก อย่างวันเกิดก็จะเลือกของขวัญมาให้ หรือพาไปทานข้าว มันอาจจะดูไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่มันแสดงถึงความมีน้ำใจ แสดงถึงความรักของเขา และก็จะเขียนการ์ดให้ตลอด ไม่ใช่แค่สุขสันต์วันเกิด ขอให้มีความสุขอะไรแบบนั้นนะคะ แต่จะเขียนบรรยายความรู้สึกต่างๆ แสดงความขอบคุณพ่อแม่ที่ทำให้เขามีวันนี้ ซึ่งมันจะรู้สึกได้ถึงความตั้งใจที่เขาทำให้เรา ถ้าเป็นตอนเด็กๆ นี่จะวาดรูปมาพร้อมพับการ์ดแบบสร้างสรรค์แปลกๆ มาให้ด้วย ทุกครั้งที่อ่านแล้วก็จะซึ้งน้ำตาไหล

ยิ่งของปีนี้ เต้ยเลือกการ์ดที่เป็นภาพการ์ตูนเด็กผู้ชายหัวชี้ๆ เหมือนๆ กับภาพของเขาสมัยเด็กๆ เห็นก็นึกถึงเขาตอนเกิดใหม่ๆ ที่หัวตั้งๆ หน่อย ก็เลยยิ่งซึ้ง ซึ่งการ์ดทุกใบแม่เก็บไว้หมดนะคะ แบ่งเป็นแฟ้มของแต่ละคน ซึ่งจะมีหมดตั้งแต่ใบเกิด ใบบันทึกการเจริญเติบโต สมุดพก ผลงานศิลปะ เก็บไว้ให้เขา โตไปจะได้เก็บไว้ดู”

คุณแม่กล่าวพร้อมหยิบแฟ้มหน้าที่เก็บประวัติทั้งชีวิตของทั้งคู่มาให้ดู พร้อมโชว์ผลงานศิลปะสมัยประถมของแต่ละคน เล่นเอาลูกๆ เขินเป็นการใหญ่ นับเป็นการแก้แค้นของคุณแม่ที่ถูกแซวได้อย่างสง่างาม

“ไม่เคยรู้ว่าแม่เก็บขนาดนี้ เอามาโชว์แบบนี้ เต้ยเขินนะเนี่ย” ลูกชายคนโตประท้วงพร้อมเปิดดูประวัตชีวิตในช่วงวัยเด็กของตนเองที่หลายเหตุการณ์เจ้าตัวเองก็หลงลืมไปแล้ว
2 พี่น้องกับมุมโถงกว้างกลางบ้านที่เปิดต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยผนังที่ประดับประดาด้วยตุ๊กตากระเบื้องแสนสวยงามอ่อนช้อย ซึ่งเป็นของที่คุณวราภรณ์เก็บสะสมทั้งซื้อหามาบ้าง และบางชิ้นเพื่อนๆ ให้มาเป็นของขวัญในวาระต่างๆ
2 คน 2 สไตล์ต่างสายงาน

คุณพ่อทำงานทางสายวิศวะ ส่วนคุณแม่ซึ่งเรียนจบจากคณะอักษรศาสตร์ และมีกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์ธุรกิจตกทอดจากครอบครัว แต่ทั้งคู่ก็เปิดกว้างให้ลูกๆ ทั้ง 2 ได้เลือกใช้ชีวิตตามที่ตนเองต้องการ ไม่เคยกดดันให้ดำเนินรอยตามความสำเร็จแต่อย่างใด

“เขาอยากเรียนอะไร อยากทำอะไร เราสนับสนุนเต็มที่ แต่อย่างเต้ยเขาได้หัวด้านคำนวณมาจากคุณพ่อ เขาชอบพวกตัวเลข ก็เลือกเรียนด้านเศรษฐศาสตร์ ส่วนเต็มก็ออกมาทางศิลป์เหมือนแม่ เขาเรียนนิเทศศาสตร์ เป็นศิษย์จุฬาฯ ทั้งคู่” คุณแม่เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ

เต็มเสริมว่า “ที่บ้านให้เราเลือกทำ เลือกเรียนในสิ่งที่รัก มันทำให้เรามีความสุขนะคะ ไม่ต้องฝืนใจ แบบตื่นเช้ามาต้องทำงานอีกแล้ว แต่นี่เราอยากตื่นเร็วๆ จะได้ไปทำสิ่งที่ชอบ”

หม่อมหลวงสิทธิสาน หลังจากเรียนจบด้านเศรษฐศาสตร์ (ภาคภาษาอังกฤษ) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ทำงานกับบริษัทที่ปรึกษาการเงินชื่อ The Quant Group ทำในฐานะ Investment Analysis ก่อนจะได้รับทุนจาก University of Reading ไปศึกษาต่อปริญญาโทด้าน Finance & Investment และได้ฝึกงานที่กรุงลอนดอนในบริษัท Property Portfolio Research ที่ศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ แล้วจึงกลับมาทำงานที่เมืองไทย

“ผมได้ร่วมงานกับบริษัท Red Planet ที่เขาดูแลเรื่องโรงแรม Tune Hotel ในเครือของแอร์เอเชีย โดยเราเป็นทีมที่เริ่มต้นโครงการตั้งแต่ยังเป็นแค่คอนเซ็ปต์ ช่วยทำแผนธุรกิจ ช่วยหาแหล่งเงินทุน ไปจนถึงการจัดสรรเงินต่างๆ ซึ่งเป็นโปรเจกต์ใหญ่ที่ดูแลโรงแรมถึง 20 กว่าแห่งในภูมิภาค ทั้งที่ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ทำอยู่ 2 ปีกว่า แล้วก็ย้ายมาทำที่ SCB Asset management (SCBAM) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ ดูแลกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์

ผมทำในตำแหน่ง Assistant Vice President เป็นทีมงานเล็กๆ ที่ดูแลโครงการมูลค่านับพันล้านบาท อย่างผลงานที่มาคือ การทำ Deal เข้าไปซื้อตึกออฟฟิศของเซ็นทรัลเวิลด์ เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ เราต้องดูตั้งแต่สัญญา ต้องไปคุยรายละเอียดกับ ก.ล.ต. ดูภาพรวมทั้งโครงการ งานหนักมาก กลับบ้านดึกดื่นทุกวัน ก็ทำอยู่ปีกว่า จนรู้สึกว่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเพียงพอแล้ว ตอนนี้ก็ออกมาเตรียมทำธุรกิจของตัวเอง”

โดยธุรกิจที่หนุ่มเต้ยมองไว้ก็คือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวที่มีอยู่ให้เติบโตงอกเงยขึ้น “คุณแม่มีที่ดินอยู่หลายแปลง ผมก็อยากเข้ามาช่วยดูแลกิจการต่อ ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงที่กำลังเก็บข้อมูล และพิจารณาว่าจะดำเนินการไปในด้านไหนดี...

อย่างเวลาจะทำเป็นโรงแรมหรือคอมมูนิตี้มอลล์ มันต้องอาศัยการศึกษาข้อมูลเยอะมากนะครับ ไม่ใช่อยากทำก็ทำ ทำด้วยอารมณ์โดยไม่รู้ว่าจะได้ผลอย่างไร จะทำอะไรก็ต้องทำให้มันออกมาดีที่สุด เพราะเราเองก็เรียนมา มีประสบการณ์ด้านนี้มาพอสมควร จะลงมือทำอะไรเราก็อยากทำอย่างมั่นใจว่ามันจะประสบความสำเร็จ”

ส่วนน้องเต็มก็เสริมว่า “เต็มก็อยากจะเข้ามาช่วยพี่ชายดูแลกิจการของที่บ้านด้วย เต็มจบทางด้านนิเทศฯ มาก็จริง แต่ตอนนี้ก็ได้ไปเรียนคอร์สเพิ่มเติมทางด้านอสังหาริมทรัพย์ที่จุฬาฯ มาด้วย”

สาวน้อยคนนี้นอกจากจะไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมแล้ว เธอยังมีอีกหลายหน้าที่ที่รับผิดชอบ ทั้งการเป็นพิธีกรให้การรายการกีฬาช่อง T Sport ที่คอยอัปเดตข่าวสารและสาระน่ารู้เกี่ยวกับแวดวงกีฬาชนิดต่างๆ ออกอากาศทุกวันอังคารเวลา 4 ทุ่ม และยังเป็นเจ้าของกิจการชุดลีลาศส่งออก ที่เธอทำมานานกว่า 5 ปีแล้ว

“เต็มทำเป็น E-commerce ค่ะ ขายชุดลีลาศทางออนไลน์ ส่งไปทั่วโลก โดยจะมีชุดให้เลือกเป็นพันๆ แบบเลย สามารถเลือกสั่งตัดได้ตามใจ ก็นำเอาความรู้ ประสบการณ์ และความถนัดของเราในฐานะนักเต้นลีลาศมาต่อยอด...

เพราะในสมัยเต็มแข่งลีลาศ เต็มก็จะออกแบบเสื้อเอง เราก็เป็นคนคิดแบบแล้วค่อยไปคุยกับช่างว่าเอาแบบไหน ก่อนตัดเย็บ หรือบางครั้งเราก็ทำชุดเองเลย เอาผ้ามาพันๆ ติดเครื่องประดับ ปักเลื่อมเอง บางชุดนี้คิดภาพไว้ ลงมือจับๆ พันๆ แล้วมันก็ออกมาสวย แต่ให้ทำอีกรอบนี่ทำไม่ได้นะ (หัวเราะ)”

เธอเริ่มต้นด้วยความสนุกและใจรัก ตั้งแต่สมัยยังเรียนปริญญาตรีอยู่ ซึ่งธุรกิจก็ประสบความสำเร็จขึ้นมาเรื่อยๆ จนตอนนี้เธอหันมาทำอย่างจริงจัง โดยตลาดหลักของน้องเต็ม คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในแถบยุโรป ซึ่งเธอกำลังพัฒนาธุรกิจ สร้างตลาดที่กว้างขึ้นด้วยการบุกตลาดประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษบ้าง อย่างภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน หรือญี่ปุ่น ฯลฯ

สารพัดกิจกรรมครอบครัว

แม้จะมีลีลาศที่นับเป็นกิจกรรมโปรดของครอบครัวแล้ว พ่อแม่ลูกบ้านนี้ยังสนุกกับกิจกรรมอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกีฬา หรือดนตรี

“คุณพ่อเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียนสมัยไฮสคูล แล้วก็ทิ้งร้างไป ช่วงปีหลังๆ มานี้ถึงได้กลับมาแข่งอีกครั้ง โดยเป็นแชมป์ในระดับผู้สูงอายุของประเทศไทยทุกปีนะคะ เก่งท่ากบมาก เป็นแชมป์ติดต่อกันมาหลายปีแล้ว” คุณแม่วราภรณ์กล่าวให้ฟัง

คุณชายศักดิสาณกล่าวเสริมว่า “ผมว่าจะว่ายไปเรื่อยๆ คิดว่าถ้า 85 ยังไหว ก็จะแข่ง แต่มันจะมีคู่แข่งแล้วเหรอ หาคนวัยเดียวกันมาแข่งด้วยยาก อาจจะมีผมแข่งอยู่คนเดียวก็ได้ (หัวเราะ) ครอบครัวเราจะพาลูกๆ ไปว่ายน้ำกันตั้งแต่เด็กๆ อย่างเต้ยเองเขาก็เป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียนนะ”

“ไม่เฉพาะว่ายน้ำนะคะ บัลเลต์ เปียโน เต็มก็เรียนมาหมด ครอบครัวเราชอบทำกิจกรรมค่ะ ทุกวันนี้แม้จะเลิกเต้นลีลาศแล้ว แต่ก็ยังไปออกกำลังกายด้วยกันเสมอ ที่โปโลคลับ คุณพ่อคุณแม่ถึงยังฟิตอยู่เสมอ”

“เต้ยเองก็มีว่ายน้ำบ้าง วิ่งบ้าง ตีแบตบ้าง โยคะ ก็เล่นนะ เพราะรู้สึกว่าส่วนใหญ่เราเล่นอะไรที่มันใช้กล้ามเนื้อเยอะๆ ก็เลยหันมาสร้างสมดุลให้ร่างกายเราด้วยการเล่นโยคะ ยืดคลายกล้ามเนื้อ แถมยังได้เรื่องสมาธิ ความสงบมาด้วย”

การส่งเสริมให้ลูกๆ ได้ทำกิจกรรมทั้งหลาย เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังมาตลอด โดยไม่ได้เน้นแต่เรื่องเรียนอย่างเดียวอย่างบางครอบครัว

“ผมไม่เคยปิดกั้นอะไร เขาอยากเรียนอะไร ทำอะไร เราสนับสนุนหมด ตราบใดที่ไม่ผิดศีลธรรม เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะผมเชื่อเรื่องการเล่น หรือได้ทำกิจกรรม มันทำให้เราได้บรรลุ หรือได้เรียนรู้อะไรบางอย่างที่ห้องเรียนมันให้เราไม่ได้ เรื่องเรียนอย่างเดียวมันไม่ได้ผลแน่ๆ เพราะการเรียนมันเหมือนกับได้ความรู้มาแต่ยังไม่เต็มพอดี ถ้าเราได้เล่นด้วยมันจะมาเติมให้สมบูรณ์ขึ้น มันเหมือนมีนิ้วอยู่ 9 นิ้วแล้ว เกือบมีครบ แต่ยังขาดบางสิ่งซึ่งถ้าไม่ได้ทดลองไม่ได้ประสบการณ์เองมันไม่มีทางรู้ได้

ผมจะพยายามสอนให้เขาได้ประสบการณ์ที่หลากหลาย อย่างการเต้นลีลาศแบบนี้ ได้ไปแข่งขัน ได้ไปเจอโลกกว้างกว่า ผมว่าเขาได้เปรียบ ได้กำไรชีวิตกว่าเด็กอื่นๆ อีกเยอะนะ ดังนั้น ถ้าอยากเล่นอะไร ถ้าไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ได้ไปฆ่าใครตาย หรือไปเผาบ้านเผาเมืองที่ไหน ก็ทำไปเถอะผมสนับสนุนทุกอย่าง”

นอกจากเรื่องการเล่นและกิจกรรมต่างๆ แล้ว ผู้ปกครองบ้านนี้ยังมีแนวทางคำสอนอีกหลายอย่าง ที่ลูกๆ นำไปประพฤติปฏิบัติ

สำหรับหม่อมหลวงสิทธิสานแล้ว สิ่งสำคัญที่จำได้ขึ้นใจไม่เคยลืมเลือนคือ คำสอนที่ว่า “ต้องเป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต รับผิดชอบต่องานและสังคม ซึ่งผมก็ยึดเป็นหลักในการใช้ชีวิต ยิ่งในด้านสายงานของผม คำสอนนี้ยิ่งสำคัญมาก เพราะผมดูเรื่องการเงิน วิเคราะห์ตัวเลขต่างๆ และให้คำปรึกษา เราต้องไม่มีอคติ ไม่ทุจริต ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา เพราะทุกคนจะพิจารณาคำพูดหรือคำแนะนำก่อนตัดสินใจอะไรลงไป”

ส่วนสาวน้อยของบ้านบอกว่า “เต็มเชื่อเรื่อง ทำวันนี้ให้ดีทีสุด แม้จะฟังดูเป็นคำเก๋ๆ ที่ใครๆ ก็พูดกัน แต่สำหรับเต็มคำสอนของคุณพ่อคุณแม่คำนี้ สำคัญกับชีวิตมาก อย่ามัวไปคิดถึงเรื่องอดีต หรืออนาคตมากกว่าปัจจุบัน แต่ลงมือทำวันนี้ ทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด แล้ววันอื่นมันก็จะดีตามมาเอง ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ คุณต้องลงมือทำวันนี้เลย อย่ามัวแต่คิดฝัน คิดว่าพรุ่งนี้ค่อยเริ่มนั่น จะทำนี่ มันไม่มีทางสำเร็จหรอก คิดอะไรก็เริ่มเลย อย่ามัวเสียเวลา ก้าวแรกคุณคือวันนี้”

ได้ยินคำบอกเล่าของลูกๆ ทั้ง 2 คนที่จดจำคำของคุณพ่อคุณแม่ที่สั่งสอนให้เติบโตเป็นคนดีที่มีคุณภาพได้อย่างขึ้นใจแบบนี้ จึงไม่แน่แปลกใจที่ลูกๆ บ้านนี้ต่างประสบความสำเร็จ เป็นที่น่าภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูลและราชสกุล “ชุมพล” 
ในสมัยที่ทั้ง 2 พี่น้องจับคู่เต้นลีลาศเข้าแข่งรายการต่างๆ หนุ่มเต้ยเคยทำวีรกรรม โพสท่าจบแสนสวยงาม ในจังหวะการเต้น พาซาโดเบ ด้วยการหมุนตัวแล้ววาดมือออกเผยอย่างสง่างามสมกับที่สวมบทเป็นมาธาดอร์ แต่ผิดจังหวะ เลยกลายเป็นฟาดแขนเข้าใส่หน้าน้องสาวซึ่งเป็นคู่เต้นแบบเต็มๆ หน้า เจ็บถึงขั้นน้ำตาไหลกันกลางฟลอร์เลยทีเดียว
ครอบครัวลีลาศ

ครอบครัวนี้เริ่มก้าวเข้าสู่แวดวงลีลาศเนื่องจากว่า คุณแม่ซึ่งแต่ก่อนมักจะไม่ค่อยสบายด้วยโรคภูมิแพ้ มักจะแพ้อากาศ และไม่สบายอยู่บ่อยๆ คุณหมอจึงแนะนำให้ออกกำลังกาย ให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิคุ้มกัน

“เราก็มองหากิจกรรมที่ทำได้ทั้งครอบครัว คุณแม่เองชอบเต้น ก็เลยชวนคุณพ่อไปลองเต้นลีลาศดู พอได้เรียนแล้วก็รู้สึกสนุก เพราะมันได้ออกกำลังกายด้วย แถมเพลิดเพลินด้วย ก็เลยติดใจชวนลูกๆ ไปเรียนด้วย ก็ไปเต้นกันทั้งครอบครัว ตอนั้นเต็มเพิ่งอายุ 12 ปีได้ พอเต้นไปสักพักคุณครูที่สอนเขาก็เห็นแววเต้ยกับเต็ม ก็เลยลองชวนให้เข้าแข่งขันในรุ่นเยาวชนสมัครเล่น ลงแข่งปุ๊บได้มา 3 เหรียญทอง ทีนี้ก็ติดใจก็เลยเริ่มเรียนจริงจังแล้วก็แข่งมาเรื่อยๆ”

“ต้องยกความดีความชอบให้กับอาจารย์ที่สอน เพราะคนเราถ้าได้เรียนกับอาจารย์ที่ดี สอนคนแรก แล้วพาไปถูกทาง มันจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ อาจารย์เต็มเป็นอดีตแชมป์เอเชียนเกมส์ ปี 1998 ซึ่งพอเราได้ไปแข่งครั้งแรก เห็นว่าการแข่งขันแบบจริงจังมันเป็นยังไง ก็รู้สึกตื่นเต้น น่าสนใจ ยิ่งพอเราได้มา 3 ถ้วย ซึ่งตอนนั้นเป็นถ้วยเล็กๆ เพราะเป็นรุ่นเด็ก แล้วมาเห็นพวกพี่ๆ เขาได้ถ้วยใบใหญ่ๆ ก็เหมือนเป็นแรงบันดาลใจ อยากทำให้ดีขึ้น อยากได้แชมป์ ได้ถ้วยใหญ่ๆ แบบเขาบ้าง” น้องเต็ม สาวน้อยนักเต้นลีลาศอันดับหนึ่งของไทยกล่าวเสริม

“ช่วงแรกๆ ก็เต้นคู่กันพี่น้อง ผมกับเต็ม ได้แชมป์เยาวชนระดับประเทศ เป็นตัวแทนของกรุงเทพฯ แล้วก็ชนะมาเรื่อยๆ ซึ่งเพราะการเต้นลีลาศนี่แหละที่ทำให้พี่น้องเราสนิทกันมากขึ้น อย่างแต่ก่อนอาจจะมีทะเลาะกันบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่พอมาเต้นเป็นพาร์ตเนอร์กัน มันทำให้เราต้องช่วยเหลือกัน รักกันมากขึ้น และใช้เวลาอยู่ด้วยกันเยอะมากกว่าพี่น้องทั่วไป เพราะเราต้องซ้อมกันวันละหลายชั่วโมงเลย”

หลังจากนั้นจับคู่กันกวาดแชมป์มา 4-5 ปี ก็ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง เมื่อคุณเต้ยสอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะเศรษฐศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษของจุฬาฯ จึงเลิกแข่งลีลาศไป เพราะตั้งใจจะมุ่งมั่นในด้านการเรียนเพื่อคว้าเกียรตนิยมอันดับ 1 มาครองให้ได้ สาวเต็มจึงต้องหาคู่เต้นใหม่ ซึ่งก็ได้จับคู่กับ “นิว-วัชรากรณ์ เสือสืบพันธ์” ซึ่งก่อนหน้านี้นับเป็นคู่แข่งคนสำคัญ

“ตอนนี้ถือเป็นเวลาโอกาสที่ประจวบเหมาะ เขาเลิกเต้นกับคู่พอดี ก็เลยได้มาคู่กัน ทำให้เต็มหันมาจริงจังทางด้านนี้เต็มตัว ก็เต้นคู่กับเขามาเรื่อยๆ ตลอด 15 ปี จนเมื่อ 2 ปีก่อน ที่คู่เราตัดสินใจเลิกแข่ง ทั้งด้วยอาการบาดเจ็บของคู่เต็มด้วย และเวลาที่สมควรแล้ว เพราะสำหรับชีวิตนักเต้นลีลาศอาชีพ อายุ 25-26 ก็ถือว่าหนักเกินไปแล้ว เพราะมันต้องซ้อมทุกวัน เหนื่อยมาก ก็เลยมานั่งคุยกันว่ามันถึงเวลาแล้ว...

ปัจจุบันนี้แม้ไม่ได้แข่งแต่ก็ยังจับคู่กันซ้อมอยู่บ้าง เพราะมีโชว์ มีงาน คือเราผูกพันกับสิ่งนี้มาเกือบทั้งชีวิต มันคงขาดหายไปไม่ได้หรอก ตอนนี้ก็เต้นเป็น Hobby อย่างพี่เต้ยเอง ถึงเลิกแข่งไปนานแล้ว แต่ก็ยังเต้นนะคะ ก็จับคู่กับคุณแม่ ก็ไปซ้อมกับคุณแม่บ้าง แล้วก็มีเต้นที่งาน แบบที่คนรักลีลาศเขาจะจัดงานรวมตัวกัน เต้นสนุกสนานแต่ก่อนก็ไปบ่อยเกือบทุกสัปดาห์ แต่ตอนนี้ก็ห่างๆ ไป”

แม้จะต้องเรียนและแข่งระดับมืออาชีพในเวลาเดียวกัน แต่สาวน้อยคนนี้ก็สามารถทำให้ทุกอย่างออกมาสำเร็จได้ อย่างการเรียนเธอก็คว้าปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ มาครองได้ อย่างการเต้นเธอก็เป็นทีมชาติ และคว้าแชมป์ของประเทศไทยมาครองได้ถึง 8 ปีซ้อน

เต็ม : มันเป็นข้อดี เพราะทำให้เรารู้ว่าทุกนาทีมีค่า เวลาเราน้อย เราต้องรีบจัดเวลา รีบขยันเรียน ขยันอ่าน จะไปลอยชาย ขี้เกียจไม่ได้ ทำให้เราต้องรู้จักตั้งใจทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด”

คุณแม่ : มันเป็นกุศโลบายของแม่อย่างหนึ่ง เพราะเขาต้องทั้งเรียนด้วย ทั้งแข่งด้วย ไม่มีเวลาไปขี้เกียจ หรือไปเที่ยวไหน แม่ดูแลสบายเลย ไม่ห่วงว่าลูกจะไปเกเรที่ไหนเหมือนแม่คนอื่นๆ นี่คือ เรียนก็ตรงไปสมาคมลีลาศแล้วก็กลับบ้าน

คุณพ่อ : ที่ให้เขาแข่ง เราก็ไม่ได้จะคาดหวังอะไร อยากให้เขาได้รับประสบการณ์ แต่พอเขาไปได้แชมป์ ได้เหรียญทอง ประสบความสำเร็จ มันก็เลยสานต่อมาเรื่อยๆ ก็เริ่มมีความหวังบ้าง แต่เราก็ไม่ได้มุ่งว่าต้องชนะ ต้องที่หนึ่งตลอด จะสอนเขาว่าทำดีที่สุด ทำให้ได้เต็มที่ ถ้าชนะก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ต้องทำใจ

“ทุกรายการที่เต็มหวังและตั้งใจไว้ ทุกวันนี้เต็มก็ทำได้ตามความฝันทั้งหมดนะค่ะ โดยแชมป์ที่ภูมิใจที่สุดที่ได้คือ แชมป์เอเชียน-แปซิฟิก เพราะมันไม่ได้มีแค่ชาติเอเชีย แต่รวมถึงฝรั่งด้วย ซึ่งพวกนี้มักจะเก่งกว่าเรา เพราะลีลาศมันเป็นวัฒนธรรมของเขา งานนั้นได้เข้าถึงรอบสุดท้ายเราก็ดีใจแล้ว และพอแข่งเสร็จตามธรรมเนียมเขาจะประกาศรางวัลไล่ขึ้นมาจากอันดับที่ 6 จนถึงอันดับที่ 1

แต่ครั้งนั้นแข่งที่ประเทศเกาหลี เขากลับประกาศที่ 1 ก่อน ซึ่งเราก็ฟังภาษาเขาไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเขาประกาศอะไร แต่เรียกชื่อคู่เราเป็นคู่แรก ก็เลยคิดว่าได้อันดับสุดท้าย เป็นอันดับที่ 6 เต็มก็เดินไปรับเหรียญแบบเศร้าๆ เราก็ออกไปยืนรอรับเหรียญอยู่ข้างแท่นอันดับ 1,2,3 ทางเจ้าหน้าที่ก็พยายามต้อนให้เราขึ้นไปบนแท่น เราก็ไม่เข้าใจ จนสักพักถึงจะรู้ว่าเราชนะ ก็เรียกได้ว่าเป็นแชมป์แบบงงๆ (หัวเราะ)”

นอกจากแชมป์ที่ว่านี้ เธอยังสามารถคว้า 4 เหรียญทองซีเกมส์ 2 เหรียญเงินเอเชียนอินดอร์เกมส์ และแชมป์อื่นๆ อีกมากมายมาครอง และนับได้ว่าเป็นไอดอลของนักเต้นลีลาศของไทย

“เวลาเขาไปแข่งที่ไหน ก็จะมีน้องๆ มารอขอถ่ายรูปเต็มไปหมด เขาเป็นเหมือนไอดอลของเด็กรุ่นใหม่ๆ เพราะไม่เคยมีใครรักษาแชมป์ได้ยาวนานขนาดนี้ และเต็มเองก็น่ารัก ให้ความเป็นกันเองกับทุกคน ไม่เคยจะหยิ่งหรือมากเรื่อง น้องๆ ก็ยิ่งรัก แม่ก็รู้สึกดีใจนะคะ ที่เขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กีฬานี้เติบโตขึ้น ได้รับความสนใจมากขึ้น น้องๆ หลายคนหันมาเต้นลีลาศก็เพราะเขา”

ย้อนอดีตถึงชีวิตคุณชาย

กับกระแสละครสุภาพบุรุษจุฑาเทพที่กำลังเป็นที่นิยมกัน วันนี้พอมีโอกาสสัมผัสกับคุณชายตัวจริงที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตในยุคเดียวกับในละคร เราเลยอดถามไม่ได้ว่า ภาพที่เราเห็นในละครนั้นเหมือนหรือต่างกับชีวิตจริงอย่างไรบ้าง

“ผมอยู่ในวังศุโขทัย ก็จะได้การถ่ายทอดเรื่องกิริยามา อย่างนั่งพับเพียบอย่างไร การเดิน การเหิน อย่างการเสิร์ฟอาหาร การเอาน้ำชาไปให้เจ้านาย เราต้องคลานเข่าเข้าไป ผมก็ถูกฝึกมาแบบนั้น ผมสามารถคลานเข่าได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนนักบัลเลต์เต้นเลย ผมเข้าร่วมโต๊ะเสวยอยู่บ่อยๆ โดยอาหารการกินในวังจะจัดอย่างสวยงาม ซึ่งครัวไทยเราทำกันเองในวัง แต่ถ้าเป็นอาหารฝรั่งก็จะจัดส่งมาจากวังสวนจิตร เพราะในหลวงท่านโปรดอาหารฝรั่งจึงมีพ่อครัวไทยที่ไปเรียนจบที่สวิส 3 คน โดยเขาจะส่งมาทุกวัน ผมก็จะแอบสืบก่อนว่าวันนี้มีเมนูอะไร ถ้าวันไหนมีเมนูที่ชอบก็จะร่วมโต๊ะด้วย แต่ถ้าไม่ชอบก็จะไปทานอย่างอื่นแทน (หัวเราะ)

สิ่งสำคัญที่ท่านทรงอบรมผมอยู่บ่อยๆ ให้เป็นคนสุภาพ ไม่เจ้ายศ เจ้าอย่าง ให้ทำตัวเข้ากับชาวบ้านได้ราบรื่น ท่านสอนว่า เราอยู่ได้ถ้าประชาชนต้องการเรา ถ้าประชาชนไม่ต้องการเราก็อยู่ไม่ได้ การที่จะให้ประชาชนชอบเราคือเราต้องไม่เย่อหยิ่ง อยู่ได้กับคนในทุกชนชั้น

แต่คนสมัยใหม่บางทีตรงนี้มันหายไป แบบคนมีเงิน มีอำนาจ ก็ต้องทำตัวเหนือกว่า อย่างคนหนึ่งนั่งรถเมล์มา อีกคนนั่งรถเบนซ์มา คุยกันคนละเรื่องแล้ว พูดไม่ได้ คบไม่ได้ มันกลายเป็นอย่างนั้นไป แต่สมัยผมนี่เขาจะสอนให้ทำตัวเหมือนชาวบ้านทั่วไป อย่างผมนี่แม้จะอยู่ในวัง แต่เวลาไปเรียนที่เซนต์คาร์เบรียลนี่ก็ออกมานั่งรถรางสายสามเสนไป สัญจรเหมือนคนอื่นๆ ไม่แตกต่างกัน” คุณชายเล่าถึงชีวิตของหม่อมราชวงศ์ที่เติบโตมาให้เราได้ฟังกัน

เมื่อถามถึงเรื่องละคร คุณชายเล่าว่า “ก็ได้ติดตามดูกับเขาอยู่บ้าง เพราะน้องเต็มเองเขาก็ได้ไปสอนลีลาศนักแสดงในเรื่องด้วย ผมนั่งดูละครแล้วก็นึกย้อนอดีตไปด้วย ในเรื่องการแต่งกาย หรือฉากวังต่างๆ โอเคมากนะ เหมือนบ้านเจ้าจริงๆ อย่างเฟอร์นิเจอร์ก็ใกล้เคียง อย่างคุณชายที่เป็นวิศวะ ใช้โต๊ะเปิดมาได้ คล้ายโต๊ะเขียนแบบ ผมเองก็เคยมีใช้แบบนั้นเช่นกัน

แต่จะมีติงอยู่อย่างคือ กิริยามารยาทบางอย่างยังไม่เหมาะสม อย่างผมเห็นนักแสดงที่เล่นเป็นคุณชายมีการใช้หัวเข่าปิดลิ้นชัก อันนี้ไม่ใช่แน่ๆ เพราะถ้าเป็นคุณชายไม่ว่าลิ้นชักจะต่ำขนาดไหนก็ต้องย่อตัวลงไปใช้มือปิด จะไม่ใช้ขาเด็ดขาด”

นอกจากตุ๊กตากระเบื้องสวยๆ ที่เห็นแล้ว ของสะสมในบ้านยังมีอีกมากมาย ตั้งแต่เครื่องเรือนไม้เก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ไปจนถึงเครื่องกระเบื้องลายครามแบบจีนซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่ถ้าถามถึงสิ่งที่มีคุณค่าทางใจที่สุด คือ กล่องเก็บเครื่องประดับใบน้อยซึ่งเต็มไปด้วยเข็มกลัดและเหรียญต่างๆ ที่ได้รับพระราชทานมา

“ในสมัยก่อนพวกเจ้าจะมีธรรมเนียม ทำของที่ระลึกแจกให้เวลาที่ท่านรักใคร ชอบใคร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงเหรือญาติมิตรสนิท” ม.ร.ว.ศักดิสาณ เล่าให้ฟัง พร้อมกับคุณวราภรณ์อธิบายเสริมถึงแต่ละชิ้นว่า “อย่างรูปเข็มกลัด 3 ศร ที่ท่านพ่อของคุณชายได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 7 หรือเข็มและเหรียญพระนามย่อ ร.พ. ของประทานจากพระนางเจ้ารำไพพรรณี ไปจนถึงเข็มดอกไม้สวิสเป็นทองคำบริสุทธิ์ ได้มาจากสมเด็จย่า หรือแผ่นประทับลายเซ็นสมเด็จพระพี่นางฯ ที่ได้รับประทานมาตอนแต่งงาน” :: Text by FLASH




>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/
กำลังโหลดความคิดเห็น