>>พบกับอีกมุมหนึ่งของชีวิตที่ใครๆ อาจจะไม่เคยเห็นของผู้บริหารศูนย์การค้าเกษร “ป๋อม-กรกฎ ศรีวิกรม์” ที่มาเปิดบ้านหลังงาม พร้อมกับจูงมือสามีสุดที่รัก “เซง-ปรีดาพนธ์ บัณฑิตยานนท์” เล่าเรื่องราวความรักและความผูกพันของทั้งคู่ที่ยืนยาวมากว่า 20 ปี
ใครจะรู้บ้างว่าผู้หญิงร่างเล็ก ใบหน้าหวาน ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาดกลุ่มเกษรพร็อพเพอร์ตี้ ที่ดูแลทั้งศูนย์การค้าเกษร และโครงการอสังหาริมทรัพย์อีกหลายแห่ง รวมทั้งความรับผิดชอบในฐานะหัวเรือใหญ่ของสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) อย่างคุณป๋อม แท้จริงแล้วจะเป็นสาวขาลุย ชอบผจญภัยอยู่ไม่น้อย โดยงานนี้ได้สามีอารมณ์ดีของคุณป๋อมมาร่วมเผยตัวตนคุณป๋อมให้ฟัง
บ้าน ... สถานที่แห่งความสุข
แม้จุดนัดหมายของเราวันนี้จะอยู่ ณ ย่านอโศก ใจกลางกรุงเทพฯ เมืองหลวงที่แสนวุ่นวาย แต่เมื่อก้าวเข้าสู่อาณาเขตกลุ่มบ้านของเหล่าทายาทตระกูลศรีวิกรม์ ในซอยสุขุมวิท 16 แห่งนี้ กลับพบแต่ความร่มรื่นดั่งอยู่กลางป่าในต่างจังหวัด ด้วยไม้ยืนต้นสูงพร้อมพื้นที่สีเขียวที่อยู่รายล้อมบ้านแต่ละหลังได้อย่างเป็นส่วนตัว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นฝีมือการออกแบบสถานที่ของคุณเซง-ปรีดาพนธ์
ตัวบ้านสีขาวสะอาดตาแห่งนี้สะท้อนความเป็นตัวตนของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี รูปทรงเหลี่ยมๆ แบบเรียบง่ายที่กรุกระจกบานโตเปิดออกสู่ธรรมชาติที่เรียงรายอยู่รอบด้าน เหมาะกับความเป็นมิตรและอัธยาศัยสุดน่ารักของคนทั้งคู่ แถมยังบ่งบอกถึงความเป็นคนรักธรรมชาติ เราจึงได้เห็นต้นไม้น้อยใหญ่เจริญเติบโตอย่างงดงาม ให้ภูมิทัศน์ที่สวยสมกับเป็นบ้านของภูมิสถาปัตย์คนเก่ง
คุณเซง-ปรีดาพนธ์ คุณผู้ชายของบ้าน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์สเคปอาร์คิเทค 49 จำกัด (L49) บริษัทออกแบบภูมิสถาปัตยกรรมชั้นนำของประเทศไทย เป็นผู้ออกแบบพื้นที่ทั้งหมดของบ้านนี้ “เริ่มจากพื้นที่เป็นสนามโล่งกว้าง ต้นไม้ทุกต้นที่เห็นนี้นำมาลงใหม่หมด ช่วงแรกๆ เมื่อเกือบ 10 กว่าปีก่อน มันยังดูไม่สวยเท่านี้ แต่พอตอนนี้ต้นไม้โตเต็มที่แล้วจึงให้ความรื่นรมย์มาก สมกับความตั้งใจที่อยากให้บ้านเป็นพื้นที่พักผ่อน เป็นป่าเล็กๆ กลางเมืองให้เราได้สัมผัสกับธรรมชาติแสนสดชื่น ก้าวเข้ามาในนี้แล้วสบายใจ ไม่ว่าอยู่ข้างนอกจะร้อนขนาดไหน แต่เข้ามาอาณาเขตบ้านแล้วก็เย็นร่มขึ้นด้วยต้นไม้เหล่านี้”
อาชีพภูมิสถาปัตย์หลายคนฟังแล้วคงงงว่าทำหน้าที่อะไรบ้าง คุณเซงสรุปให้ฟังง่ายๆ ว่า “คือผู้ออกแบบดูแลทุกอย่างที่อยู่นอกอาคาร ดูภาพรวมทั้งหมด ว่าควรจัดวางอะไรไว้ตรงไหน ครอบคลุมตั้งแต่ระดับบ้านพักอาศัย ไปจนถึงการวางผังเมือง ซึ่งจะว่าไปสายอาชีพนี้คนไทยยังไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไรนัก แต่ก็ถือว่าดีกว่าสมัยก่อนเยอะ สมัยเรียนคนยังไม่ค่อยรู้ว่าอาชีพนี้มันทำอะไร ต้องเรียนอะไรบ้าง เพราะเวลาคนไทยจะสร้างอะไรก็ไปหาสถาปนิกก่อน พอได้ตัวตึกแล้วค่อยดูพื้นที่รอบๆ ว่าจะทำอะไร ซึ่งในความเป็นจริงมันต้องดูภูมิสถาปัตยกรรมก่อนว่าน่าจะจัดแบ่งพื้นที่อย่างไร ควรสร้างอาคารไว้ตรงไหน...
ผมเรียนจบรุ่นแรกๆ ของสถาปัตย์จุฬาฯ แล้วก็ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ จบแล้วทำงานอยู่สักพัก ก็กลับมาทำงานที่เมืองไทยโดยได้ร่วมงานกับกลุ่มบริษัทสถาปนิก 49 โดยทำในส่วน L49 ดูแลด้านภูมิสถาปัตย์โดยเฉพาะ”
การออกแบบ … จุดเริ่มต้นแห่งความรัก
การทำงานกับกลุ่มสถาปนิก 49 นี่เอง ที่ทำให้ทั้งคู่ได้โคจรมาพบกัน โดย คุณป๋อม-กรกฎ ศรีวิกรม์ ซึ่งจบการศึกษาทางด้าน Textiles และผ่านงานด้านสิ่งทอมา ได้เข้ามาทำงานที่บริษัท P49 บริษัทด้านตกแต่งภายใน
คุณป๋อม : เรารู้จักกันในออฟฟิศ และพอดีพี่เซงเขาได้ไปทริปของสมาคมอสังหาริมทรัพย์ของไทยกับพี่ชายป๋อม เขาก็เลยรู้จักกัน จึงสนิทสนมกันมากขึ้น ที่จริงเขาไม่ได้จีบอะไรมาก แต่จะโดนเพื่อนร่วมงานที่แหละคอยจับคู่ คอยเชียร์สุดฤทธิ์
คุณเซง : เพราะที่ออฟฟิศรู้ครับว่า ถ้าปล่อยผมจีบเองกว่าจะสำเร็จคงแก่ซะก่อน เลยต้องช่วยใส่ยาเร่งให้ ผมชอบป๋อมเพราะเป็นคนน่ารัก ดูเหมือนจะหวานแต่ที่จริงจะเข้มแข็งเหมือนผู้ชาย นิสัยเราคล้ายกัน เข้ากันได้ดี
คุณป๋อม : เขาตรงกับสเปกเรา จะชอบคนตี๋ๆ หน่อย แล้วพี่เขาเป็นคนง่ายๆ รักธรรมชาติเหมือนกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง งานอดิเรกของเราคือนั่งคุยกัน เพราะต่างก็ชอบคิด ชอบวิเคราะห์ เขาเป็นคนฉลาดรอบรู้ ไม่ว่าจะพูดหัวข้อไหน เขามีแง่คิด มีทฤษฎีที่น่าสนใจมาแชร์ให้ฟัง ทำให้เราได้เปิดมุมมองใหม่ๆ
แม้จะเปลี่ยนสถานะจากคู่รักมาเป็นคู่ชีวิตกว่า 20 ปีแล้ว แต่คุณป๋อมและคุณเซงก็ยังพูดคุยกันและใช้เวลาร่วมกันไม่น้อยหน้าคู่ข้าวใหม่ปลามันคู่ไหนๆ ต่างจากคู่แต่งงานทั่วไปที่ความสัมพันธ์อาจจะจืดจางไปตามกาลเวลา แต่สำหรับทั้งคู่ ยิ่งนานยิ่งรักมั่นคงเห็นได้จากการเอาใจใส่และการเย้าแหย่กันอย่างน่าเอ็นดูตลอดบทสนทนา
คุณป๋อม : เราอยู่ด้วยกันตลอด คุยกันทุกวัน แต่จะออกแนวเพื่อนมากกว่านะ ไม่ค่อยได้คุยกันหวานๆ เท่าไร
คุณเซง : เพราะคู่เราไม่ได้มาแนวสวีตตั้งแต่แรกแล้ว คบกันมาแบบเพื่อนซี้ที่ปรึกษากันได้ทุกเรื่องมากกว่า ซึ่งผมว่าชีวิตแต่งงานมันต้องการแบบนี้มากกว่า เพราะถ้าเป็นความรู้สึกแบบสวีตหวาน เสน่หา เวลาผ่านไปมันจะลดน้อยลง แต่ในส่วนของมิตรภาพ ความเป็นพื่อนคู่คิด ที่คอยอยู่ข้างๆ กัน สนุกกับเรื่องต่างๆ ไปด้วยกัน มันป็นเรื่องสำคัญกว่า มันทำให้คนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้นานกว่า
คุณป๋อม : ตอนจีบก็ไม่ได้มีโมเมนต์โรแมนติกเลยนะ จะเป็นแนวแบบชวนกันไปทำกิจกรรมมากกว่า เราชอบเล่นกีฬา ก็จะชวนไปเล่นเทนนิส เดินป่า ปั่นจักรยาน ฯลฯ
คุณเซง : อย่างที่บอกครับ นิสัยเขาจะแมนๆ ก็ทำกิจกรรมกับเราได้หมด ไม่มีปัญหา ไม่เหมือนพวกนางเอกในละคร ที่จะมารยาเยอะ เสียงเล็กเสียงน้อย โวยวาย แต่ป๋อมเขาเป็นคนง่ายๆ ไม่มีวีน เหวี่ยง ดูแลตัวเองได้ ก็ต้องถือว่าผมเป็นสามีที่โชคดีมากนะ ไม่มีภรรยาเรื่องมากกวนใจ
คุณป๋อม : เราสองคนชอบเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันสองคน แม้จะไม่ได้มีกิจกรรมอะไรพิเศษ อย่างแค่เรานั่งทำงานไป เขาก็อ่านหนังสือยู่ข้างๆ ไม่ต้องคุยอะไรกันเลยก็ได้ แค่มีเขาอยู่ข้างๆ ก็ทำให้เรารู้สึกดีแล้ว
คุณเซง : ใช่ครับ เราสบายใจที่มีอีกคนอยู่ใกล้ๆ ถ้าอย่างวันไหนที่เขาไม่สบาย ต้องไปนอนห้องอื่นแทน เวลาเข้าห้องนอนแล้วจะรู้สึกแปลกๆ มันเคว้งๆ เมื่อเห็นบนเตียงข้างๆ มีที่ว่างอยู่
แต่เห็นสนิทกันมากแบบนี้ กลับไม่มีโมเมนต์แห่งความโรแมนติกเท่าไร คุณเซงเล่าให้ฟังว่า “เคยซื้อดอกไม้ให้เขาวันวาเลนไทน์ ป๋อมกลับบอกว่าซื้อมาทำไม เปลืองเงินเปล่าๆ ทำให้ผมได้ข้ออ้างจนไม่ต้องซื้ออีกเลย (หัวเราะ) เขาไม่ใช่คนกุ๊กกิ๊กแต่ก็มีนานๆ ครั้งแบบทำเสียงหวานมาอ้อน แสดงว่าวันนั้นอารมณ์ดี แต่ถ้าเกิดอารมณ์ไม่ดีนะ แค่บอกวันนี้ขอหอมที เขาบอกไม่เอาแล้ว ทั้งที่เพิ่งจะหอมครั้งที่หนึ่งเองนะ ปกติจะหอมกันวันละ 3 ครั้ง แต่ถ้าอารมณ์ดีนี่เข้ามาหอมเองเลย”
ก่อสร้าง บททดสอบแห่งความเข้าใจ
เห็นรักกันแบบนี้ แต่คู่นี้ก็มีเรื่องทะเลาะกันไม่ต่างจากคู่รักทั่วไป โดยสาเหตุสำคัญที่เป็นประเด็นขัดแย้ง คือเรื่อง สร้างบ้าน ที่ต้องผ่านการทำความเข้าใจหาจุดลงตัวของทั้งสองฝ่าย
คุณป๋อม : ไม่ว่าจะบ้านไหน ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พอทำบ้านเมื่อไร เป็นได้มีปัญหากันทุกครั้ง โดยบ้านหลังนี้เป็นอะไรที่ทะเลาะกันเยอะสุดแล้ว เถียงกันจนต้องมานั่งคุยว่า เราจะไม่ออกแบบกันเอง 2 คนแล้ว น่าจะต้องให้คนอื่นมาช่วยตกลง ก็เลยชวนเพื่อน (ด้วง-ดวงฤทธิ์ บุนนาค) มาทำให้
คุณเซง : แต่กลายเป็นยิ่งทะเลาะหนักกว่าเดิมอีก(หัวเราะ) เพราะกลายเป็นเพิ่มมาอีกหนึ่งแนวคิด ทุกคนต่างกันไปคนละแนว แต่เราไม่ได้ทะเลาะแบบหาเรื่องแตกหักนะ แค่เราอยากให้มันออกมาให้ดีที่สุด ก็ต่างพยายามสร้างสรรค์ พอจะหาข้อสรุป มันเลยต้องผ่านการหารือกันอย่างเข้มข้นก่อน
คุณป๋อม : เวลาทำบ้านนี่ มันเครียดนะ ยิ่งเป็นบ้านเราเอง ที่เรามีความคาดหวัง มีภาพในหัวอยู่แล้ว ซึ่งแม้ป๋อมจะไม่ได้เรียนสถาปัตย์มาโดยตรง แต่เราก็ดูโครงการอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัวมาเยอะ ก็พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร รู้ว่าเราต้องการแนวไหน สเปซยังไง ก็อธิบายให้ฟัง แล้วก็ได้เขาช่วยทำให้มันออกมาสำเร็จเป็นจริง กว่าจะสำเร็จได้มันก็เหมือนกับได้ผ่านการเรียนรู้ไปด้วยกัน
คุณเซง : ป๋อมเขาเคยทำในส่วนของตกแต่งภายใน ซึ่งมันจะเห็นตอนที่โครงสร้างเสร็จสวยงามแล้ว เขาเข้าไปเติมให้สวยขึ้น แต่การทำบ้านนี้ มันได้คลุกคลีตั้งแต่วางเสา ก่อปูน มันเป็นภาพที่ยังไม่เสร็จ แต่ผมกับด้วงจะชินกับงานพวกนี้ มองออกว่าพอเสร็จแล้วมันออกมาแบบไหน พอบางครั้งที่เขามาเห็นตอนยังไม่เสร็จ เป็นแค่โครงปูน เขาก็เครียดกลัวว่าจะออกมาไม่ดี เพราะตึกจะเป็นสีปูนทึมๆ ต้นไม้ก็ยังไม่โต มองแล้วมันไม่สวยเลย ผมก็ต้องไปบอกช่างให้เอาสีขาวมาทา ทำให้มันใกล้เคียงกับภาพบ้านที่เสร็จสมบูรณ์ มันก็ดูดีขึ้น เขาก็สบายใจขึ้น
คำถามหนึ่งของคู่รักคู่นี้จะโดนจับตามองและเอ่ยถามอยู่บ่อยๆ นั่นคือ เมื่อทุกอย่างพร้อมหมด ครอบครัวรากฐานมั่นคง แล้วทำไมถึงไม่คิดมีทายาท “เพราะผมไร้สมรรถภาพหนะครับ” คุณเซงกล่าวเสียงติดตลก พร้อมให้เหตุผลต่อว่า “ทุกคนถามอยู่ตลอด บางครั้งก็เบื่อจะตอบ พอให้เหตุผลนี้ไป ไม่มีใครกล้าถามต่อเลย”
คุณป๋อม : ใช่...คำถามนี้โดนบ่อยมาก ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่คิดนะคะ ก็คิดบ้างแต่ไม่ได้เรียกร้อง ไขว่คว้า ปล่อยไปตามธรรมชาติ ซึ่งถ้าเขามาเราก็ยินดี แต่ไม่ได้จำเป็นว่าต้องมี เราสองคนคุยกันเรื่องนี้อย่างเข้าใจตรงกัน ไม่มีก็ไม่เป็นไร เล่นกับหลานๆ แทนก็ได้ อยู่กัน 2 คนก็มีความสุขดีแล้ว
คุณเซง : ผมมองว่า ไม่มีก็ไม่เป็นไร และอาจเป็นเพราะว่าผมชอบดูสารคดีหรืออ่านหนังสือเยอะ จึงรู้สึกว่าธรรรมชาติเขาคงคัดสรรมาแล้ว คือ ถ้ามันจะมี เขาก็คงมาไปนานแล้ว แต่นี่เขาไม่มามันก็ต้องแสดงว่าต้องมีอะไรสักอย่าง ถ้าเราไปพยายามฝืน ก็ไม่รู้ว่าผลจะออกมาแบบไหน เขาจะสมบูรณ์หรือมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ปล่อยไปตามธรรมชาติแหละดีแล้ว หรือถ้ามองในแง่พุทธศาสนา อาจจะเป็นว่าเราไม่ได้มีกรรมมีห่วงอะไรแล้ว เหลือแค่กรรมอยู่กับเรากันเอง 2 คนนี่แหละ(หัวเราะ)
ตกแต่ง บันทึกความทรงจำแห่งการเดินทาง
ทุกซอกมุมในบ้านนี้ เป็นความทรงจำที่หวนให้ระลึกถึงการเดินทาง กิจกรรมสุดโปรดของทั้ง 2 ท่าน โดยเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลาย ที่เห็นเป็นของเก่า ไม่ใช่มรดกตกทอดที่ไหน แต่เป็นสิ่งที่เห็นแล้วถูกตาต้องใจ เวลาไปเยือนประเทศต่างๆ
คุณป๋อม : เราชอบท่องเที่ยวกันทั้งคู่ เวลาเที่ยวก็จะลุยมาก ไม่ได้เที่ยวแบบเดินสวยๆ ชอปปิ้งในเมือง แต่มักจะไปพวกเมืองแปลกๆ หรือถ้าอยู่ในตัวเมืองก็จะไปเดินพวกตลาดท้องถิ่น เน้นไปดูวิถีชีวิตคน ไปดูความเป็นอยู่เขา บางทริปลำบากสุดๆ แต่กลับมาแล้วประทับใจ
คุณเซง : อย่างไปอินเดียนี่ ก็ไปโน่นเลย บริเวณทะเลทรายใกล้พรมแดนอัฟกานิสถาน ก็รู้ว่าต้องลำบาก ทำให้เราฝึกกันก่อนเลยว่า จะเข้าทุ่งกันแบบแท็กทีม ใช้ผ้าโสร่งผืนใหญ่ไปเตรียมทำคอกล้อม
คุณป๋อม : หรือถ้าจะเข้าแบบคนเดียวอย่างง่ายๆ ก็ใช้ร่มกางบัง ก็ช่วยได้ คิดจะรักการเที่ยวแบบนี้ ก็ต้องรู้จักทำตัวง่ายๆ อย่างเวลาไปดำน้ำอยู่เรือตังเกเป็นสัปดาห์ ก็ต้องกินง่าย นอนง่าย ถ่ายง่าย มันถึงจะอยู่ได้ ซึ่งมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าคนเราไม่ได้ต้องการอะไรมาก
คุณเซง : และจากทริปต่างๆ นี่แหละ ที่เราไปเก็บเฟอร์นิเจอร์สวยๆ พวกนี้มา ไม่ว่าจะเป็นตู้ไม้ โต๊ะ ตั่ง ต่างๆ บางคนเห็นเป็นของเก่าเก็บมาจากรุ่นพ่อ แต่ที่จริงมาจากแถบประเทศเพื่อนบ้านนี่แหละ ทั้งจีน อินเดีย พม่า ฯลฯ
คุณป๋อม : บ้านเราได้ของจากการดินทางเยอะ เดินทางบ่อยก็ได้ของใหม่บ่อย แต่จะเป็นของชิ้นเล็ก ของตกแต่งทั้งหลาย เพราะถ้าเป็นเครื่องเรือนชิ้นใหญ่จะลำบาก เพราะพอเราแต่งได้อย่างลงตัวแล้ว ก็ไม่อยากจะไปขยับอะไรมาก โดยเราจะมีกฎอยู่ว่า ถ้ามีของใหม่มา ของเก่าต้องไป คือ เมื่อเข้า 1 ชิ้น ก็ต้องออก 1 ชิ้นด้วย ไม่งั้นคงรกบ้าน ซึ่งชิ้นที่เอาออกก็จะวนเวียนไปไว้บ้านต่างจังหวัดที่เชียงใหม่ หรือหัวหินแทน
คุณเซง : กฎที่ว่านี้รวมไปถึงของในตู้เสื้อผ้าด้วยนะ แต่ไม่รู้เป็นไรยิ่งอยู่ไปพื้นที่ในตู้เสื้อผ้าผมยิ่งแคบลง อย่างตอนบ้านเก่า ตู้เก็บมันเล็ก ก็เลยยอมๆ เขา แต่มาบ้านนี้แม้จะออกแบบให้ใหญ่แล้วตกลงกันไว้ก่อนเลยว่าตรงไหนของใคร ห้ามมายุ่งกัน คือแม้ว่าที่ฝั่งเราจะว่างก็อย่าข้ามมา ป๋อมเขาก็ไม่ยุ่งจริงๆ แต่เป็นบรรดาแม่บ้านนี่แหละเอาใจเจ้านายหญิง ค่อยๆ หิ้วมาแขวนฝั่งเราที่ละตัวสองตัว จนสุดท้ายยึดไปเป็นแถบเหมือนเดิม
คุณป๋อม : สาวๆ เราต้องมีของเยอะกว่าอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเสื้อผ้าที่ป๋อมต้องมีใช้ตามหน้าที่แหละ เพราะส่วนตัวแล้วป๋อมไม่ใช่คนชอปปิ้งเท่าไร แม้จะทำงานในแวดวงนี้ เห็นเรื่องชอปปิ้งอยู่แล้วทุกวัน แต่สิ่งที่ป๋อมมีความสุขในการชอป ไม่ใช่พวกของแฟชั่นนะ ป๋อมชอบเรื่องเครื่องเขียนมาก ไปไหนต้องแวะซื้อ ไม่ว่าจะเป็นปากกา กระดาษโน้ต การ์ด โบริบบิ้น ของประดิษฐ์ต่างๆ เหมือนโรคจิตเลย เห็นร้านพวกนี้เป็นไม่ได้ ร้านเล็กร้านน้อย ดูบ้านๆ ก็สามารถแวะชอปได้
คุณเซง : อย่างทริปที่ไปอินเดีย เขาไปเจอร้านเล็กๆ ในห้องแถวที่ตลาด แต่ก็ยังสามารถหลุดไปอยู่ในนั้นนานเป็นชั่วโมงเลย ผมกะไปเดินถ่ายรูปเล่นในตลาด ฆ่าเวลารอเขา แต่พอดีวันนั้นฝนตกหนัก ก็เลยต้องกลับมานั่งรอในร้าน รอจนเล่นไอพอด แบตเตอรี่หมดก็ยังไม่เสร็จ น่าจะถึงสัก 3-4 ชั่วโมงได้
คุณป๋อมรีบแย้งเบาๆ ว่า “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” พร้อมกับรีบเล่าให้เราฟังว่า ตัวคุณเซงเองก็ชอบชอปเครื่องเขียนไม่น้อยหน้ากัน
คุณป๋อม : เขาจะชอบซื้อพวกสีเพนต์ กับกระดาษสำหรับวาดรูป กระดาษเนื้อพิเศษ เพราะเขาชอบวาดเขียน เคยไปเรียนวาดโดยใช้พู่กันมาด้วย อย่างรูปที่เห็นประดับอยู่ในบ้านฝีมือเขาแทบทั้งนั้น
คุณเซง : เราจะซื้อต่างกัน เพราะป๋อมเขาจะกรี๊ดหมด ของที่เป็นเครื่องเขียน แม้แต่ปากกาลูกลื่นธรรมดา ของตามร้านทั่วไป แต่ของผมจะเน้นแบบเฉพาะกิจ หายากๆ ต้องขนมาจากต่างประเทศ อย่างมีกระดาษแผ่นหนึ่งได้มาจากฮ่องกงเมื่อ 15 ปีที่แล้ว เพราะเป็นกระดาษขนาดใหญ่เนื้อดีมาก ใช้สำหรับวาดสีน้ำ คิดจะลงมือหลายทีแล้วแต่ยังไม่ได้ฤกษ์สักที
คุณป๋อม : เห็นสนุกกับการเดินทางแบบนี้ แต่ไม่ค่อยมีเวลาได้ไปไหน เพราะงานเยอะมาก หาเวลาหยุดไม่ค่อยได้ ตอนนี้ป๋อมดูแลด้านสื่อสารการตลาดของทั้งศูนย์การค้าเกษร โปรเจกต์คอนโดมิเนียม และ RSTA โดยส่วนศูนย์การค้ากำลังทำการรีโนเวตใหม่ทั้งหมด ปรับให้ล้ำสมัย และขยายทำเกษร 2 บริเวณที่ว่างข้างๆ ทำชอปแบรนด์ใหม่ๆ และแบ่งพื้นที่ให้เช่าทำออฟฟิศด้วย งานค่อนข้างยุ่ง เลยยากต่อการจัดสรรเวลาเดินทางไปหาประสบการณ์ใหม่ให้กับชีวิตอย่างที่ตั้งใจ
เรียกได้ว่าชีวิตของสาวคนนี้ จัดแบ่งความสมดุลชีวิต Life and Balance ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว การพักผ่อน และเวลาให้กับความรักกับหนุ่มข้างกายได้อย่างลงตัว สมกับเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนคนเก่งอย่างแท้จริง
สาวสปอร์ตตี้ตัวจริง
คุณป๋อมเป็นคนชอบเล่นกีฬามาก เล่นหมด ตั้งแต่เทนนิส ดำน้ำ ขี่จักรยาน วินด์เซิร์ฟ มาจนตอนนี้กำลังชอบเล่นสกี จากตอนเด็กๆ ที่เคยฝึกเล่นและไม่ชอบเพราะว่ากลัว แต่พอได้มาฝึกอีกครั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
“พอเราตัดความกลัวได้ ก็รู้สึกเลยว่ามันสนุกมาก เพราะได้ออกกำลังในทุกส่วน แล้วก็ต้องมีสมดุลที่ดี ถ้าเราเล่นได้จังหวะ มันจะพลิ้วไปเหมือนกับเต้นรำ แล้วก็ต้องรู้จักคอนโทรลตัวเองว่า เร็วได้แค่ไหน หยุดได้ไหม จะทำอะไรก็ต้องดูเรื่องความปลอดภัยของเราเองด้วย อย่างถ้าอยากออกไปเล่นเส้นทางยากๆ ที่มันไม่ได้อยู่โซนที่เขาจัดไว้ ก็ต้องมั่นใจว่าเส้นทางที่เลือกใช้ไม่อันตราย
จะเล่นสกี ร่างกายเราต้องพร้อมนะคะ โชคดีที่ป๋อมเล่นโยคะมาหลายปี ก็จะได้เรื่องความยืดหยุ่นและกล้ามเนื้อมัน ทุกวันนี้เล่นสกีไม่ปวดเมื่อยเลย ไม่เหมือนตอนเด็ก ตื่นเช้ามาปวดไปทั้งตัวเลย ป๋อมว่าทุกวันนี้ ร่างกายป๋อมดีกว่าตอนเป็นเด็กอายุ 10 ขวบอีกนะ ด้วยการเล่นโยคะแหละ เราเริ่มเล่นเพราะขาไม่ดี ตื่นกลางคืนแล้วปวดขามาก จนนอนไม่หลับ มีคนแนะนำให้เล่นโยคะ แล้วมันก็เห็นผลจริงๆ ร่างกายเราดีขึ้น ยืดหยุ่นดี ก็เลยฝึกมาเรื่อย”
คุณป๋อมเริ่มฝึกตั้งแต่อายุ 30 กว่าปี เล่นต่อเนื่องมาเป็น 10 ปี โดยเธอบอกว่า “เล่นได้ทุกวัน ไม่ว่าจะทำอยู่ที่บ้าน หรือตอนเดินทางไปต่างประเทศ เพราะมันไม่ต้องพึ่งอะไร ไม่ต้องมีเครื่อง ใช้แค่ตัวเราเองเท่านั้น เล่นที่ห้องนอน หรือไปยืดเส้นยืดสายขณะดูโทรทัศน์ก็ได้ แถมยังชวนคนที่บ้านมาทำด้วย ทั้งพี่เซง แม่บ้าน มาเล่นด้วยกันหมดเลย เพราะเราทำแล้วเห็นว่ามันได้ผลเรื่องสุขภาพจริง” ::Text by FLASH
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/