xs
xsm
sm
md
lg

ทายาทสิงห์ควบเฟอร์รารี วรวุฒิ-นันทมาลี ภิรมย์ภักดี สร้างแบรนด์ไทยสู่แบรนด์ระดับโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>บ่ายแก่ๆ ท่ามกลางแดดจ้าที่แสนร้อนแรงของกรุงเทพมหานคร Celeb Online มีนัดกับครอบครัวแสนน่ารักที่ประกอบด้วย ลูกฝาแฝดชาย-หญิงวัย 6 ขวบ อย่างน้องเจม-นันทวุฒิ หนุ่มน้อยอารมณ์ดี และน้องบีม-วรณัน สาวน้อยหน้าหวาน ของคุณบิ๋ง-นันทมาลี และคุณจ๊ะ-วรวุฒิ ทายาทแห่งตระกูลภิรมย์ภักดี ที่ดำเนินรอยตามบรรพบุรุษในการช่วยสานต่อตำนานความสำเร็จของแบรนด์สิงห์ที่ยืนยงมากว่า 80 ปี

ปัจจุบันนี้สิงห์ก้าวจากตำแหน่งบริษัทระดับ Top ของเมืองไทยไปสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลกอย่างเต็มตัว ด้วยการให้การสนับสนุนทีมดังๆ ในการแข่งขันระดับโลก ทั้ง การแข่งรถฟอร์มูล่าวัน การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และความสำเร็จล่าสุดกับการเป็นสปอนเซอร์ให้กับ “เฟอร์รารี ชาลเลนจ์” การแข่งรถเฟอร์รารีทัวนาเมนต์ใหญ่ที่สุด ซึ่งจะมีการตระเวนแข่งไปกว่า 20 สนามทั่วโลก

แบรนด์ไทยดังไกลระดับโลก
คุณวรวุฒิ ที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกิจกรรมการตลาดและธุรกิจสัมพันธ์ของบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น เดินพาเราไปชมเฟอร์รารีคันสีแดงเพลิงสุดสวย ที่จอดเด่นเป็นสง่าอยู่บริเวณสนามหญ้าด้านหลังโชว์รูม ซึ่งพิเศษกว่าคันอื่นๆ ที่จอดเรียงรายอยู่ เนื่องจากเป็นเฟอร์รารีรุ่น 458 ชาลเลนจ์ รถที่ถูกปรับแต่งขึ้นสำหรับแข่ง “เฟอร์รารี ชาลเลนจ์” นี่โดยเฉพาะ

ชื่อเต็มๆ ของรายการนี้คือ “เฟอร์รารี ชาลเลนจ์ โทรฟีโอ พิเรลลี่” การแข่งรถเฟอร์รารีที่เปิดกว้างให้ทั้งนักขับมือสมัครเล่นและนักขับมากประสบการณ์ได้มาประชันฝีมือกัน โดยจะมีการตระเวนไปแข่งขันสนามแข่งต่างๆ ทั่วโลกตลอดทั้งปี โดยแบ่งเป็น 3 โซน คือ ยุโรป, อเมริกาเหนือ และเอเชีย รวม 20 กว่าสนาม และมีรถเฟอร์รารีเข้าร่วมกว่า 90 คัน

“สิงห์จับมือเป็นพันธมิตรกับทางเฟอร์รารี โดยทางสิงห์จะให้การสนับสนุนการแข่งขัน “เฟอร์รารี ชาลเลนจ์” โดยรถทุกคันที่เข้าแข่งขันจะติดโลโก้ของสิงห์ทั้งหมด เหมือนอย่างที่เห็นบนรถคันนี้ ซึ่งการจับมือกันครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของเราที่ต้องการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น

สำหรับการร่วมงานกับเฟอร์รารีในครั้งนี้ ต้องถือเป็นโอกาสอันดีมาก เพราะเฟอร์รารีเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของรถยนต์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก และยังสอดคล้องกับนโยบายของสิงห์ที่เน้นการสนับสนุนมอเตอร์สปอร์ต กีฬาและการแข่งขันต่างๆ ซึ่งเรามุ่งทำการตลาดและส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ด้วยการจับมือกับทีมดังๆ ที่เป็นที่รู้จักกันดีมาตลอด เริ่มจากการเป็นปสปอนเซอร์ให้ทีมเรดบูล เรซซิ่ง ในการแข่งขัน ฟอร์มูล่า วัน ซึ่งเป็นทีมที่ได้ครองแชมป์ล่าสุดถึง 3 สมัยซ้อน ด้านฟุตบอลเราก็เป็นสปอนเซอร์ให้กับ 2 ทีมยักษ์ใหญ่ของพรีเมียร์ลีก ทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเชลซี จนมาถึงเฟอร์รารี

กว่าจะมาถึงจุดนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเฟอร์รารีมีมาตรฐานในการคัดสรรแบรนด์ที่จะเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจนี้ค่อนข้างสูง ด้วยความที่เขาเป็นแบรนด์ที่มีเกียรติประวัติมายาวนานนับ 60 ปี และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ดังนั้นเขาจึงเลือก สิงห์ เหนือคู่แข่งคนอื่น เพราะมั่นใจในแบรนด์ของเราซึ่งมีเกียรติประวัติยาวนานไม่น้อยหน้ากัน และได้สานต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่นมากว่า 80 ปี ได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชน ทั้งยังได้รับพระราชทานตราครุฑเป็นเครื่องการันตีคุณภาพอีกด้วย”

ผู้นำเข้าเฟอร์รารี
นอกจากเกียรติประวัติอันน่าภาคภูมิใจและความน่าเชื่อถือของแบรนด์สิงห์ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เฟอร์รารีตัดสินใจให้สิงห์เป็นพันธมิตรในการจัดการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้ อีกส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมให้โปรเจกต์นี้สำเร็จได้อย่างงดงามก็คือ ความสัมพันธ์อันดีของทางเฟอร์รารีและสิงห์ ที่ผ่านมาทางบริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ (Cavallino Motors) ตัวแทนผู้จำหน่ายรถยนต์เฟอร์รารีอย่างเป็นทางการของประเทศไทย ที่ทายาทตระกูลภิรมย์ภักดีได้ร่วมก่อตั้งขึ้น

บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ เกิดจากการร่วมกันระหว่างครอบครัวคุณวุฒา ภิรมย์ภักดี (บิดาคุณวรวุฒิ) และครอบครัวคุณเฉลิม อยู่วิทยา แห่งกระทิงแดง ก่อตั้งขึ้นและได้ทายาทอย่างคุณวรวุฒิและคุณนันทมาลีมาช่วยดำเนินงาน

เนื่องจากคุณจ๊ะเองก็มีภารกิจหนักในฐานะ ผู้อำนวยการกิจกรรมการตลาดและธุรกิจสัมพันธ์ของบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ที่มีโครงการกิจกรรมมากมายที่ต้องดูแล รวมถึงต้องดูแลในส่วนการตลาดของเบียร์อาซาฮี โคโรน่า และสิงห์ ไลท์ อีกด้วย ในส่วนบริษัทใหม่นี้จึงได้คุณบิ๋งเป็นหลักในการรับผิดชอบรายละเอียดต่างๆ และทางคุณจ๊ะจะดูในส่วนภาพรวม ซึ่งแม้จะต้องเหนื่อยหนักในความรับผิดชอบที่มากขึ้น แต่คุณจ๊ะก็รู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทตัวแทนของเฟอร์รารีในเมืองไทย ด้วยไม่ใช่แค่เหตุผลในเรื่องทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการได้เติมเต็มความฝันในฐานะแฟนพันธุ์แท้ของเฟอร์รารีด้วย

“ผมทำเพราะว่ามันคือเฟอร์รารี ถ้าเป็นแบรนด์อื่นผมก็คงไม่รู้สึก In หรือมีความสุขในการทำงานขนาดนี้ แต่ด้วยความเป็นแบรนด์โปรด ที่เรารักอยู่แล้ว พอได้โอกาสอันดีที่ทั้ง 2 ครอบครัว คือทางคุณพ่อผม คุณวุฒา ภิรมย์ภักดี กับคุณเฉลิม อยู่วิทยา จับมือร่วมกันทำบริษัทนี้ขึ้น เราก็เลยยินดีมาก”

คุณวรวุฒิเล่าให้ฟังว่า เขาคลุกคลีกับเรื่องรถยนต์มาตั้งแต่เด็กๆ และเติบโตมากับรถแข่ง ด้วยคุณพ่อ คุณปู่ ไปจนถึงญาติมิตรต่างก็เป็นนักแข่งรถกันทั้งนั้น และทางบริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น กิจการของทางครอบครัวก็ให้การสนับสนุนเรื่องของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตมาโดยตลอด ทางคุณพ่อและคุณอาของคุณจ๊ะก็มีคอลเลกชันรถดีๆ จากสารพัดแบรนด์ จึงเรียกได้ว่าเขาซึมซับในเรื่องรถยนต์มาตั้งแต่เกิดก็ว่าได้

“หนุ่มๆ ตระกูลภิรมย์ภักดี ทุกคนต่างก็ชอบเรื่องรถยนต์กันทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่เขาจะชอบปอร์เช่กัน มีผมที่แหวกแนวมาหลงใหลในเฟอร์รารี เพราะประทับใจในประวัติของแบรนด์ ตำนานที่มีมากว่า 60 ปี และแนวทางที่ชัดเจนถึงความเป็นรถซูเปอร์คาร์ ในขณะที่แบรนด์รถอื่นๆ จะเริ่มทำการผลิตที่หลากหลาย จากรถซูเปอร์คาร์ ไปสู่ ซีดาน หรือ SUV แต่เฟอร์รารียังคงโฟกัสที่จุดเดิมไม่เคยเปลี่ยน ยิ่งถ้าเป็นเรื่องการดีไซน์รถยนต์ ต้องยอมรับเลยว่าเขาเป็นที่หนึ่งด้านนี้ สไตล์ของเฟอร์รารีคือความคลาสสิก ที่ไม่ว่าจะรุ่นไหน เก่าแค่ไหน ก็ยังคงดูสวยไม่มีเบื่อ และไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ไม่มีคำว่า เชย หรือตกรุ่น”

เฟอร์รารีเริ่มต้นจากการเป็นรถแข่ง ซึ่งเป็นทีมที่เข้าร่วม ฟอร์มูล่าวัน มาตั้งแต่เริ่มต้นต่อเนื่องยาวนานมาถึงทุกวันนี้ เรียกได้ว่าสีแดงๆ ของเฟอร์รารีกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของการแข่งขันไปแล้ว และการยึดหลักของความเป็นรถแข่งในการผลิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี เครื่องยนต์ การออกแบบ ความปลอดภัย ดังนั้นจึงมั่นใจได้ถึงคุณภาพ

ลูกคนที่ 3 ของครอบครัว
ด้านคุณนันทมาลีเอง แม้จะไม่ได้รู้สึกผูกพันกับเรื่องรถเท่ากับสามีตั้งแต่กำเนิด แต่ก็โชคดีที่ได้สัมผัสกับแบรนด์เฟอร์รารีจากที่เป็นแฟนกับคุณจ๊ะตั้งแต่อายุ 16 ได้ติดตามดูการแข่งขันฟอร์มูลาวัน และช่วงที่คุณจ๊ะได้มีโอกาสดูแลรถเฟอร์รารีรุ่น 456 ของคุณพ่อตอนที่เรากลับมาเมืองไทยใหม่ๆ ก็ได้ติดตามไปด้วย แต่การเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัดนี้ เธอก็ทุ่มเทให้การดูแลประหนึ่งลูกคนที่ 3 เลยทีเดียว

การก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารดูแลทั้งบริษัท ก็นับว่างานใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งบิ๋งซึ่งเป็นผู้หญิงต้องมาทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ซึ่งเป็นโลกของผู้ชาย มันยิ่งท้าทายขึ้นไปอีก และนี่ยังเป็นการรับหน้าที่จากความไว้วางใจของผู้ใหญ่ทั้ง 2 ท่านอย่างคุณวุฒา ภิรมย์ภักดี(บิดาของคุณวรวุฒิ) และคุณเฉลิม อยู่วิทยา ให้เรารับผิดชอบงานนี้เลยยิ่งต้องตั้งใจทำให้ดี ซึ่งจากปกติที่บิ๋งเป็นคนทุ่มเทให้กับงานทุกชิ้นเต็มร้อยอยู่แล้ว มางานนี้ก็ให้เกินร้อยเลย...

ก่อนหน้านี้บิ๋งทำงานกับ Citibank อยู่ 8 ปี โดยเริ่มจากตำแหน่ง Management Trainee และก็พัฒนาผลงาน เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เป็น Assistant Vice President ซึ่งตลอดระยะเวลาของการทำงานที่ Citibank บิ๋งได้รับประสบการณ์อันมีค่ามากมาย ได้เรียนรู้ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน, การตลาด ไปจนถึงเรื่องกฏหมาย ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำธุรกิจ และปูทางให้บิ๋งสามารถดูแลบริษัทของตัวเองได้ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้”

โดยการปรับเปลี่ยนบทบาทการทำงานของนันทมาลี ถือได้ว่าเข้ากับช่วงจังหวะของชีวิตอย่างลงตัว “ช่วงที่บิ๋งกำลังท้อง ก็เริ่มทำงานน้อยลง เนื่องจากบิ๋งท้องแรกแถมเป็นแฝดด้วย จากพนักงานประจำก็ขอทำเป็น Part-Time แทน ไม่ต้องเข้าบริษัททุกวัน และบิ๋งเองก็เริ่มคิดว่า ถ้าลูกคลอดก็อยากจะลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว เพราะเราอยากมีเวลายืดหยุ่น ให้เราได้ใช้เวลากับลูกๆ ยิ่งเป็นลูกแฝดยิ่งต้องการเวลาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าด้วย และตอนนั้นก็มีโปรเจกต์นี้เข้ามาพอดี บิ๋งก็เลยลาออกและเข้ามาช่วยทำตั้งแต่ต้น...

เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการติดต่อ ทั้งทำ Proposal ติดต่อประสานกับทางบริษัทแม่ ดูแลชาวต่างชาติที่บินมาประชุม เจรจางานต่างๆ ในช่วง 2-3 ปีแรกที่น้องยังเล็ก เราอยู่ในช่วงประสานงาน เตรียมงานต่างๆ ยังไม่ได้เริ่มทำโชว์รูมหรือทำโครงการต่างๆ เต็มตัวอย่างทุกวันนี้ ทำให้เราก็สามารถทำงานตรงนี้ได้อย่างลงตัว เพราะเรามีเวลาดูแลลูกพร้อมทั้งทำงานไปด้วย อย่างไปส่งลูกที่เนิร์สเซอรี แล้วเราก็นั่งทำงานของเราไป พิมพ์ตอบอีเมล คุยโทรศัพท์ติดต่องาน ระหว่างรอรับเขากลับบ้าน ส่วนตอนที่จะเปิดโชว์รูมที่งานเริ่มหนัก ก็พอดีกับเป็นช่วงที่น้องๆ เขาเริ่มเข้าโรงเรียนแล้ว เราก็เลยมีเวลามาดูแลงานเยอะขึ้น”

แต่ถึงแม้จะมีช่วงจังหวะชีวิตที่ลงตัวทั้งในเรื่องของครอบครัวและการงาน แต่นันทมาลีก็ยอมรับว่า กว่างานจะสำเร็จออกมาได้ก็ปวดหัวไม่น้อยเหมือนกัน เนื่องจากเธอคือ Key Contact ของโปรเจกต์นี้ ที่ต้องเป็นผู้ดูแลในทุกๆ เรื่อง ประชุมทั้งวัน คอยประสานกับทุกฝ่าย
“ตอนนั้นมีอะไรทุกคนก็จะโทร.หาเรา เพราะบิ๋งรับผิดชอบทั้งหมด แต่เราก็แฮปปี้ที่จะทำ เพราะมันเป็นความท้าทาย และเป็นโอกาสดีที่เราได้เรียนรู้งาน ได้ทำงานกับแบรนด์ระดับนี้ ไม่ได้เป็นโอกาสที่หากันง่ายๆ เพราะเฟอร์รารีเป็นแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่และปีนี้ก็เพิ่งได้รับตำแหน่ง The Most Powerful Brand ของโลก....

ทางเฟอร์รารีเองกว่าจะได้พาร์ตเนอร์ธุรกิจที่จะมาเป็นตัวแทนในแต่ละประเทศเขาก็เลือกแบบสุดๆ เหมือนกัน ต้องเป็นนักธุรกิจระดับ Top ของประเทศ มีความมั่นคงได้รับความน่าเชื่อถือสูง เวลาที่ไปประชุมร่วมกับตัวแทนจากชาติอื่นๆ บิ๋งก็จะได้ประสบการณ์ดีๆ กลับมาตลอด เพราะเราจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับนักธุรกิจเบอร์หนึ่งของแต่ละประเทศทั้งนั้น และตัวบิ๋งเองก็ภูมิใจแทนทั้ง 2 ตระกูล ที่เขาเลือกเราเป็นตัวแทนของประเทศไทย”
ซึ่งทุกวันนี้บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ นอกจากจัดจำหน่ายรถยนต์เฟอร์รารี ยังมีศูนย์ดูแลบริการหลังการขายที่ครบวงจร มีกิจกรรมให้กลุ่มลูกค้าได้ร่วมสนุกกันอยู่ตลอด และมียอดขายเติบโตขึ้นทุกปี เรียกได้ว่าตั้งแต่ลาออกจากงานประจำที่ Citibank มาทำธุรกิจของตัวเองนี้กว่า 5 ปี เธอก็ทุ่มเทเวลาเลี้ยงดูลูกน้อยฝาแฝด ไปพร้อมกับการดูแลธุรกิจนี้ให้เจริญเติบโตก้าวหน้าไปพร้อมกันๆ

Lovely Family
นอกจากเรื่องการงานที่ทั้งคุณจ๊ะและคุณบิ๋งดูแลได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ในฐานะคุณพ่อ-คุณแม่เขาทั้ง 2 คนก็ดูแลลูกน้องได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งน้องเจม-นันทวุฒิ และน้องบีม - วรณัน จึงเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่น่ารักสดใส

คุณจ๊ะ :: หน้าที่ดูแลลูก หลักๆ จะเป็นหน้าที่ของบิ๋ง เพราะผมมีงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะกว่า ทั้งในส่วนของสิงห์ ที่เป็นผู้อำนวยการกิจกรรมการตลาดและธุรกิจสัมพันธ์บริษัท ช่วยดูแลคาวาลลิโนในฐานะรองประธานบริษัท และยังมีบริษัทอีเวนต์ ออร์แกไนเซอร์ ชื่อ Contango ที่ทำมาร่วม 10 ปีแล้วอีกด้วย

บิ๋ง :: คุณจ๊ะเขางานเยอะ แต่ก็ยังแบ่งเวลาให้กับครอบครัวได้ดี โดยพยายามใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด อย่างช่วงเสาร์-อาทิตย์ มีทริปกิจกรรมกับกลุ่มเฟอร์รารี ขับไปเที่ยวจังหวัดใกล้ๆ เราก็จะพาลูกไปด้วย ก็ได้ทำงานและพักผ่อนกับกับลูกไปพร้อมๆ กัน


จ๊ะ :: แบบนี้มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ เพราะโชคดีที่งานเราสามารถปรับเข้ากับไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว และก็กลายเป็นว่าทุกเวลาคือเวลางาน คือช่วงวันหยุดพักผ่อนก็ยังหนีไม่พ้น(หัวเราะ)


บิ๋ง :: นอกจากไปทริปกัน เราก็จะมีแฟมิลี ไทม์ คือการดูหนัง เพราะคุณจ๊ะเป็นคนที่ชอบดูหนังมาก ก็จะพาลูกเข้าโรงหนังตลอด ยิ่งช่วงนี้ยิ่งดูบ่อย จนลูกถามเลย ทำไมพาไปดูหนังบ่อยจัง แม้กระทั่งคุณครูยังทักว่า เราพาลูกไปเข้า Acting Class เพิ่มเติมรึเปล่า เพราะเวลาเรียนวิชาการแสดง เขาเล่น Role Play เก่งมาก คือท่าเขาเยอะ เหมือนดูแล้วจำไปทำตาม


จ๊ะ :: ผมเป็นคนชอบดูภาพยนตร์มาก ทั้งไทยและต่างประเทศ และซื้อแผ่นเก็บตลอด ผมว่าที่บ้านผมมีแผ่น Blue Ray เยอะกว่าร้านขายบางร้านอีกนะ ผมสะสม ก็เลยซื้อหมด ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ถ้าแผ่นไหนที่สนุกก็จะหยิบมาดูซ้ำๆ ซึ่งผมไม่ใช่คนดูหนังแบบนักวิจารณ์แต่ดูเอาความสนุก และดูได้ทุกแนว

พอเอ่ยถึงภาพยนตร์ที่ชื่นชอบ ดูคุณวรวุฒิลองไล่เรียงรายชื่อให้เราฟังก็เชื่อได้ว่า เป็นคนชอบดูหนังอย่างแท้จริง เพราะเขาชอบหลากหลายตั้งแต่หนัง Action อย่าง The Rock, Transformers ไปจนถึงหนังขวัญใจสาวๆ อย่าง The Devil wears Prada, Pretty Woman หรือ Music & Lyrics ส่วนถ้าเป็นหนังไทยคุณจ๊ะยกให้ พระนเรศวรทุกภาค ที่หยิบมาดูได้ไม่มีเบื่อ แต่ถ้าให้ยกที่หนึ่งในดวงใจ

คุณจ๊ะ :: ผมยกให้ Ferris Bueller’s Day Off ของปี 1986 เป็นภาพยนตร์ตลกวัยรุ่น ที่นำเอารถเฟอร์รารีรุ่น 250 GT California ของพ่อไปขับซิ่งแล้วก็เกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย ที่ชอบเพราะเป็นเรื่องรถเฟอร์รารีด้วย ซึ่งรุ่นที่ว่านี้เป็นรุ่นคลาสสิก ที่ปัจจุบันนี้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ผมดูตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่นและก็ประทับใจมาจนทุกวันนี้ นอกจากนี้ก็มีการ์ตูน โดเรมอนที่ผมจะหยิบมาเปิดดูบ่อยๆ เปิดดูกับลูกๆ ด้วย แต่ผมชอบดูมากกว่าลูกอีก(หัวเราะ) ผมชอบโดเรมอน มีเก็บสะสมของทุกอย่างเลย คือด้วยวัยนี้จะหยิบหนังสือการ์ตูนมาเปิดอ่านมันไม่ไหวแล้ว ก็เลยเปลี่ยนมาดูแทน

แลดูเป็นคุณพ่อที่แสนอบอุ่น แต่เมื่อถึงคิวบทเข้ม คุณวรวุฒิก็เป็นคุณพ่อที่ดุไม่ใช่น้อย ในขณะที่คุณบิ๋งจะใจดีกว่า

บิ๋ง :: เรา 2 คนถูกเลี้ยงมาต่างกัน โดยบ้านบิ๋งจะตามใจค่อนข้างมาก ในขณะที่บ้านคุณจ๊ะเขาจะมีระเบียบกว่า พอมาถึงเวลาที่เราเลี้ยงลูก เราก็ค่อยๆ นำวิธีเลี้ยงทั้ง 2 แบบมาผสมผสานกัน เลือกเอาข้อดีมาปรับใช้


จ๊ะ :: จะค่อนข้างดุ แต่จะไม่ตีนะ พูดคุยให้เขาเข้าใจ แล้วถ้าต้องลงโทษ แต่ก่อนเคยมีขังในห้องให้เขาได้ใช้เวลาคิด แต่ตอนนี้เขาโตแล้วก็พยายามผ่อน เพราะการที่เราไปดุมากๆ จะยิ่งทำให้เขากลัว และจะออกห่างจากเรา บางครั้งก็ต้องพยายามเลี่ยง เพราะผมใจร้อนกว่า บางทีเราอาจจะหงุดหงิดเครียดเรื่องงานมา พอมาเจอเรื่องลูกเข้า ก็กลัวว่าจะอารมณ์ไม่ดีแล้วมาพลาดลงกับลูกได้ คนเราเป็นมนุษย์มันผิดพลาดได้เสมอ ซึ่งลูกๆ เขายังเด็ก ก็กลัวจะไม่เข้าใจ ถ้าช่วงไหนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่นิ่งก็จะหยุด แล้วให้คุณแม่เขาจัดการ


บิ๋ง :: ไม่ค่อยจะดุมาก เพราะบิ๋งถูกเลี้ยงมาแบบปล่อยตามสบาย มันทำให้เราไม่มีระยะห่างจากพ่อแม่ มีอะไรเราคุยให้เขาฟังหมด บางครั้งถ้าเราดุ ลูกจะไม่กล้าบอกเรา ปิดเรื่องนู้นเรื่องนี้กลัวเราว่า บิ๋งก็เลยจะพยายามเลี้ยงใกล้ชิด ให้อิสระแต่ก็สร้างระเบียบไปด้วย โดยการใช้วิธีการให้ดาว ไม่ทำโทษนะ แต่ถ้าทำดีจะให้ดาว ทำไม่ดีก็หักดาว แล้วให้เขาสะสมดาวมาแลกขอของได้ เราได้เทคนิคนี้มาจากครูฝรั่งที่โรงเรียนนานาชาติของเขา ที่เน้นให้เราใช้พลังงานในแง่บวก เขาให้ชมลูก หาจุดดีของเขา ซึ่งมันก็ดีนะ เพราะแทนที่เขาจะได้ยินเราห้ามนั่น ห้ามนี่ ซึ่งมันทำให้เขาอยากต่อต้าน กลายมาเป็นชมสิ่งที่เขาทำดี แล้วเขาก็จะเรียนรู้เองว่าทำอะไรแล้วจะได้รับคำชม แล้วเขาก็จะอยากทำอีก


Twin World
ในระหว่างการถ่ายทำมีบางช่วงที่น้องเจม และน้องบีม จะพูดคุยสนุกสนานกันเอง 2 คน เหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว และมีภาษาที่สื่อสารกันเข้าใจกันเองสองคน

บิ๋ง :: บิ๋งเองบางทีก็ยังไม่รู้นะว่าเขาคุยอะไรกัน(หัวเราะ) มันเป็นธรรมชาติของเด็กแฝดที่เขาผูกพันกัน เพราะเขาโตมาด้วยกันตั้งแต่ในท้อง เป็นเด็กที่โชคดีนะเพราะเขาจะไม่รู้สึกเหงาเลย เพราะมีเพื่อนอยู่ด้วยตลอด พ่อแม่อย่างเราก็โชคดี เพราะถ้าเรามีลูกคนเดียวเราคงจะห่วงเขากว่านี้ ทิ้งไปไหนไม่ได้ จะไปไหนก็ต้องหอบหิ้วไปด้วยตลอด เพราะกลัวเขาต้องเหงาอยู่กับพี่เลี้ยง แต่กับ 2 คนนี้ เราคล่องตัวมากกว่า ไปงาน ไปดินเนอร์ เขาก็อยู่กัน 2 คนกับพี่เลี้ยงได้ ไม่ติดเรามาก


จ๊ะ :: 2 คนนี้เขาเป็นเด็กน่ารัก เลี้ยงง่าย ไม่ค่อยงอแง แล้วก็เข้ากับคนง่าย เข้าสังคมได้ เพราะเราก็พาเขาไปไหนมาไหนด้วยตั้งแต่เล็กๆ แล้ว แต่ตอนแรกที่รู้ว่ามีลูกแฝดนี้ ผมแอบเครียดเลยนะ คุยกับคุณบิ๋งไว้แล้วว่า อยากมีลูก 2 คน ลูกชายและลูกสาว ซึ่งเราตั้งใจว่าคนแรกเป็นเพศอะไร คนที่ 2 จะเลือกเพศเลย และพอท้องแรกออกมาเป็นแฝดซึ่งเริ่มคิดหนัก เพราะเป็นลูกคนแรกด้วย นึกว่าจะได้ลองเลี้ยงก่อน คนไม่มีประสบการณ์เลี้ยงลูกก็หนักอยู่แล้ว นี่มาเบิ้ลเลย แถมตอนแรกเรายังไม่รู้เพศก็คิดว่าถ้าจะเป็นเพศเดียวกันทั้งคู่ แสดงว่าเราต้องมีลูกอีกคน ก็จะกลายเป็น 3 แต่สุดท้ายพอคลอดมาเป็นชาย หญิง ก็ลงตัวเลย


บิ๋ง :: ความลำบากของแฝดอย่างเดียวเลยคือ ทุกอย่างต้องมี 2 ชิ้น และต้องเหมือนกันเป๊ะด้วย!!! ก่อนหน้านี้บิ๋งเคยซื้อของให้เขาเหมือนกัน เช่น จักรยาน แต่คนละสี ก็เกิดปัญหาว่าทำไมพี่เจมได้สีนั้น ของบีมเป็นสีนี้ หรือเคยซื้อขนาดไม่เท่ากันให้ โดยคนที่ได้ชิ้นเล็กเราก็ให้ 2 ชิ้น ซึ่งเรามองในมุมผู้ใหญ่มันก็ยุติธรรมดี แต่สำหรับเด็กๆ เขาไม่ได้มองแบบนั้น เขามองเป็นตัวเลขว่า 1 ชิ้น กับ 2 ชิ้น ดังนั้นทุกวันนี้ก็ตัดปัญหาซื้อเท่ากันไปเลย ไม่ต้องมีคำถามอีก และตอนนี้ก็โตพอที่จะไปเลือกกันเองแล้ว


สายใยรักกว่า 20 ปี
ระยะเวลา 20 กว่าปี ที่ทั้งคู่คบกันมา หลายคนอาจจะมองว่านานจนน่าจะเข้าใจกันอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหา แต่ทั้งคู่บอกว่าทุกวันนี้ก็ยังมีเรื่องให้ต้องปรับ ต้องจูนกันอยู่ตลอด

คุณวรวุฒิกล่าวว่า “ชีวิตจริงคนเรามันไม่ได้สวยหรู ราบรื่นไปได้ตลอดหรอก ไม่ว่าจะคบกันมานานแค่ไหน เพราะคนเรามันมีความเป็นตัวของตัวเองที่ต่างกัน ก็ต้องค่อยปรับให้เข้าหากัน อยู่กันได้อย่างลงตัว ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา มันก็ไม่ใช่ว่ารักกันหวานชื่น ทะเลาะกันมันต้องมีอยู่แล้ว ทะเลาะกันแบบใหญ่โตก็เคย แต่ข้อสำคัญคือเราสามารถแก้ปัญหาในแต่ละเรื่องได้หรือเปล่า ที่ผ่านมาเราทำความเข้าใจกันได้ทุกครั้ง ซึ่งบางครั้งก็มีครอบครัว เพื่อนฝูง คนรอบข้างเข้ามาช่วย

เพราะถ้าเราแค่ 2 คน มันก็เห็นกันอยู่ 2 มุม ถ้ามีคนนอกมองเข้ามาเขาอาจจะเห็นชัดกว่า นี่แหละคือชีวิตคู่แหละ เพราะไม่มีชีวิตคู่ไหนที่จะเพอร์เฟกต์ ยิ้มกันตลอดเวลาหรอก ดังนั้นเวลามีปัญหาอะไร เราต้องมานั่งปรับ นั่งคุยกันให้มันจบไป ไม่ใช่การยอม การฝืนทำเอาใจ เพราะนั่นไม่ได้แก้ปัญหา แต่เป็นการฝืนธรรมชาติและความรู้สึกของเรา ถ้าสะสมไปเรื่อยๆ แล้วถึงจุดที่มันไม่ไหวมันจะยิ่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ในภายหลัง อย่าคิดว่า 20 ปีที่ผ่านมามันนานนะ เพราะชีวิตคู่ของเรามันยังต้องนานยิ่งกว่านั่น จนแก่จนเฒ่าอีก 30 - 40 ปี ดังนั้นมีอะไรก็ต้องรีบคุยให้จบในวันนี้ เราจะได้มีชีวิตคู่ที่ดีต่อไปในวันข้างหน้า”

ส่วนอีกเคล็ดลับของชีวิตคู่ที่คุณนันทมาลีกระซิบเรามาคือ “เวลามีปัญหากัน บิ๋งจะพยายามปรึกษาเพื่อนหรือรุ่นพี่ผู้ชาย ที่คุณจ๊ะสนิทด้วยที่จะช่วยทำให้เราเข้าใจความคิดเขาได้มากขึ้น เรื่องบางเรื่องชาย หญิง มองต่างมุมกัน บิ๋งก็เลยจะปรึกษาเพื่อนผู้ชาย ทำความเข้าใจเขาให้มากขึ้น แล้วค่อยคุยกับเพื่อนผู้หญิงอีกที คือมันต้องเบรกก่อน เพราะถ้าบิ๋งปรึกษาเพื่อนผู้หญิง รับรองยิ่งหนัก เพราะเราก็เข้าข้างผู้หญิงด้วยกันเอง แล้วก็เป็นการตอกย้ำความคิดเราเข้าไปอีก มันอาจจะบานปลายก็ได้เพราะ Men are from Mars, Women are from Venus จริงๆ นะ”

ฝันยิ่งใหญ่แล้วก้าวไปให้ถึง
เรื่องรถและความเร็ว เรียกได้ว่าอยู่ในสายเลือดของหนุ่มๆ ตระกูลภิรมย์ภักดี ที่แข่งรถกันมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ด้านคุณวรวุฒิเองก็เป็นนักขับตัวฉกาจ ที่มีประสบการณ์แข่งรถมานานกว่า 13 ปี เคยคว้าแชมป์หรือยืนโพเดียมมาหลายต่อหลายสนาม และในรุ่นทายาทตัวน้อยก็แลดูจะเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเช่นกัน เพราะน้องเจม - นันทวุฒิ บุตรชายวัย 6 ขวบ ที่เห็นธุรกิจนี้ตั้งแต่เกิด ก็มีมาดหลังพวงมาลัยที่ทะมัดทะแมงจนน่าตกใจ

“ผมเริ่มหัดให้เขาลองขับรถในเครื่องซีมูเลเตอร์แล้ว ก็ดูท่าเขาสนุก ชอบมาก โตขึ้นก็อยากให้เป็นนักแข่งรถนะ แต่ไม่ได้จะบังคับอะไร เราทำได้เพียงแค่ให้การสนับสนุนเต็มที่ เพราะเรื่องแบบนี้มันต้องขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของฝีมือนะมันต้องอาศัยพรสวรรค์ด้วย ก็ต้องลองดูกันต่อไป”

คุณจ๊ะบอกว่า เขาฝันให้ลูกเป็นนักแข่งรถฟอร์มูล่าวัน ซึ่งยังไม่เคยมีนักแข่งรถคนไทยก้าวไปถึงระดับนั้น “ถ้าถามใจผม ผมหวังไปถึงระดับนั้นนะ แต่นั่นคือความฝันของพ่อ แต่ความเป็นจริงจะทำได้ไหมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งการตั้งความหวังแบบนี้ หลายคนได้ยินแล้วอาจจะหัวเราะ คิดว่าเป็นการฝันเฟื่อง แต่ผมว่าคนเราต้องมีความฝันนะ ต้องมีจุดมุ่งหมาย แล้วพยายามก้าวไปให้ได้ ถึงแม้จะไปไม่ถึงฝัน แต่อย่างน้อยเราก็ได้พยายามแล้ว ถ้าไม่รู้จักเริ่มฝันมันก็จะไม่ได้เริ่มก้าว

อย่างถ้าเป็นก่อนหน้านี้สัก 10 ปี เราพูดว่า สิงห์จะก้าวมาเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมฟุตบอลระดับโลกอย่างแมนฯยูฯ หรือ เชลซี ก็คงมีคนที่ฟังแล้วหัวเราะ ไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ แล้วดูผลที่ออกมาอย่างทุกวันนี้สิ เพราะฉะนั้นอย่าดูถูกความฝันเด็ดขาด ถ้าเราพยายามอะไรก็เกิดขึ้นได้”

สาวเก่งในโลกยานยนต์
แม้เรื่องของรถยนต์จะดูเป็นโลกของเพศชาย แต่นันทมาลีกลับรับหน้าที่กุมบังเหียนของเฟอร์รารีได้อย่างสง่างามไม่แพ้ใคร “ถึงแม้บิ๋งจะเป็นลูกสาวคนเดียว แต่เราไม่ได้เป็นสไตล์สาวหวาน เรียบร้อย บิ๋งมีกลุ่มเพื่อนผู้ชายเยอะมาก นิสัยเราออกจะห้าวๆ ลุยๆ ขัดกับภาพลักษณ์ที่คนอื่นเห็น พอมาอยู่ในธุรกิจรถยนต์ก็เลยไม่แปลกอะไร และบิ๋งเองก็ขับรถเองมาโดยตลอด เริ่มขับตั้งแต่สมัยที่มีแต่เกียร์ธรรมดา

โดยถึงแม้ว่าจะไม่ได้ขับซิ่งหรือขับรถแข่งเหมือนพวกผู้ชาย แต่เราก็สนุกกับการขับรถมาก ยิ่งพอได้มาทำงานกับเฟอร์รารี เขาพาเราไปเข้าคอร์สเรียนการขับรถ ลองขับรถแข่งจริง เพราะถ้าเราจะขายของเราต้องเข้าใจสินค้าเราก่อนว่ามันเป็นอย่างไร เสน่ห์อยู่ตรงไหน ทำไมผู้ชายเขาถึงรักรถสปอร์ตพวกนี้กัน”
คอร์ส Corso Pilota นี้เป็นคอร์สที่คุณบิ๋งแนะนำอยากให้ลูกค้าทุกคนที่ซื้อรถได้ไปลองเรียนดู เพราะคุณจะได้เรียนรู้เทคนิคการขับและทดลองใช้รถเฟอร์รารีในทุกฟังก์ชัน “บิ๋งว่ามันเป็นโอกาสเดียวที่คุณจะได้ลองปรับใช้ทุกโหมด รู้ว่ารถเราทำอะไรได้บ้าง และทำได้ถึงระดับไหน เข้าใจธรรมชาติของรถมากขึ้น เพราะบิ๋งเชื่อว่าคุณไม่กล้าทำกับรถคุณอย่างนี้แน่ เพราะราคาแต่ละคันไม่ใช่ถูกๆ แต่ในคอร์สนี้คุณจะได้ลองทั้งหมด ซึ่งจะได้ไปขับจริงในสนาม F1 เลย มีครูซึ่งเป็นนักแข่งระดับอินเตอร์มาสอนและนั่งประกบ ตอนขับเขาก็จะตะโกนตลอดว่า Faster Faster เขาจะให้เราเร่งแบบสุดๆ เพื่อให้เราเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของรถ บิ๋งเหยียบไปเกือบถึง 300 กิโลเมตรเลยนะบนทางตรง ทั้งขับแบบสลาลม ซิกแซ็ก ลองเบรกกะทันหันบนถนนลื่น ไปจนถึงดริฟต์เลย” :: Text by FLASH

Credit
นายแบบ & นางแบบ :: วรวุฒิ - นันทมาลี - นันทวุฒิ - วรณัน ภิรมย์ภักดี
แต่งหน้า :: ฟลุค ชูสุวรรณ (Alwaysflulke.com)
ประสานงาน :: พรรณพิมล แดงรัศมีโสภณ
ช่างภาพ :: กมลภัทร พงศ์สุวรรณ
สถานที่ :: บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ โทรศัพท์ 0 - 2319 - 6109

>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/
กำลังโหลดความคิดเห็น