คงมีไม่มากนัก ที่สาวสังคมจะมีชีวิตติดดิน และลุ่มหลงงานด้านการเกษตรเป็นชีวิตจิตใจ ถึงขนาดลงไปคลุกคลีกับชาวสวนชาวไร่ เพื่อพัฒนาสินค้าเกษตร ก่อนนำเข้าห้าง สร้างราคาเพิ่มคุณค่าให้เกษตรกรไทยได้สำเร็จอย่างงดงาม เบื้องหลังความสำเร็จนั้น เป็นผลจากการน้อมนำเอาพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องการพัฒนา ที่พระราชทานให้ประชาชนเมื่อปี 2513 มาใช้เป็นหลักในการทำงาน เฉกเช่น เจ้าแม่กรูเมต์ มาร์เก็ต แดง-ลักขณา นะวิโรจน์
นับเป็นการใช้ชีวิตที่มีความหมายมากมาย สำหรับ ลักขณา นะวิโรจน์ รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส เดอะ มอลล์ กรุ๊ป ที่มีโอกาสเข้าไปสัมผัสชีวิตเกษตรกรผู้เป็นกระดูกสันหลังของชาติ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงเก่งคนนี้ ใช้ความสามารถด้านการตลาดของตัวเอง ช่วยพัฒนาภาคการเกษตรของบ้านเราให้มีความยั่งยืน เพราะหลังเข้ามารับผิดชอบดูแลโฮมเฟรชมาร์ท ให้กับ เดอะมอลล์ และ เอ็มโพเรียม จนติดลมบนไปแล้ว ผู้หญิงตัวเล็กๆ ช่างเจรจานี้ก็ถูกเลือกให้เข้ามาดูแล กูร์เมต์ มาร์เก็ต พารากอน ดีพาร์ตเมนต์ สโตร์ แหล่งรวมวัตถุดิบอาหารระดับเวิลด์คลาส
ลักขณาสรรหาร้านอาหารสุดอร่อยจากทั่วทุกมุมโลก มารวมไว้ที่นี่ ขณะเดียวกัน ที่ในซูเปอร์มาร์เก็ต ยังรวบรวมสารพันเครื่องปรุง ตลอดของกินระดับซูเปอร์พรีเมียม ที่การันตีด้วยรางวัลต่างๆ และที่ขาดไม่ได้คือ ผลไม้ไทยที่ลงทุนเดินทางไปเลือกจากสวนที่ดีที่สุดของจังหวัดนั้นๆ
“พี่เป็นคนที่ไม่ชอบทำงานที่ต้องอยู่ในออฟฟิศ อีกอย่างคือ เป็นคนชอบหาอาหารอร่อยให้คนรับประทานตั้งแต่เด็ก พอรู้ว่าต้องมาดูแลเรื่องอาหาร ได้ทำงานด้านเกษตรแล้วดีใจ เข้าทางเลย เพราะได้เที่ยวไปทั่วประเทศ เมืองไทยเป็นเมืองเกษตร พอมาจับงานด้านนี้มันเข้ากับสไตล์ของตัวเอง อะไรอร่อยอะไรดีก็จะนำกลับมาให้โฮมเฟรชมาร์ท ทำให้รู้ว่าเมืองไทยมีค่ามาก เพราะชีวิตตัวเองเรียนรู้สิ่งดีๆ ของเมืองไทยมากมาย”
สาวใหญ่เมืองปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ ที่มาเติบโตในกรุงเทพฯ และได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก ได้ยึดหลักพอเพียงตามคำพ่อสอน ยังบอกถึงการเสาะหาวัตถุดิบดีๆ ว่า ส่วนใหญ่จะได้รับคำแนะนำปากต่อปาก เมื่อรู้ก็จะเดินทางไปหาวัตถุดิบทันที ซึ่งการทำงานในระยะแรกอาจต้องไปต่างจังหวัดเพื่อค้นหาผลไม้ บางครั้งไปขลุกอยู่กับชาวสวนนานเป็นอาทิตย์ หรืออย่างน้อย 2-3 วัน
“ความที่พี่เป็นเด็กต่างจังหวัด ทำให้เราชิน ไปไหนมาไหนได้สบาย แต่จะมีปัญหานิดหนึ่งตรงที่เป็นคนทานไม่เก่ง แต่เมื่อต้องตระเวนหาของกินอร่อยๆ จึงใช้เทคนิคสัมผัสทั้ง 5 คือ ตาดู หูฟัง จมูกดม มือสัมผัส และการทานเพื่อลิ้มรส อย่างเวลาเข้าสวนได้เจอเจ้าของสวน พี่ถือว่าเขาคืออาจารย์ของพี่ อะไรที่เราไม่รู้ เขาก็จะแนะนำเรา ตรงนี้ทำให้เรารู้อะไรเพิ่มขึ้น ทุเรียนที่ดีต้องมีลักษณะอย่างไร เทคนิคการปลอกมังคุดไม่ให้เละ นอกจากสนุกแล้วเราได้ความรู้บางเรื่องที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านง่ายๆ แบบที่ในตำราเรียนไม่มี”
ในวันนี้ แม้ลักขณาจะมีตำแหน่งใหญ่โต แต่เธอยังคงปฏิบัติงานเสมอต้นเสมอปลาย และนำพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นทิศทางการทำงาน
“พี่สอนลูกน้องตลอดว่า ความรู้อย่างเดียวไม่พอ เราต้องเข้าใจ โดยหาข้อมูลมาศึกษาให้มาก แล้วก็ต้องเข้าไปให้ถึงที่ เพราะจะได้อะไรอีกเยอะ สุดท้ายก็มาถึงเรื่องการพัฒนา แต่ถ้าเรารู้โดยไม่เข้าถึงของจริง แล้วนำมาพัฒนามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าทำได้ก็คือไม่ดีแน่ เพราะเป็นการข้ามขั้นตอนที่สำคัญไป บางคนบอกรู้ แต่คุณไม่รู้จริง ไม่เข้าใจ ทำอะไรก็จะผิดๆ ถูกๆ การทำงานวันนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก เกษตรของไทยเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก มันเป็นงานที่ไม่รู้จบ เพราะปัญหาจะมีต่อไปเรื่อยๆ”
อย่างไรก็ตาม แม้จะทุ่มเทกับงานมากเพียงใด แต่ลักขณาก็เป็นเฉกเช่นผู้หญิงทั่วไป ที่ต้องดูแลครอบครัว ซึ่งเธอสามารถแบ่งเวลาให้กับงาน พร้อมกับการดูแลสามีและลูกชายทั้งสามคนได้อย่างลงตัว
“โชคดีที่ครอบครัวให้โอกาสทำงาน สามีให้อิสระในการทำงาน ขณะที่ลูกชาย 3 คน ก็เป็นเด็กดี เข้าใจว่าแม่ทำงานอะไร ไม่ปิดกั้น ตอนนี้เขาโตก็ไปศึกษาต่างประเทศ คนโตกลับชอบด้วยที่เราเป็นแบบนี้ พี่อาจเป็นแม่บ้านในลักษณะที่ครอบครัวอยากได้อะไรบอกมา พี่หาให้ทันที และเมื่อต้องไปต่างจังหวัด เรารู้ว่าใครชอบอะไรเราก็หาจะซื้อมาฝาก เมื่อเขาแฮปปี้เราก็แฮปปี้”
สำหรับวันนี้ของลักขณา เธอยอมรับว่า ดีใจมากที่ชีวิตได้ก้าวเข้ามาสู่เส้นทางสีเขียว ก็คือ อาหาร เพราะเมื่อได้ใกล้ชิดได้เห็นผลผลิตดี สิ่งดีๆ ที่กว่าจะได้มาจากความลำบากของชาวสวนชาวนา ทำให้เธอรักและภูมิใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย ได้อยู่ในดินแดนที่ได้ชื่อว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” และที่สำคัญคือ ได้ทำหน้าที่ด้วยความภาคภูมิใจ