xs
xsm
sm
md
lg

ธนาตย์ เสถียรถิระกุล นักแข่งรถฟอร์มูล่า เรโนลต์ 2.0 สังกัดทีม “ART Junior Team”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>Celeb Online ครั้งนี้เราจะพารู้จักหนุ่มน้อยหน้าตี๋คนหนึ่ง ที่ดูเผินๆ ก็เหมือนวัยรุ่นในวัยเรียนทั่วๆ ไป แต่พอได้นั่งลงพูดคุยกันยาวๆ แล้ว ก็ทำให้เราอึ้งบวกทึ่งในความเพียรพยายามและความสามารถของเด็กไทยคนนี้ ที่ไปสร้างชื่อเสียงระดับอินเตอร์ในฐานะนักแข่งรถดาวรุ่งด้วยวัยเพียง 20 ปี

น่าเสียดายที่ในบ้านเกิดของตัวเองแท้ๆ แต่ “ธนาตย์ เสถียรถิระกุล” กลับไม่ได้มีชื่อเสียงให้คนไทยทั่วไปได้รู้จักในฐานะนักแข่งรถมือดี แต่ถ้าพูดถึงแวดวงการแข่งขันรถที่ยุโรปแล้วล่ะก็ ชื่อของหนุ่ม “ท็อป” เป็นต้องติดทำเนียบแน่นอน เพราะเขาไปกวาดรางวัลมาแล้วเกือบทุกสนาม

ในฐานะที่เป็นลูกชายของอดีตนักแข่งรถ “มงคล เสถียรถิระกุล” จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ท็อปจะเดินตามรอยเท้าคุณพ่อ เขาเล่าว่าตั้งแต่ยังเล็กมากๆ คุณพ่อจะขับรถแล้วให้เขานั่งตักไปด้วย พออายุสัก 4-5 ขวบ ก็เริ่มพาไปสนามแข่งเพื่อไปดูคุณพ่อและพี่ชายแข่งรถ

“พอผมอายุได้ 8-9 ขวบ คุณพ่อก็จับไปซ้อมโกคาร์ตก่อนครับ ตอนแรกพ่อบอกจะพาไปเที่ยว เราก็ดีใจ ไปถึงสนามปุ๊บงงเลย ทำไมมาที่สนามล่ะ (หัวเราะ) หลังจากนั้นพ่อก็เริ่มพาไปซ้อมทุกอาทิตย์ พอผมเริ่มคุ้นเคย ก็พาไปแข่งที่มาเลเซีย เพราะสมัยนั้น ที่มาเลเซียมีแข่งขันรุ่นเด็กกว่าบ้านเรา หลังจากนั้นก็เลยได้มาแข่งที่ประเทศไทย ครั้งแรกที่แข่งตอนปี 2003 ครับ แข่งได้ประมาณ 3 ปี ก็เลื่อนมาแข่งรุ่นใหญ่ที่สุดของประเทศไทย”

ท็อปบอกเราว่า ตอนแรกเขาแข่งขันไปตามที่พ่อบอก แต่ขับไปขับมาก็เริ่มตกหลุมรักการขับรถแข่งเข้าจริงๆ ท็อปแข่งขันในระดับรถโกคาร์ตมาจนถึงปี 2554 แข่งมาทุกสนาม กวาดรางวัลทั้งในประเทศและนอกประเทศมาจนนับไม่ถ้วน พออายุได้ 19 ปี จึงตัดสินใจเบนเข็มมาแข่งในระดับฟอร์มูล่า เรโนลต์ 2.0 ถึงจะเพิ่งเริ่มต้นในสายการแข่งขันระดับนี้ แต่ก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่น่าจับตามอง

“ตอนแรกที่แพลนไว้กับคุณพ่อคือปีที่แล้วจะขับโกคาร์ตอีกปี แต่เราแข่งมาทุกสนามแล้ว ผมเลยอยากลองขับฟอร์มูล่าดู พอดีตอนนั้นตัดสินใจช้าไปนิดหน่อย เราเลยไม่ได้ซ้อมเท่ากับคนที่เตรียมแข่งขันมาก่อนเปิดฤดูกาล ตอนต้นปีผมอาจยังสู้เขาไม่ได้ แต่พอแมตช์ท้ายๆ เราก็เริ่มตีตื้นขึ้นมาได้แล้วครับ”

แต่กว่าเขาจะมีวันนี้ ท็อป ต้องผ่านการซ้อมและตระเวนแข่งขันมามากมาย จนชีวิตวัยเด็กธรรมดาแบบคนอื่น ที่ควรจะมีแค่เรียนและเล่นกับเพื่อนๆ นั้นได้หายไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เขาเรียกสนามแข่งรถ ว่าเป็นบ้านหลังที่สองได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

“ตอนสมัยยังแข่งโกคาร์ต ผมต้องเรียนไปด้วยแข่งไปด้วย ค่อนข้างลำบากเลยครับ เพราะแข่งปีหนึ่ง 10 สนาม ทั้งในยุโรปและญี่ปุ่น ตอนนั้นถ้าเป็นช่วงแข่งขัน ผมต้องบินไปที่ยุโรปวันพฤหัสบดี และกลับมาเมืองไทยวันอาทิตย์เพื่อกลับมาเรียนในวันจันทร์ เป็นแบบนี้เกือบทุกสัปดาห์เลยครับ ถ้าช่วงไหนไม่ได้แข่ง ผมก็จะไปซ้อมในสนามที่สระบุรี ช่วงปีใหม่ที่คนอื่นได้หยุดกัน ผมยังต้องไปซ้อมเลยนะ (หัวเราะ) ผมไปแข่งที่อิตาลีมา 6-7 ปี แต่มีโอกาสได้เที่ยวที่นั่นจริงๆ ก็แค่ 2-3 ครั้งเองนะ” ท็อปย้อนเล่าประสบการณ์สุดหินสำหรับเด็กวัยสิบกว่าขวบให้เราฟัง

ปัจจุบันท็อปเป็นนักแข่งรถฟอร์มูล่า เรโนลต์ 2.0 สังกัดทีม “ART Junior Team” เป็นทีมลูกของทีม “Marussia” และเพิ่งเริ่มออกสตาร์ตการแข่งขัน ฟอร์มูล่า เรโนลต์ นอร์ทเทิร์น ยูโรเปี้ยนคัพ 2013 ไปได้ไม่นาน โดย ท็อป ต้องปักหลักอยู่ที่ประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพราะสะดวกในการเดินทางแข่งขันและฝึกซ้อม เนื่องจากสนามแข่งรถส่วนใหญ่จะอยู่ที่ฝั่งยุโรป และเขาได้หยุดเรียนด้านบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์เอาไว้ก่อน เพื่อทุ่มเทกับการแข่งขันรถอย่างจริงจัง

“ตอนนี้การแข่งรถถือเป็นงานของท็อปครับ เพราะก่อนแข่งขันต้องมีเช็กลิสต์ก่อน ว่าเราต้องเตรียมอะไรบ้าง รวมถึงศึกษาสนามที่จะไปแข่งเป็นอย่างไรบ้าง ต้องฝึกขับรถอย่างไม่ขาดตอน ให้เรารู้สึกว่าได้ขับอยู่ตลอดเวลา ทั้งในสนามจริงและหัดขับรถกับเครื่องซิมูเลเตอร์ ส่วนเรื่องร่างกายต้องออกกำลังเป็นประจำสม่ำเสมออยู่แล้ว ทั้งวิ่ง เข้ายิม ว่ายน้ำ และที่ต้องฟิตเป็นพิเศษคือส่วนคอ เพราะส่วนหัวจะเป็นส่วนเดียวที่โผล่ออกมาจากรถ”

นอกจากเรื่องร่างกายที่ต้องพร้อมแล้ว เรื่องจิตใจก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการแข่งขันกีฬาในทุกสนาม โดยเฉพาะสนามแข่งรถ “สติ” เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะแค่เสี้ยววินาทีเดียวก็สามารถทำให้การแข่งขันพลิกผันไปได้ ซึ่งท็อปเลือกใช้การนั่งสมาธิเป็นการฝึกควบคุมสติของตัวเอง

“ผมจะเข้าวัดไปนั่งสมาธิครับ ถ้าตอนอยู่อังกฤษก็จะไปวัดไทยของที่โน่น ซึ่งช่วยได้เยอะนะ เพราะเวลาขับทำให้เราไม่รู้สึกตื่นเต้นมาก เราจะรู้สึกสงบขึ้น เวลาจะทำอะไรก็จะมีสติอยู่ตลอดเวลา ก่อนหน้าที่จะฝึกนั่งสมาธิก็รู้สึกเลยว่าจิตใจเรายังไม่ค่อยจดจ่อ มัวแต่คิดไปข้างหน้าก่อน แต่จริงๆ การขับรถเราต้องคิดกับปัจจุบัน จดจ่อกับทางข้างหน้ามากกว่าสนใจคู่แข่งรอบข้าง

หรือแม้แต่วันไหนที่แข่งไม่ดี ไม่พอใจตัวเอง โดนทุกคนบ่น ผมก็จะสงบจิตใจด้วยการนั่งสมาธิเหมือนกัน เพราะทำให้เราเย็นลงได้จริงๆ และใช้ช่วงเวลานั้นคิดทบทวนว่าเราผิดพลาดตรงไหน ควรปรับแก้อะไรบ้าง”
ในฐานะนักแข่งรถมืออาชีพ หนุ่มวัย 20 มุ่งมั่นอยู่กับการแข่งรถอย่างเต็มที่ แม้แต่เวลาว่างก็จะใช้ไปกับการซ้อมหรือไม่ก็ดูแลร่างกายให้พร้อมมากกว่าจะไปทำอย่างอื่น เพราะความฝันเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือการแข่งรถ ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ถึงอย่างนั้น ท็อปก็เคยมีช่วงเวลาที่ท้อและอยากถอยเหมือนกัน

“มันก็มีช่วงท้อหมือนกันนะ ตอนที่ยังเด็กกว่านี้ เวลากลับมาเมืองไทยผมรู้สึกขาดเพื่อน ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นแบบเพื่อนคนอื่นเลย แต่พอคิดไปคิดมา ในเมื่อผมตัดสินใจมาทางนี้แล้ว จะเอาดีด้านนี้ เราทุ่มเททางนี้มาตั้งหลายปีแล้ว และที่สำคัญคุณพ่อเชื่อมั่นในตัวผมแล้ว ให้โอกาส สนับสนุนผมทุกทางแล้ว ถ้าผมยอมแพ้ตอนนี้มันก็เท่ากับที่ทำมาทั้งหมดไร้ความหมายไปเลย”

ท็อปบอกว่า กีฬาแข่งรถเป็นกีฬาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก ซึ่งค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดในการแข่งขันของเขาตั้งแต่การเดินทาง ที่พัก โค้ช วิศวกร แม้แต่การเข้าไปอยู่ทีม ยังต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ซึ่งเงินเหล่านั้นมาจากการสนับสนุนจากครอบครัวแทบทั้งสิ้น นับรวมกันเป็นเงินจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว และเนื่องจาก ท็อป ตระเวนแข่งอยู่ในต่างประเทศ ทำให้คนไทยรู้จักน้อย เลยส่งผลให้มีผู้สนับสนุนน้อยไปด้วย จนเราอดสงสัยไม่ได้ว่า มันคุ้มหรือเปล่า?

“การแข่งรถนอกจากเป็นความฝันของผมเองแล้ว ก็ยังถือเป็นการได้ต่อยอดความฝันของพ่อและพี่ชายด้วย การลงทุนในครั้งนี้ก็เหมือนเป็นประสบการณ์ให้ผมได้เก็บเกี่ยวเพื่อให้ไปถึงฝันครับ” ฝันของ ท็อป ในตอนนี้คือการได้ไปแข่งในสายฟอร์มูล่า จีพีทู ซึ่งเขาบอกว่าน่าจะไปถึงจุดนั้นได้ไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า ส่วนฟอร์มูล่าวัน ที่หลายคนรู้จักดี เขาบอกว่าเป็นเส้นทางที่โหดหิน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

หนุ่มน้อยคนนี้เป็นนักกีฬาอีกคนที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ ทั้งๆ ที่มีคนไทยอีกมากไม่รู้จักเขา แต่เราก็หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้เห็นถึงผลแห่งความเพียรพยายาม ในวันที่เขาประสบความสำเร็จและคนไทยจะได้จดจำชื่อของเขาเอาไว้

“โดนปล้นแชมป์” เหตุการณ์สุดเศร้าทำเอาเกือบท้อ

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2554 ในขณะนั้นท็อปยังแข่งในรุ่นโกคาร์ต ซึ่งเป็นสนามยูโรเปี้ยนแชมเปี้ยนชิป ในสนามชิงชนะเลิศที่ประเทศสเปน ท็อปทำได้ดีตั้งแต่ออกสตาร์ทจนจบการแข่งขัน นำมาเป็นที่หนึ่ง เอาชนะนักแข่งเจ้าถิ่นได้ แต่ในที่สุดกรรมการได้ปรับแพ้ และยึดรางวัลคืนด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้ความเร็วตอนออกสตาร์ตเกินกำหนด

“วันนั้นมันแย่มากๆ นะ เหมือนเราได้ทุ่มเทไปครึ่งชีวิตเพื่อรางวัลนี้มาแล้ว และมันมาอยู่ในมือเรามาแล้ว แต่เขาก็ตัดสินเอาคืนไป ซึ่งผมคิดว่าตอนออกสตาร์ทผมมั่นใจว่าไม่ได้ใช้ความเร็วเกินด้วย แต่พอดีเครื่องวัดความเร็วที่รถผมมันไม่ทำงานพอดี เหมือนฟ้าจงใจเลย ตอนนั้นท้อไปเหมือนกัน ไม่อยากไปแข่งที่ยุโรปแล้ว แต่พ่อเชื่อว่าผมจะทำได้ อยากให้ผมลองดูอีกสักพัก พอผมไปอยู่อังกฤษ ผลงานก็ค่อยๆ ดีขึ้น เลยมีกำลังใจกลับขึ้นมา” :: Text by FLASH




>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/
กำลังโหลดความคิดเห็น